เบื้องหลังปลาสวยงามที่ไม่สวยอย่างที่คิด กับความเสี่ยง ... (เงียบ) ... ที่สังคมมองข้าม

การลักลอบนำเข้าปลาสวยงามไม่ใช่เรื่องเล็กหรือปัญหาเฉพาะของผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย หากแต่เป็น "ความเสี่ยงเชิงระบบ" ที่กำลังส่งผลต่อความมั่นคงทางชีวภาพ ระบบนิเวศ เศรษฐกิจการเพาะเลี้ยงของไทย และความเป็นธรรมในตลาด ปัญหานี้ดำรงอยู่ ไม่ใช่เพราะผู้ลักลอบเพียงอย่างเดียว แต่เพราะโครงสร้างตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ยังไม่ได้รับการตั้งคำถามอย่างจริงจัง


บริบทของปัญหา
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดปลาสวยงามในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากงานอดิเรกเฉพาะกลุ่ม สู่ธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและเชื่อมโยงกับตลาดโลก การขยายตัวดังกล่าวเกิดขึ้นเร็วกว่าการปรับตัวของระบบกำกับดูแล ส่งผลให้การลักลอบนำเข้าพัฒนาเป็นกลไกคู่ขนานของตลาด

ในช่วงหลัง การค้าออนไลน์และการขนส่งพัสดุรายย่อย ทำให้ปลาสวยงามจากต่างประเทศสามารถเข้าสู่ประเทศไทยได้ง่ายขึ้น โดยหลบเลี่ยงการตรวจโรคและการกักกันตามกฎหมาย ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่ “ปลาในตู้” แต่ขยายไปสู่ ฟาร์มเพาะเลี้ยง แหล่งน้ำธรรมชาติ และผู้บริโภคทั้งระบบ

หากสังคมยังมองว่าการลักลอบนำเข้าปลาสวยงามเป็น “เรื่องไกลตัว” ประเทศไทยจะต้องแบกรับต้นทุนระยะยาวที่สูงกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจที่ได้มาอย่างมาก ซึ่งปัญหาในการลักลอบนำเข้าไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่ฝังรากลึกอยู่คู่กับสังคมไทยมานานหลายทศวรรษ

ความไม่สอดคล้องกันระหว่าง นโยบายกำกับดูแลของภาครัฐ กลไกตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภค กำลังนำไปสู่ปัญหาเชิงโครงสร้างที่สังคมไทยควรต้องตระหนัก

แม้ในช่วงหลัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย แต่ปัญหายังคงดำรงอยู่และมีแนวโน้มซับซ้อนมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าแนวทางที่ใช้อยู่ยังไม่สามารถแก้ไข “ต้นตอของปัญหา” ได้อย่างแท้จริง

การเติบโตของตลาดปลาสวยงามที่เร็วกว่านโยบายกำกับ

ก่อนปี 2530 ตลาดปลาสวยงามของไทยมีขนาดเล็กและจำกัดอยู่ในวงแคบๆ การนำเข้าจึงอยู่ในระดับที่ระบบรัฐสามารถรองรับได้ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา ความต้องการเพื่อสะสมปลาหายากและปลาสายพันธุ์ใหม่จากต่างประเทศกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กรอบกฎหมายและกลไกการควบคุม ยังคงอิงกับโครงสร้างตลาดแบบเดิม ส่งผลให้เกิด “ช่องว่างเชิงนโยบาย” ระหว่างความเป็นจริงของตลาดกับความสามารถในการกำกับดูแล

จากงานอดิเรกสู่ธุรกิจขนาดใหญ่ กระแสการเลี้ยงปลาสวยงามขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปลาหายากจากแอฟริกาและอเมริกาใต้เริ่มเป็นที่ต้องการในตลาดไทย พร้อมๆ กับการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทางการค้า ในช่วงเวลานี้เองที่เริ่มพบการนำเข้าปลาที่ไม่แจ้งชนิดจริง ปลอมแปลงเอกสารการนำเข้า หรือหลีกเลี่ยงขั้นตอนการตรวจโรค ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการลักลอบนำเข้าในเชิงพาณิชย์อย่างชัดเจน

หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ปลาสวยงามกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่หันมาทำอาชีพเพาะเลี้ยงและค้าขาย ความต้องการปลาหายากราคาสูงยิ่งเร่งให้การลักลอบมีความซับซ้อนมากขึ้น มีการซุกซ่อนปลาในสินค้าประเภทอื่น หรือแบ่งการขนส่งออกเป็นหลายครั้งเพื่อลดความเสี่ยง การลักลอบในช่วงนี้เริ่มพัฒนาเป็น “อาชีพเฉพาะทาง” มากกว่าการกระทำเป็นครั้งคราว

ขั้นตอนการนำเข้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย แลกมาด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งค่าเอกสาร การกักกันโรค ระยะเวลา และความไม่แน่นอนของกระบวนการ ในขณะที่บทลงโทษสำหรับการลักลอบนำเข้ากับมูลค่าที่ได้รับ ทำให้ “การฝ่าฝืนมีแรงจูงใจมากกว่าการปฏิบัติตาม”

ปัญหาเริ่มทวีความรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหลังปี 2550 เป็นต้นมา การค้าออนไลน์และการขนส่งข้ามประเทศได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด การขนส่งทางอากาศที่รวดเร็วและต้นทุนต่ำได้เปลี่ยนรูปแบบของการลักลอบปลาหายาก และปลาสายพันธุ์ใหม่จากต่างประเทศ

ช่วงหลังปี 2560 รูปแบบการลักลอบนำเข้าเปลี่ยนแปลงไปจากการนำเข้าเป็นล็อตใหญ่ มาเป็นการส่งพัสดุแยกย่อยเป็นจำนวนมาก กระจายส่ง ครั้งละไม่มาก และตรวจสอบได้ยากขึ้น เชื่อมโยงโดยตรงกับตลาดค้าขายออนไลน์ ผลกระทบเริ่มไม่ได้จำกัดอยู่แค่การฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น แต่ขยายไปถึงการทำลายความเชื่อมั่นในระบบควบคุมของรัฐ กระทบต่อผู้เพาะเลี้ยงที่ทำถูกต้อง และสร้างความเสี่ยงต่อระบบนิเวศในระยะยาว

ในขณะที่ระบบควบคุมของรัฐซึ่งยังเน้นการตรวจด่านนำเข้าแบบดั้งเดิม จึงไม่สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดการลักลอบนำเข้าจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

• ความเสี่ยงด้านชีวอนามัยและระบบนิเวศที่ยังถูกประเมินต่ำ
การลักลอบนำเข้าปลาสวยงามไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะด้านกฎหมายหรือเศรษฐกิจ แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงจากโรคสัตว์น้ำชนิดใหม่ และการแพร่กระจายของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่อาจกลายเป็นชนิดรุกราน ซึ่งความเสียหายมักปรากฏในระยะยาว ทำให้การตอบสนองเชิงนโยบายมักล่าช้าและไม่ทันต่อสถานการณ์

• การขาดกลไกความรับผิดร่วมของตลาด
นโยบายส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นการควบคุมที่ “ต้นทางนำเข้า” โดยให้ภาระอยู่ที่รัฐเป็นหลัก ขณะที่ผู้ประกอบการ ร้านค้า แพลตฟอร์มออนไลน์ และผู้บริโภค ยังไม่มีบทบาทหรือความรับผิดเชิงนโยบายอย่างชัดเจน ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานขาดความโปร่งใส และไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างแท้จริง

ข้อพิจารณาเชิงนโยบาย
การแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าปลาสวยงามจำเป็นต้องปรับกรอบคิดจาก “การจับกุมเป็นรายกรณี” ไปสู่ “การจัดการเชิงระบบ” โดยควรพิจารณาแนวทางต่อไปนี้

• ปรับโครงสร้างต้นทุนและแรงจูงใจ ให้การนำเข้าอย่างถูกกฎหมายแข่งขันได้จริง
• พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงตลาดออนไลน์
• บูรณาการนโยบายด้านการค้า เกษตร สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางชีวภาพ
• สร้างกลไกความรับผิดร่วมของรัฐ เอกชน และผู้บริโภค


หากยังคงแก้ปัญหาเฉพาะปลายทาง ปัญหาการลักลอบนำเข้าปลาสวยงามจะยังคงอยู่ต่อไปอย่างเงียบๆ และสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความน่าเชื่อถือของรัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

ปลาสวยงามในตู้ กำลังสะท้อนคุณภาพของนโยบายและความรับผิดของสังคมไทยทั้งระบบ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่