อาการตาล้ากับปัญหาของคนทำงานหน้าคอม

กระทู้สนทนา

สำหรับใครที่ต้องนั่งทำงานหรือเรียนหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน คงเคยสัมผัสกับความรู้สึกตาล้า ตาพร่า หรือปวดตาแน่นอน อาการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นาน อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาของคุณในระยะยาวได้ 

ตาล้าคืออะไร ?

อาการตาล้า (Asthenopia) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อดวงตาทำงานหนักเกินไปจนกล้ามเนื้อตาล้า โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้สายตาจ้องมองวัตถุระยะใกล้เป็นเวลานาน ตาล้าไม่ถือว่าเป็นอาการที่อันตราย แต่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันของเราได้ เพราะในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ พนักงานออฟฟิศ นักเรียน หรือนักศึกษา อาจต้องเผชิญกับปัญหานี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากจำเป็นต้องอยู่หน้าจอติดต่อกันหลายชั่วโมง

อาการที่บอกว่าคุณกำลังเผชิญกับอาการตาล้า

อาการที่ดวงตาโดยตรง

- รู้สึกปวดตา เบ้าตา หรือรอบดวงตา

- ตาแห้งจนรู้สึกแสบหรือระคายเคือง

- น้ำตาไหลมากกว่าปกติ

- มองภาพไม่ชัด เห็นเป็นภาพเบลอ

อาการที่อาจลุกลามไปส่วนอื่น

- ปวดหัว ขมับ ท้ายทอย

- เวียนหัว บ้านหมุน 

- ในบางกรณีอาจมองเห็นภาพซ้อน

- รู้สึกคลื่นไส้ เมื่อต้องจ้องหน้าจอต่อเนื่อง

ทำไมคนทำงานถึงตาล้าง่าย ?

- การใช้สายต่อเนื่อง: เมื่อนั่งจ้องหน้าจอเป็นเวลานานโดยไม่ได้พัก ทำให้กล้ามเนื้อที่ควบคุมการมองเห็นต้องทำงานหนัก 

- มองระยะใกล้ตลอดเวลา: การจ้องมองวัตถุในระยะประชิด อาจทำให้ดวงตาต้องปรับโฟกัสอยู่ตลอด ทำให้กล้ามเนื้อดวงตาหดหรือตึงตัวตลอดเวลา

- แสงสว่างที่ไม่เหมาะสม: ทั้งแสงที่น้อยและสว่างจ้าเกินไป ล้วนส่งผลเสียต่อดวงตาได้ทั้งสิ้น 

- ปัจจัยจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต: การนอนน้อย ความเครียดจากการทำงาน ดื่มกาแฟมากเกินไป หรือแม้กระทั่งการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ 

- มีปัญหาสายตาอยู่แล้ว: คนที่สายตาสั้น ยาว หรือเอียง แต่ไม่ได้สวมแว่นที่เหมาะสม มักมีอาการตาล้ามากกว่าคนปกติทั่วไป

อาการตาล้าส่งผลกระทบต่อเราอย่างไรบ้าง ?

- ด้านการใช้ชีวิต: ปัญหาการมองเห็นจะส่งผลต่อกิจกรรมพื้นฐาน เช่น การอ่านเอกสาร การใช้คอมพิวเตอร์ การขับรถ หรือแม้แต่การมองหน้าคู่สนทนาของเรา ปัจจัยที่กล่าวมาล้วนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเราทั้งสิ้น 

- ด้านการทำงาน: ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ทำงานช้าลง และอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้

- ด้านสุขภาพตา: การที่ปล่อยให้ดวงตาล้าอยู่บ่อยครั้ง อาจทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมาได้ เช่น กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง กล้ามเนื้อตาอักเสบ เป็นต้น 

สัญญาณเตือนที่ต้องรีบพบจักษุแพทย์

- อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ หรือกลับมาเป็นบ่อยครั้ง

- ปวดตารุนแรง แสบตา และมีน้ำตาไหลตลอดเวลา

- มองเห็นภาพเบลอหรือซ้อนต่อเนื่อง

- มีอาการวิงเวียนศีรษะหรือปวดหัวร่วมด้วย

- รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก

การดูแลดวงตาเมื่อเริ่มมีอาการล้า

- เติมความชุ่มชื้นให้ดวงตา: หยอดน้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง โดยเฉพาะเมื่อทำงานในห้องแอร์ หรือสถานที่ที่มีอากาศแห้ง 

- ปกป้องตาจากแสง: สวมแว่นกรองแสงสีฟ้าขณะจ้องหน้าจอคอม หรือสวมแว่นกันแดดเมื่อออกไปข้างนอก เพื่อลดแสงที่กระทบดวงตา

- ประคบเย็นเพื่อผ่อนคลาย: ใช้ผ้าชุบน้ำหรือเจลเย็นประคบบริเวณดวงตาประมาณ 10-15 นาที จะช่วยให้กล้ามเนื้อดวงตาคลายและลดอาการอักเสบ 

- บริหารกล้ามเนื้อดวงตา: ใช้นิ้วชี้ชูขึ้นห่างจากใบหน้าประมาณ 20 ซม. แล้วสลับมองระหว่างนิ้วกับวัตถุที่อยู่ไกลประมาณ 3 เมตร มองทีละจุดประมาณ 2-3 วินาที ทำสลับไปมาประมาณ 10 ครั้ง

- ปรับการใช้งานหน้าจอ: วางหน้าจอให้อยู่ระดับที่ต่ำกว่าสายตาเล็กน้อย ระยะห่างประมาณ 50-70 ซม. และปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสมกับแสงในห้อง 

การป้องกันอาการตาล้า

- หยุดพักสายตาทุก 20 นาที เป็นเวลา 20 วินาที โดยมองไปที่วัตถุที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 6 เมตร 

- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง/คืน

- ปรับสภาพแวดล้อมการทำงาน จัดแสงสว่างให้เหมาะสม

- ดูแลสายตาเสมอโดยการตรวจสุขภาพตาปีละครั้ง 

- รับประทานอาหารที่บำรุงสายตา เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ปลาทะเล หรืออาหารที่มีวิตามินเอ ซี อี รวมถึงแร่ธาตุสังกะสีและแมกนีเซียม เป็นต้น

- หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษต่อดวงตา ลดการดื่มคาเฟอีน งดสูบบุหรี่ และจำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์

- กะพริบตาบ่อย ๆ เมื่อมองจอ เพื่อช่วยให้ตาไม่แห้ง

การป้องกันด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้งานจอ พักสายตาเป็นประจำ และการดูแลสุขภาพโดยรวม จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัญหาตาล้าได้ หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้อง เพราะดวงตาคู่เดียวที่เราใช้ตลอดชีวิต การดูแลรักษาตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้คุณมีสุขภาพตาที่ดีในระยะยาว
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่