เตรียมรับมือสังคมไร้เด็ก!!!❌👶🏻❌

เตรียมรับมือสังคมไร้เด็ก! เมื่อคนไทย 44% ประกาศชัด ขออยู่ตัวคนเดียวดีกว่า

1. ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ประชากรครั้งสำคัญ โดยได้เข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ และมีอัตราการเกิดต่ำเป็นอันดับ 3 ของโลก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และอนาคตของประเทศในระยะยาว หากตัวเลขการเกิดยังคงอยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ต่อไปอย่างต่อเนื่องอาจทำให้ประเทศไทยเสี่ยงต่อการสูญเสียประชากรวัยทำงานและกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ

2. สถานการณ์เด็กเกิดใหม่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนการเกิดใหม่นั้นต่ำกว่าอัตราการเสียชีวิตมาตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งตัวเลขการเกิดใหม่ในปี 2567 อยู่ที่ 462240 คน เทียบกับการเสียชีวิตที่ 571646 คน ทำให้เกิดความกังวลว่าจำนวนประชากรไทยโดยรวมอาจลดลงต่ำกว่า 66 ล้านคนในปี 2568

3. เหตุผลหลักที่คนสมัยนี้ตัดสินใจไม่อยากมีลูกหรือมีลูกน้อยลงนั้น ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยทางด้านสภาพเศรษฐกิจและสภาพสังคมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเลี้ยงดูบุตรให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งรวมถึงปัญหาค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูที่สูงขึ้นอย่างมาก

4. ต้นทุนทางการเงิน (Monetary Cost) ในการเลี้ยงดูบุตรหนึ่งคนให้มีคุณภาพตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ขวบ ถูกประเมินว่าต้องใช้จ่ายสูงถึงประมาณ 1.2 ล้านบาทต่อคน ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ทำให้พ่อแม่หลายคนเกิดความกังวลอย่างมาก โดยเฉพาะในภาวะที่รายได้เฉลี่ยไม่เพิ่มขึ้นตามทันค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นนี้

5. หากพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรจนกระทั่งจบปริญญาตรีในสถาบันการศึกษาของรัฐบาล ตัวเลขจะสูงถึงประมาณ 1.6 ล้านบาทต่อคน หรือคิดเป็น 6.3 เท่าของรายได้ต่อหัวต่อปีของประชากรในปี 2565 และจะเพิ่มเป็นสองเท่าหากบุตรเข้าศึกษาในสถานศึกษาของเอกชน ซึ่งเป็นภาระที่ทำให้คนรุ่นใหม่คิดหนักก่อนตัดสินใจมีบุตร

6. ผลสำรวจของนิด้าโพลในปี 2566 ยืนยันว่า ความกังวลด้านค่าใช้จ่ายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนยังไม่มีลูกตัดสินใจไม่อยากมี โดยร้อยละ 38.32 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าสาเหตุคือไม่อยากเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก ซึ่งมีสัดส่วนเท่ากับความกังวลว่าบุตรจะอยู่รอดอย่างไรในสภาพสังคมปัจจุบัน

7. การมีบุตรยังนำมาซึ่ง ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ที่สำคัญสำหรับผู้หญิง เนื่องจากอาจต้องลดชั่วโมงการทำงาน หรือลาออกจากงานประจำเพื่อมาดูแลบุตร ทำให้สูญเสียรายได้และโอกาสในการก้าวหน้าทางอาชีพ ซึ่งมีการประเมินว่า ผู้หญิงที่เลื่อนการมีบุตรออกไปหนึ่งปี จะมีรายได้ตลอดชีวิตเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10

8. ผู้หญิงที่เปลี่ยนสถานะเป็นมารดาโดยเฉลี่ยมักมีรายได้ลดลงราวร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับผู้หญิงวัยเดียวกันที่มีวุฒิการศึกษาใกล้เคียงกันที่ไม่มีบุตร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเป็นมารดาเป็นอุปสรรคต่อการจ้างงานและระดับค่าจ้าง

9. นอกจากต้นทุนที่เป็นตัวเงิน ยังมีต้นทุนประเภทที่ไม่ใช่การเงิน (Non-Monetary Cost) ซึ่งรวมถึงการใช้พลังกายและพลังใจอย่างสูง ความอดทนในการให้กำเนิดและเลี้ยงดูบุตร ซึ่งเป็นภาระหนักอึ้งที่ผู้เป็นแม่ต้องแบกรับ

