หลายคนเมื่อยื่นภาษีเงินได้ทั้งบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล อาจมีสิทธิ์ได้รับ เงินคืนภาษี
เช่น ยื่นแบบแล้ว หักภาษีไว้เกิน หรือมีสิทธิลดหย่อนเพิ่มเติม แต่ไม่ได้คำนวณให้ครบตั้งแต่แรกค่ะ
กระทู้นี้จะพาไปรู้จักขั้นตอนหลัก ๆ ที่ใช้ในการขอเงินคืนภาษีอย่างเป็นระบบ พร้อมส่วนที่ควรระวังให้เข้าใจง่ายค่ะ
เงินคืนภาษีคืออะไร?
เงินคืนภาษี (Tax Refund) คือ เงินภาษีที่จ่ายไปเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด
เช่น คุณถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายมากเกินไป หรือมีสิทธิลดหย่อนที่ยังไม่ได้คำนวณเข้ามาในแบบภาษี
ในกรณีเช่นนี้ ภาษีที่เกินจ่ายสามารถ ขอคืนจากกรมสรรพากร ได้ค่ะ
ซึ่งเป็น “สิทธิของผู้เสียภาษี” ที่ควรรู้และใช้ให้ถูกต้องเพื่อไม่เสียเงินโดยไม่จำเป็นค่ะ
ใครมีสิทธิ์ขอเงินคืนภาษี?
โดยทั่วไปผู้ที่อาจมีสิทธิ์ขอเงินคืนภาษี ได้แก่:
✔ ผู้ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเกิน
✔ ผู้ที่มีรายได้แต่ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี
✔ ผู้ที่ใช้ค่าใช้จ่ายหรือลดหย่อนบางอย่าง แล้วไม่ได้นำมาคำนวณในแบบ
✔ ผู้ประกอบการที่ยื่นภาษีแบบถูกต้องแล้วพบว่าจ่ายเกินจริง
สรุปคือ ถ้าคุณทำ แบบภาษีถูกต้อง และพบว่าจ่ายเกินกว่าที่ควรจะเป็น ก็มีสิทธิ์ขอเงินคืนค่ะ
การเตรียมเอกสารมีอะไรบ้าง?
เมื่อคิดจะขอเงินคืนภาษี ควรเตรียมเอกสารดังนี้ค่ะ:
📌 แบบ ภ.ง.ด. ที่ยื่น
📌 เอกสารแสดงการถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย
📌 หลักฐานการจ่ายค่าลดหย่อน
📌 บัญชีเงินฝากที่ต้องการให้โอนเงินคืน
📌 เอกสารประกอบอื่น (ถ้ามี เช่น ใบเสร็จบริจาค)
การจัดเตรียมให้ครบตั้งแต่แรก จะช่วยให้กระบวนการขอคืนราบรื่นและไม่ยืดเยื้อค่ะ
ขั้นตอนขอเงินคืนภาษีแบบง่าย ๆ
1. ตรวจสอบภาษีที่ชำระเกิน
เช็กว่าเมื่อยื่นแบบครบแล้วคุณ จ่ายภาษีเกินจริงหรือไม่
ในระบบยื่นภาษีของกรมสรรพากรจะมีตัวเลขเปรียบเทียบให้เห็นชัดค่ะ
2. กรอกแบบคำขอคืนภาษี
หลายครั้งผู้เสียภาษีจะต้องกรอกแบบฟอร์มที่กรมสรรพากรกำหนดประกอบส่งหลักฐาน
3. แนบเอกสารประกอบการขอคืน
แนบเอกสารแสดงการชำระภาษี รายการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือหลักฐานลดหย่อนที่เกี่ยวข้องค่ะ
4. ส่งแบบพร้อมเอกสาร
สามารถส่งได้ทั้งผ่านระบบออนไลน์ (ถ้ามีช่องทาง) หรือส่งที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ของคุณ
5. รอการตรวจสอบจากสรรพากร
เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเอกสาร หากทุกอย่างถูกต้องและครบถ้วน
ก็จะดำเนินการโอนเงินคืนเข้าบัญชีที่คุณระบุไว้ค่ะ
ระยะเวลาที่ต้องรอ
ระยะเวลาที่ใช้ดำเนินการอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณงานของสำนักงานสรรพากร และความครบถ้วนของเอกสาร
บางรายอาจได้รับเงินคืนในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ขณะที่บางรายอาจต้องใช้เวลานานกว่าเดือนค่ะ
ดังนั้นควรตรวจสอบสถานะและติดตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอค่ะ
ข้อควรระวังเวลาเรียกคืนภาษี
📌 อย่าลืมตรวจแบบภาษีให้ถูกต้องก่อนยื่น
📌 เก็บหลักฐานลดหย่อนอย่างเป็นระบบ
📌 ระวังการกรอกข้อมูลผิด เช่น เลขบัญชีผิด
📌 ถ้ามีข้อสงสัย ควรสอบถามเจ้าหน้าที่สรรพากรเพื่อความชัดเจน
การเตรียมตัวตั้งแต่แรก จะช่วยลดเวลาที่ต้องรอและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ
วิธีขอเงินคืนภาษี ขั้นตอนแบบเข้าใจง่าย
เช่น ยื่นแบบแล้ว หักภาษีไว้เกิน หรือมีสิทธิลดหย่อนเพิ่มเติม แต่ไม่ได้คำนวณให้ครบตั้งแต่แรกค่ะ
กระทู้นี้จะพาไปรู้จักขั้นตอนหลัก ๆ ที่ใช้ในการขอเงินคืนภาษีอย่างเป็นระบบ พร้อมส่วนที่ควรระวังให้เข้าใจง่ายค่ะ
เงินคืนภาษีคืออะไร?
