💸 มนุษย์เงินเดือนที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมมาทั้งชีวิตพอเกษียณแล้วบำนาณชราภาพได้รับคุ้มค่าหรือไม่

กระทู้สนทนา
ปีหน้าประเทศไทยจะใช้สูตรบำนาณประกันสังคมใหม่ CARE ทำให้มนุษย์เงินเดือนที่มีภาระต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเกิดความสงสัยว่าเมื่อพวกเขาเกษียณแล้วบำนาณชราภาพที่ได้รับจากประกันสังคมจะมากขึ้นจากสูตรเก่าหรือไม่อย่างไร

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ผมจะเปรียบเทียบการคำนวณ "บำนาญชราภาพ" ระหว่าง สูตรเก่า (60 เดือนสุดท้าย) กับ สูตรใหม่ (CARE - Career Average) โดยใช้สมมติฐานว่าคุณมีอายุงาน 30 ปี และมีการปรับฐานเงินเดือนตามแผนของประกันสังคมในปี 2569 - 2575 ครับ

1. ข้อมูลสมมติฐานในการคำนวณ

ระยะเวลาส่งเงินสมทบ
30 ปี (360 เดือน)

อัตราบำนาญที่จะได้รับ
ตามกฎหมายคือ 20% (สำหรับ 15 ปีแรก) + 1.5% (ต่อทุก 1 ปีที่เกินมา)
สูตรคำนวณคือ 20% + (15 ปีที่เกินมา x 1.5%)  

เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม สมมติว่าหากคุณทำงานตั้งแต่อายุ 25 ปี และเกษียณตอนอายุ 60 ปี (รวมทำงาน 35 ปี) โดยมีเงินเดือนเกิน 15,000 บาทมาตลอด (ประกันสังคมใช้ฐานสูงสุดที่ 15,000 บาท)
-  คำนวณจำนวนปีที่เกิน 35 - 15 = 20 ปี (ตัวเลข 15 ปี มาจาก 180 เดือน ตาม ม.33)
-  คำนวณเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้น 20 x 1.5% = 30%
-  รวมเปอร์เซ็นต์ทั้งหมด: 20% (ฐาน) + 30% (ส่วนเพิ่ม) = 50%
-  คำนวณเป็นเงินบาท: 15,000 x 50% = 7,500 บาทต่อเดือน
ดังนั้น หากใครทำงานต่อเนื่องประมาณ 25-30 ปี อัตราผลตอบแทนจะอยู่ที่ประมาณ 35% - 42.5%

ฐานเงินเดือน
สมมติว่าในช่วงท้ายของการทำงาน คุณมีเงินเดือนเกิน 23,000 บาท

2. เปรียบเทียบการคำนวณแบบรูปธรรม

แบบที่ 1 สูตรเก่า (60 เดือนสุดท้าย)

สูตรนี้จะยึดเพดานเงินเดือนที่ 15,000 บาท เป็นหลัก (แม้คุณจะเงินเดือนจริง 50,000 บาทก็ตาม)
ฐานเงินเดือนเฉลี่ย 5 ปีสุดท้าย คือ 15,000 บาท
วิธีคำนวณ คือ 15,000 x 42.5%
บำนาญที่จะได้รับ คือ 6,375 บาท/เดือน

แบบที่ 2 สูตรใหม่ (CARE - Career Average)

สูตรนี้จะใช้ "ค่าจ้างเฉลี่ยตลอดอายุการทำงาน" แต่จุดสำคัญคือรัฐมีการขยับ "เพดาน" ขึ้นไปเป็น 23,000 บาท ทำให้ค่าเฉลี่ยสะสมสูงขึ้น
ฐานเงินเดือนเฉลี่ย (สมมติหลังปรับเพดานสะสม) คือ 21,500 บาท (เฉลี่ยจากฐานใหม่ที่ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป)
วิธีคำนวณ: 21,500 x 42.5%
บำนาญที่จะได้รับ คือ 9,137 บาท/เดือน

จะเห็นว่าได้เงินบำนาณชราภาพมากกว่าเดิม 2,762 บาท แต่อย่าลืมมองข้ามอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทุกปีด้วยนะครับ เพราะจะทำใหอำนาจซื้อลดลงในอนาคต ยิ่งนานปีเท่าไหร่อัตราเงินเฟ้อจะไปลดอำนาจซื้อลงไปมากเท่านั้น อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อก็ไม่แน่นอน มีขึ้นมีลง แต่กรอบเป้าหมายของรัฐที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อไว้ที่ 1% - 3% เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี

และข้อมูลทั้งหมดที่ผมนำเสนอมาก็คือเหตุผลสำคัญที่ผมพยายามเน้นย้ำว่า "ประกันสังคมก๊อกเดียวไม่พอ" ครับ เพราะระบบบำนาญไทย (รวมถึงสูตร CARE) ในปัจจุบัน ยังไม่มีกลไกปรับเพิ่มเงินบำนาญรายปีตามอัตราเงินเฟ้อ (Cost of Living Adjustment - COLA) เหมือนในประเทศแถบสแกนดิเนเวียหรือสหรัฐฯ สิ่งที่ควรจะทำก็คือการหาวิธีลงทุนที่เหมาะสม ตั้งแต่ตอนที่ยังมีแรงทำงานในปัจจุบันครับ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่