จาก3แนวคิดของฟิสิกส์ยุคใหม่
จักรวาล คือ เครือข่ายของข้อมูลที่ถักทอเข้าด้วยกันผ่านความพัวพันควอนตัม จนเกิดเป็นรูปทรงของเวลาและสถานที่ขึ้นมา
1. "Information is Physical" (ข้อมูลคือกายภาพ)
ที่มา: Rolf Landauer (1961) นักฟิสิกส์จาก IBM ผู้เสนอ "หลักการของแลนเดาเออร์"
วิธีคิด: ในอดีตเราคิดว่า "ข้อมูล" เป็นสิ่งนามธรรม (เช่น ตัวเลขในหัว)
แต่ในความเป็นจริง ข้อมูลต้องมีที่อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ ในสมอง หรือในสถานะของอะตอม
อุปมาอุปไมย: เหมือนกับ "รอยเท้าบนทราย" ข้อมูลคือรูปร่างของรอยเท้า แต่คุณจะมีรอยเท้าไม่ได้ถ้าไม่มีเม็ดทราย
การลบข้อมูล (ลบรอยเท้า) ต้องใช้พลังงานและสร้างความร้อนเสมอ
ตัวอย่าง: ยิ่งเราพยายามลบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ให้เร็วขึ้น เครื่องจะยิ่งร้อนขึ้น
เพราะข้อมูลมีสถานะทางฟิสิกส์ที่เชื่อมโยงกับพลังงานและเอนโทรปี (Entropy)
2. "Entanglement = Resource" (ความพัวพันควอนตัมคือทรัพยากร)
ที่มา: ทฤษฎีข้อมูลควอนตัม (Quantum Information Theory) ยุคปี 90s - ปัจจุบัน
วิธีคิด: ความพัวพัน (Entanglement) ไม่ได้เป็นแค่ปรากฏการณ์ประหลาดที่ไอน์สไตน์เรียกว่า "Spooky action at a distance" อีกต่อไป แต่มันคือ "เชื้อเพลิง" หรือ "เงินตรา" ชนิดใหม่
อุปมาอุปไมย: เหมือน "เหรียญวิเศษสองเหรียญ" ที่ต่อให้แยกห่างกันคนละซีกโลก ถ้าเหรียญหนึ่งออกหัว
อีกเหรียญจะออกก้อยทันที "ความเชื่อมโยง" นี้เองที่เราเอาไปใช้ส่งข้อมูลที่เจาะไม่ได้ (Cryptography)
หรือประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่เร็วระดับมหาศาล
ตัวอย่าง: ในคอมพิวเตอร์ควอนตัม เราวัดค่าความเก่งของเครื่องจาก
จำนวน "คิวบิตที่มีความพัวพันกัน" ยิ่งมีมาก ทรัพยากรในการคำนวณก็ยิ่งสูงขึ้น
3. "Spacetime from Entanglement" (กาลอวกาศเกิดจากความพัวพัน)
ที่มา: Juan Maldacena และ Leonard Susskind (2013) กับทฤษฎี "ER = EPR"
วิธีคิด: นี่คือแนวคิดที่ล้ำที่สุดในปัจจุบัน นักฟิสิกส์เชื่อว่า "อวกาศ" (Space) ไม่ได้เป็นพื้นหลังว่างเปล่า แต่มันถูก "ถักทอ" ขึ้นมาจากการที่อนุภาคเล็กๆ จำนวนมหาศาลพัวพันกัน (Entangle)
อุปมาอุปไมย: เหมือน "ผืนผ้านิตติ้ง" (Sweater)
ไหมพรมแต่ละเส้น คือ "ความพัวพันควอนตัม"
รูปทรงของเสื้อ คือ "กาลอวกาศ" (Spacetime)
ถ้าคุณดึงด้าย (ตัดความพัวพัน) ออกทั้งหมด เสื้อก็จะหายไป เหลือเพียงไหมพรมกองหนึ่งที่ไม่มีรูปร่าง พื้นที่ว่างระหว่างจุด A ไปจุด B เกิดขึ้นได้เพราะมี "ด้าย" แห่งความพัวพันยึดพวกมันไว้
ตัวอย่าง: ทฤษฎี ER = EPR เสนอว่า รูหนอน (Einstein-Rosen Bridge) และ ความพัวพันควอนตัม (EPR) คือสิ่งเดียวกันในระดับลึก ถ้าไม่มีความพัวพัน จักรวาลจะแตกสลายออกเป็นชิ้นๆ ที่ไม่เชื่อมต่อกันเลย