10. มูลค่าของงานบ้านที่ผู้หญิงหรือมารดาทำ ซึ่งเป็นงานที่ไม่มีค่าตอบแทนนั้น มีมูลค่าสูงถึงร้อยละ 26 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หรือประมาณ 4.8 ล้านล้านบาทในปี 2566 แต่กลับไม่ถูกนับรวมในบัญชีรายได้ประชาชาติ ซึ่งสะท้อนการด้อยค่าของแรงงานแม่ในระบบเศรษฐกิจกระแสหลัก

11. คนรุ่นใหม่จำนวนมากต้องการมีชีวิตที่เป็นอิสระ และให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าในอาชีพมากกว่าการมีบุตร ซึ่งเป็นเหตุผลที่ร้อยละ 33.23 ของผู้ที่ยังไม่มีลูกระบุว่า เป็นสาเหตุที่ไม่อยากมีบุตรเลย เพราะการมีบุตรทำให้สูญเสียโอกาสในการทำงานและการใช้ชีวิตตามที่ตนเองต้องการไป

12. ความกังวลต่อสภาพสังคม สิ่งแวดล้อม และการเมืองในปัจจุบัน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายคู่สามีภรรยาคิดว่า สังคมไทยอาจไม่ใช่สังคมที่น่าอยู่สำหรับบุตรของตนเอง ทำให้เลือกที่จะไม่มีบุตรดีกว่า เพราะไม่อยากให้ลูกมาลำบากหรือวิตกกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

13. การศึกษาในผู้หญิงทำงานที่ยังไม่มีบุตรในกรุงเทพมหานครพบว่า กลุ่มที่ตั้งใจไม่มีบุตรหรือน่าจะไม่มีบุตรมีความชุกสูงที่สุดถึงร้อยละ 55.5 ซึ่งสะท้อนแนวโน้มที่สอดคล้องกับอัตราการเกิดของประชากรไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

14. อายุเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความตั้งใจมีบุตรอย่างมีนัยสำคัญ โดยผลวิเคราะห์พบว่าเมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้น ความตั้งใจในการมีบุตรจะลดลง ซึ่งอาจเป็นผลจากข้อจำกัดทางชีวภาพที่ภาวะเจริญพันธุ์เริ่มลดลงอย่างชัดเจนหลังอายุ 32 ปี และลดลงอย่างรวดเร็วหลังอายุ 37 ปี

15. แม้จะมีอุปสรรคหลายด้าน แต่ทัศนคติเชิงบวกที่ว่า บุตรทำให้ชีวิตครอบครัวสมบูรณ์ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำนายความตั้งใจมีบุตรในผู้หญิงทำงานอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งชี้ว่าคุณค่าทางจิตใจยังเป็นแรงผลักดันให้คนอยากมีบุตรอยู่

16. อิทธิพลจากบุคคลรอบข้าง เช่น ครอบครัว คนรัก หรือญาติ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความตั้งใจมีบุตร ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนที่ระบุว่า การรับรู้แรงสนับสนุนหรือความคาดหวังจากคนสำคัญมีผลต่อการตัดสินใจมีบุตร

17. เพื่อลดภาระของมารดาและส่งเสริมการมีบุตรที่มีคุณภาพ รัฐบาลควรขยายวันลาคลอดของแม่แบบได้รับค่าจ้าง (Maternity Leave with Pay) จาก 98 วัน เป็น 180 วัน เพื่อให้แม่มีเวลาดูแลทารกและให้นมบุตรได้เต็มที่ ซึ่งถือเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่ต้น

18. ควรมีการขยายสิทธิการลาของบิดาเพื่อช่วยภรรยาดูแลลูกหลังคลอด (Paternity Leave) ให้มากกว่า 15 วัน ซึ่งปัจจุบันสิทธิดังกล่าวจำกัดเฉพาะข้าราชการเท่านั้น และควรเพิ่มการลาเพื่อดูแลบุตร (Parental Leave) ให้พ่อแม่สามารถสลับกันดูแลบุตรได้

19. ระบบสวัสดิการของไทยยังขาดช่วงเวลาสำคัญในการดูแลบุตรหลังคลอด โดยเกิดช่องว่างระหว่างการลาคลอด (98 วัน) จนถึงวัยที่เด็กจะได้รับการสนับสนุนให้เข้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของรัฐบาลได้ (อายุ 2-3 ปี) ซึ่งช่วงว่างนี้ยาวนานถึง 1 ปี 9 เดือน ทำให้ผู้หญิงต้องลาออกจากงานหรือฝากบุตรให้ญาติเลี้ยงดู