เงินคืนภาษี (Tax Refund) คือ เงินภาษีที่จ่ายไปเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด
เช่น คุณถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายมากเกินไป หรือมีสิทธิลดหย่อนที่ยังไม่ได้คำนวณเข้ามาในแบบภาษี
ในกรณีเช่นนี้ ภาษีที่เกินจ่ายสามารถ ขอคืนจากกรมสรรพากร ได้ค่ะ
ซึ่งเป็น “สิทธิของผู้เสียภาษี” ที่ควรรู้และใช้ให้ถูกต้องเพื่อไม่เสียเงินโดยไม่จำเป็นค่ะ
ใครมีสิทธิ์ขอเงินคืนภาษี?
โดยทั่วไปผู้ที่อาจมีสิทธิ์ขอเงินคืนภาษี ได้แก่:
✔ ผู้ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเกิน
✔ ผู้ที่มีรายได้แต่ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี
✔ ผู้ที่ใช้ค่าใช้จ่ายหรือลดหย่อนบางอย่าง แล้วไม่ได้นำมาคำนวณในแบบ
✔ ผู้ประกอบการที่ยื่นภาษีแบบถูกต้องแล้วพบว่าจ่ายเกินจริง
สรุปคือ ถ้าคุณทำ แบบภาษีถูกต้อง และพบว่าจ่ายเกินกว่าที่ควรจะเป็น ก็มีสิทธิ์ขอเงินคืนค่ะ
การเตรียมเอกสารมีอะไรบ้าง?
เมื่อคิดจะขอเงินคืนภาษี ควรเตรียมเอกสารดังนี้ค่ะ:
📌 แบบ ภ.ง.ด. ที่ยื่น
📌 เอกสารแสดงการถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย
📌 หลักฐานการจ่ายค่าลดหย่อน
📌 บัญชีเงินฝากที่ต้องการให้โอนเงินคืน
📌 เอกสารประกอบอื่น (ถ้ามี เช่น ใบเสร็จบริจาค)
การจัดเตรียมให้ครบตั้งแต่แรก จะช่วยให้กระบวนการขอคืนราบรื่นและไม่ยืดเยื้อค่ะ
ขั้นตอนขอเงินคืนภาษีแบบง่าย ๆ
1. ตรวจสอบภาษีที่ชำระเกิน
เช็กว่าเมื่อยื่นแบบครบแล้วคุณ จ่ายภาษีเกินจริงหรือไม่
ในระบบยื่นภาษีของกรมสรรพากรจะมีตัวเลขเปรียบเทียบให้เห็นชัดค่ะ
2. กรอกแบบคำขอคืนภาษี
หลายครั้งผู้เสียภาษีจะต้องกรอกแบบฟอร์มที่กรมสรรพากรกำหนดประกอบส่งหลักฐาน
3. แนบเอกสารประกอบการขอคืน
แนบเอกสารแสดงการชำระภาษี รายการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือหลักฐานลดหย่อนที่เกี่ยวข้องค่ะ
4. ส่งแบบพร้อมเอกสาร
สามารถส่งได้ทั้งผ่านระบบออนไลน์ (ถ้ามีช่องทาง) หรือส่งที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ของคุณ
5. รอการตรวจสอบจากสรรพากร
เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเอกสาร หากทุกอย่างถูกต้องและครบถ้วน
ก็จะดำเนินการโอนเงินคืนเข้าบัญชีที่คุณระบุไว้ค่ะ
ระยะเวลาที่ต้องรอ
ระยะเวลาที่ใช้ดำเนินการอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณงานของสำนักงานสรรพากร และความครบถ้วนของเอกสาร
บางรายอาจได้รับเงินคืนในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ขณะที่บางรายอาจต้องใช้เวลานานกว่าเดือนค่ะ
ดังนั้นควรตรวจสอบสถานะและติดตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอค่ะ
ข้อควรระวังเวลาเรียกคืนภาษี
📌 อย่าลืมตรวจแบบภาษีให้ถูกต้องก่อนยื่น
📌 เก็บหลักฐานลดหย่อนอย่างเป็นระบบ
📌 ระวังการกรอกข้อมูลผิด เช่น เลขบัญชีผิด
📌 ถ้ามีข้อสงสัย ควรสอบถามเจ้าหน้าที่สรรพากรเพื่อความชัดเจน
การเตรียมตัวตั้งแต่แรก จะช่วยลดเวลาที่ต้องรอและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