จาก3แนวคิดของฟิสิกส์ยุคใหม่ จักรวาลคือเครือข่ายข้อมูลที่ถักทอเข้าด้วยกันผ่านความพัวพันควอนตัม จนเกิดเป็นspace-time
จักรวาล คือ เครือข่ายของข้อมูลที่ถักทอเข้าด้วยกันผ่านความพัวพันควอนตัม จนเกิดเป็นรูปทรงของเวลาและสถานที่ขึ้นมา
1. "Information is Physical" (ข้อมูลคือกายภาพ)
ที่มา: Rolf Landauer (1961) นักฟิสิกส์จาก IBM ผู้เสนอ "หลักการของแลนเดาเออร์"
วิธีคิด: ในอดีตเราคิดว่า "ข้อมูล" เป็นสิ่งนามธรรม (เช่น ตัวเลขในหัว)
แต่ในความเป็นจริง ข้อมูลต้องมีที่อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ ในสมอง หรือในสถานะของอะตอม
อุปมาอุปไมย: เหมือนกับ "รอยเท้าบนทราย" ข้อมูลคือรูปร่างของรอยเท้า แต่คุณจะมีรอยเท้าไม่ได้ถ้าไม่มีเม็ดทราย
การลบข้อมูล (ลบรอยเท้า) ต้องใช้พลังงานและสร้างความร้อนเสมอ
ตัวอย่าง: ยิ่งเราพยายามลบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ให้เร็วขึ้น เครื่องจะยิ่งร้อนขึ้น
เพราะข้อมูลมีสถานะทางฟิสิกส์ที่เชื่อมโยงกับพลังงานและเอนโทรปี (Entropy)
2. "Entanglement = Resource" (ความพัวพันควอนตัมคือทรัพยากร)
ที่มา: ทฤษฎีข้อมูลควอนตัม (Quantum Information Theory) ยุคปี 90s - ปัจจุบัน
วิธีคิด: ความพัวพัน (Entanglement) ไม่ได้เป็นแค่ปรากฏการณ์ประหลาดที่ไอน์สไตน์เรียกว่า "Spooky action at a distance" อีกต่อไป แต่มันคือ "เชื้อเพลิง" หรือ "เงินตรา" ชนิดใหม่
อุปมาอุปไมย: เหมือน "เหรียญวิเศษสองเหรียญ" ที่ต่อให้แยกห่างกันคนละซีกโลก ถ้าเหรียญหนึ่งออกหัว
อีกเหรียญจะออกก้อยทันที "ความเชื่อมโยง" นี้เองที่เราเอาไปใช้ส่งข้อมูลที่เจาะไม่ได้ (Cryptography)
หรือประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่เร็วระดับมหาศาล
ตัวอย่าง: ในคอมพิวเตอร์ควอนตัม เราวัดค่าความเก่งของเครื่องจาก
จำนวน "คิวบิตที่มีความพัวพันกัน" ยิ่งมีมาก ทรัพยากรในการคำนวณก็ยิ่งสูงขึ้น
3. "Spacetime from Entanglement" (กาลอวกาศเกิดจากความพัวพัน)
ที่มา: Juan Maldacena และ Leonard Susskind (2013) กับทฤษฎี "ER = EPR"
วิธีคิด: นี่คือแนวคิดที่ล้ำที่สุดในปัจจุบัน นักฟิสิกส์เชื่อว่า "อวกาศ" (Space) ไม่ได้เป็นพื้นหลังว่างเปล่า แต่มันถูก "ถักทอ" ขึ้นมาจากการที่อนุภาคเล็กๆ จำนวนมหาศาลพัวพันกัน (Entangle)
อุปมาอุปไมย: เหมือน "ผืนผ้านิตติ้ง" (Sweater)
ไหมพรมแต่ละเส้น คือ "ความพัวพันควอนตัม"
รูปทรงของเสื้อ คือ "กาลอวกาศ" (Spacetime)
ถ้าคุณดึงด้าย (ตัดความพัวพัน) ออกทั้งหมด เสื้อก็จะหายไป เหลือเพียงไหมพรมกองหนึ่งที่ไม่มีรูปร่าง พื้นที่ว่างระหว่างจุด A ไปจุด B เกิดขึ้นได้เพราะมี "ด้าย" แห่งความพัวพันยึดพวกมันไว้
ตัวอย่าง: ทฤษฎี ER = EPR เสนอว่า รูหนอน (Einstein-Rosen Bridge) และ ความพัวพันควอนตัม (EPR) คือสิ่งเดียวกันในระดับลึก ถ้าไม่มีความพัวพัน จักรวาลจะแตกสลายออกเป็นชิ้นๆ ที่ไม่เชื่อมต่อกันเลย