"The Covenant" ของ Guy Ritchie: หนังสงครามที่ทำให้ใจเต้นแรง แถมซึ้งจนน้ำตาคลอ!


TITLE: "The Covenant" ของ Guy Ritchie: หนังสงครามที่ทำให้ใจเต้นแรง แถมซึ้งจนน้ำตาคลอ!

สวัสดีครับชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีหนังดีๆ มาเล่าให้ฟังอีกเรื่อง ชื่อเรื่อง "Guy Ritchie's The Covenant" ครับ เป็นหนังสงครามที่ออกฉายปี 2023 นี่เอง ผมเพิ่งมีโอกาสได้ดูเมื่อไม่นานมานี้ บอกเลยว่าประทับใจมากๆ จนอยากเอามาแชร์ให้ทุกคนฟังครับ

ปกติผมไม่ใช่คอหนังสงครามจ๋าอะไรขนาดนั้นนะ แต่พอเห็นชื่อ Guy Ritchie ผู้กำกับที่ผมชื่นชอบมาตั้งแต่สมัย Lock, Stock and Two Smoking Barrels อะไรพวกนั้น ก็เลยตั้งใจว่าจะต้องหามาดูให้ได้ และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ครับ หนังเรื่องนี้มันมีอะไรมากกว่าแค่ฉากบู๊ระห่ำ มันมีเรื่องราวของความเป็นมนุษย์ มิตรภาพ และความเสียสละที่ทำให้เราอินตามไปด้วย

เรื่องย่อๆ ก็คือ หนังจะพาเราไปในสมรภูมิอัฟกานิสถาน เล่าเรื่องของ จ่าจอห์น คินลีย์ (รับบทโดย Jake Gyllenhaal) ทหารอเมริกันที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และ อาร์ชิด (รับบทโดย Dar Salim) ล่ามชาวอัฟกันที่ทำงานร่วมกับกองทัพอเมริกา อาร์ชิดได้ช่วยชีวิตคินลีย์ไว้ในสถานการณ์ที่อันตรายสุดๆ หลังจากเหตุการณ์นั้น คินลีย์ก็กลับบ้านไปใช้ชีวิต แต่เขาก็ไม่เคยลืมบุญคุณของอาร์ชิด และรู้ดีว่าอาร์ชิดและครอบครัวกำลังตกอยู่ในอันตรายจากการที่เคยช่วยเหลือชาวอเมริกัน

จุดเด่นที่ผมชอบมากๆ ของหนังเรื่องนี้คือการเล่าเรื่องครับ Guy Ritchie แกเก่งในการตัดต่อ การสลับฉาก การสร้างจังหวะที่ทำให้หนังมันลุ้นระทึกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะเป็นหนังสงครามที่เน้นความเป็นดราม่าและอารมณ์ แต่ฉากแอ็คชั่นก็ทำออกมาได้ถึงเครื่องจริงๆ ครับ สมจริง ดิบ และทรงพลัง ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ

การแสดงของ Jake Gyllenhaal นี่ไม่ต้องพูดถึงครับ แกเล่นได้เข้าถึงบทบาทมากๆ แสดงถึงความเจ็บปวด ความรู้สึกผิด และความมุ่งมั่นที่จะชดใช้บุญคุณได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วน Dar Salim ในบทของอาร์ชิด ก็เล่นได้ดีไม่แพ้กันครับ การแสดงออกทางสีหน้า แววตา ทำให้เราเห็นถึงความกล้าหาญ ความภักดี และความหวังที่ริบหรี่ของเขา

สิ่งที่ทำให้ "The Covenant" แตกต่างจากหนังสงครามเรื่องอื่นๆ ที่ผมเคยดู คือการที่หนังไม่ได้เน้นแค่ความโหดร้ายของสงคราม หรือการเชิดชูวีรกรรมของทหารฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่หนังกลับเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์สองคนที่มาจากต่างวัฒนธรรม ต่างเชื้อชาติ แต่กลับต้องมาพึ่งพาอาศัยกันในสถานการณ์ที่บีบคั้นที่สุด มันแสดงให้เห็นถึงความเป็นเพื่อนแท้ มิตรภาพที่ไม่มีเส้นแบ่งของพรมแดนหรืออคติ

อีกประเด็นที่ผมว่าน่าสนใจคือ หนังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและผลกระทบของสงครามที่ตกอยู่กับคนในพื้นที่จริงๆ ครับ การที่อาร์ชิดและครอบครัวต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง เพราะเคยช่วยเหลือชาวต่างชาติ มันทำให้เราเห็นอีกมุมหนึ่งของสงครามที่ไม่ใช่แค่การสู้รบ แต่คือชีวิตของผู้คนธรรมดาที่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง

ผมชอบวิธีที่ Guy Ritchie ค่อยๆ บิ้วอารมณ์ครับ เริ่มต้นอาจจะดูเหมือนหนังสงครามทั่วไป แต่พอเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ความผูกพันระหว่างคินลีย์กับอาร์ชิดมันก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น จนถึงจุดพีคที่คินลีย์ตัดสินใจกลับไปช่วยอาร์ชิดอีกครั้ง ฉากที่คินลีย์ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เพื่อไปช่วยอาร์ชิดนี่ ผมนั่งลุ้นจนตัวโก่งเลยครับ แทบจะตะโกนเชียร์อยู่หน้าจอ

และฉากที่ทำให้ผมน้ำตาคลอ คือช่วงท้ายๆ ของเรื่องครับ มันเป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงความเสียสละ การตอบแทนบุญคุณ และความหมายที่แท้จริงของคำว่า "สหาย" ที่ไม่ได้วัดกันที่ชาติพันธุ์หรือภาษา แต่วัดกันที่การกระทำและความผูกพันในหัวใจ

ดนตรีประกอบก็มีส่วนช่วยเสริมอารมณ์ของหนังได้ดีมากๆ ครับ บางช่วงก็เร้าใจ บางช่วงก็ซึ้งกินใจ เข้ากับบรรยากาศของแต่ละฉากได้อย่างลงตัว

โดยรวมแล้ว "Guy Ritchie's The Covenant" เป็นหนังที่ผมอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองหามาดูกันครับ ถึงแม้จะเป็นหนังสงคราม แต่ก็มีมิติทางอารมณ์ที่ลึกซึ้ง มีฉากแอ็คชั่นที่มันส์ถึงใจ และมีเรื่องราวของมิตรภาพและความเสียสละที่จะทำให้คุณประทับใจไปอีกนาน

ใครที่ชอบผลงานของ Guy Ritchie อยู่แล้ว รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ ส่วนใครที่ยังไม่เคยดู ลองเปิดใจดูเรื่องนี้ดูนะครับ อาจจะค้นพบว่าหนังสงครามก็ไม่ได้มีแต่ความรุนแรงเสมอไป แต่มันสามารถถ่ายทอดเรื่องราวความดีงามของมนุษย์ได้อย่างงดงาม

ผมให้คะแนนเรื่องนี้เต็ม 10 ไปเลยครับ เป็นหนังที่ดูแล้วคุ้มค่ากับเวลาแน่นอน

มีใครได้ดูแล้วบ้างครับ มาแชร์ความรู้สึกกันได้เลยนะครับ ผมอยากรู้ว่าคนอื่นคิดเห็นอย่างไรบ้าง!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่