20. ภาครัฐควรเร่งจัดตั้งและพัฒนาบริการศูนย์ดูแลเด็กเล็กให้มีคุณภาพและครอบคลุมในทุกพื้นที่ โดยพร้อมรับเด็กตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป และควรมีเวลาปิด-เปิดที่ยืดหยุ่น เพื่อตอบสนองความต้องการของพ่อแม่ที่ต้องทำงานเป็นกะหรือทำงานนอกเวลาราชการ

21. นโยบายเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้าเป็นมาตรการสำคัญที่รัฐควรสนับสนุน โดยมีข้อเสนอให้รัฐบาลปรับเพิ่มเงินอุดหนุนสำหรับเด็ก 0-6 ขวบ เป็นอย่างน้อย 1200 - 3000 บาทต่อคนต่อเดือน เพื่อให้เงินสนับสนุนเพียงพอต่อค่าครองชีพในปัจจุบัน

22. ในปัจจุบัน มีเด็กปฐมวัยช่วง 0-6 ปี ประมาณ 4.3 ล้านคน แต่มีเพียงร้อยละ 38.5 เท่านั้นที่เข้าสู่ระบบสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยตามสังกัดของรัฐบาล โดยมีเด็กอีกกว่า 2.6 ล้านคน หรือร้อยละ 61.5 ที่ไม่ได้อยู่ในระบบและยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ ซึ่งถือเป็นความท้าทายเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข

23. รัฐบาลควรสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุนการมีบุตร โดยการให้มาตรการลดภาษีสำหรับองค์กรที่มีนโยบายสนับสนุนความยืดหยุ่นในการทำงานที่เป็นมิตรต่อครอบครัวของพนักงาน เช่น การจัดตั้งมุมนมแม่ การเพิ่มวันลาคลอด หรือการลดหย่อนภาษีกรณีบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษาปฐมวัย

24. การแก้ปัญหาเด็กเกิดน้อยจำเป็นต้องมีนโยบายเชิงรุก โดยต้องสร้างสภาพแวดล้อมและจัดกรอบงบประมาณด้านสวัสดิการให้เอื้อต่อการสร้างครอบครัวและการมีบุตร ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ

25. การเป็นแม่สร้างผลดีให้กับเศรษฐกิจประเทศ เพราะแม่คือผู้ให้กำเนิดแรงงานที่มีประสิทธิภาพในอนาคต ดังนั้นหากผู้หญิงสามารถมีบทบาทในตลาดแรงงานอย่างเต็มที่โดยไม่ถูกกีดกันเนื่องจากมีบุตร จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่ม GDP ของประเทศได้สูงขึ้น

26. ความขาดแคลนแรงงานอันเป็นผลจากวิกฤตประชากรจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในอนาคต นำไปสู่ข้อเสนอให้มีการขยายอายุเกษียณราชการเป็น 65 หรือ 70 ปี เพื่อใช้ประสบการณ์และความสามารถของบุคลากรสูงวัยทดแทนกำลังแรงงานที่ลดลง แต่มาตรการนี้เป็นเพียงการยืดเวลาและบรรเทาวิกฤตเท่านั้น

27. สำหรับกลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวยากจน หรือกลุ่มเปราะบาง รัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนทางการเงินและอาชีพอย่างจริงจัง เนื่องจากคนกลุ่มนี้ประสบปัญหาทางการเงินและความมั่นคงในชีวิตมากกว่าครอบครัวที่มีพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤตเศรษฐกิจ

28. การวางยุทธศาสตร์เพื่อส่งเสริมการมีบุตรในระยะยาวต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยมุ่งเน้นการสร้างสังคมที่ทุกคนมั่นใจและมีความพร้อมที่จะมีลูก ไม่ใช่เพียงการใช้นโยบายกระตุ้นการเกิดเป็นหลัก เพราะอาจส่งผลให้ได้ประชากรที่ไม่มีคุณภาพ หากนโยบายและสวัสดิการพื้นฐานไม่สามารถตอบโจทย์ค่าครองชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีได้

CR https://www.facebook.com/share/1C1GznGXSn/?mibextid=wwXIfr
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่