
TITLE: ดู "Catch Me If You Can" แล้วอึ้ง! นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย!
สวัสดีครับชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีหนังดี หนังเด็ด มาเล่าให้ฟังอีกเรื่องครับ ชื่อเรื่องว่า "Catch Me If You Can" ของผู้กำกับระดับตำนานอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก ที่เข้าฉายตั้งแต่ปี 2002 โน่นเลย แต่บอกเลยว่าถึงจะผ่านมานานแค่ไหน ความสนุก ความลุ้น ความอึ้ง มันยังคงอยู่ครบถ้วนครับ
เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มขึ้นเมื่อ แฟรงค์ อะบาเนล จูเนียร์ หนุ่มน้อยหน้าใสวัย 16 ปี ที่ต้องเผชิญกับปัญหาครอบครัว เมื่อพ่อแม่ของเขากำลังจะหย่ากัน ความเครียด ความเสียใจ มันผลักดันให้เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้าน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยสุดเหลือเชื่อ ที่จะทำให้เรานั่งไม่ติดเก้าอี้เลยครับ
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มันเจ๋งสุดๆ ก็คือ ตัวละครหลักของเรื่องอย่าง แฟรงค์ อะบาเนล จูเนียร์ ที่รับบทโดย ลีโอนาร์โด ดิแคพริโอ ในวัยละอ่อน ตอนดูนี่ต้องร้องว้าวเลยครับ เด็กอะไรจะทั้งหล่อ ทั้งฉลาด เป็นธรรมชาติขนาดนั้น ดิแคพริโอ ถ่ายทอดบทบาทของหนุ่มน้อยที่ต้องเอาตัวรอดด้วยการโกหก สร้างเรื่องหลอกลวงสารพัดได้อย่างแนบเนียน จนบางทีเราก็แอบเชียร์ให้เขาเนียนไปเรื่อยๆ เลยนะ (แต่ก็รู้นะว่ามันไม่ถูก 555)
แฟรงค์ไม่ใช่แค่คนโกหกธรรมดาๆ นะครับ เขาฉลาดมาก สามารถปลอมแปลงตัวเองเป็นคนนู้นคนนี้ได้อย่างแนบเนียน ตั้งแต่เป็นนักบินสายการบิน Pan Am ปลอมเป็นหมอ หรือแม้กระทั่งทนายความ แล้วที่พีคไปกว่านั้นคือ เขาสามารถออกเช็คปลอมได้เนียนกริ๊บ จนธนาคารทั่วโลกเชื่อถือ จนมีมูลค่ากว่าหลายล้านเหรียญสหรัฐฯ ในยุคสมัยนั้น คิดดูสิครับ ความสามารถระดับนี้มันสุดยอดจริงๆ
อีกตัวละครที่ขาดไม่ได้เลยคือ เจ้าหน้าที่ FBI อย่าง คาร์ล แฮนแรตตี้ ที่รับบทโดย ทอม แฮงค์ส ครับ คาร์ลเป็นตัวแทนของความมุ่งมั่น ความยุติธรรม ที่ตามล่าแฟรงค์ไปทั่วทุกมุมโลก ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้มันน่าสนใจมากครับ เป็นเหมือนแมวไล่จับหนู แต่ไม่ใช่แค่ไล่เฉยๆ นะ มันมีความฉลาดแกมโกง มีการวางแผน มีการพลิกแพลงกันไปมา บางครั้งเราก็รู้สึกสงสารคาร์ล ที่ต้องเจออุปสรรคมากมายในการตามจับแฟรงค์ แต่บางครั้งเราก็แอบเห็นใจแฟรงค์เหมือนกันนะ
สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้คือ การเล่าเรื่องที่สนุก ไม่น่าเบื่อเลยครับ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องราวของการหลอกลวง แต่สปีลเบิร์กเลือกที่จะนำเสนอออกมาในมุมมองที่ดูสนุกสนาน มีอารมณ์ขัน ทำให้คนดูไม่รู้สึกเครียดจนเกินไป แถมยังมีฉากแอ็คชั่นเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้ลุ้นกันเป็นระยะๆ ด้วยครับ
อีกอย่างที่น่าชื่นชมคือ การสร้างสรรค์ฉากต่างๆ ครับ ตั้งแต่ฉากสนามบิน ฉากโรงแรม ฉากในสำนักงานต่างๆ มันดูสมจริงมากๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือ คอสตูมและทรงผมของตัวละคร มันสะท้อนถึงยุคสมัยในช่วงปี 60s ได้เป็นอย่างดี ทำให้เราอินกับบรรยากาศของเรื่องราวได้มากขึ้นไปอีกครับ
หนังเรื่องนี้สอนอะไรเราหลายอย่างเลยนะครับ นอกจากการเอาตัวรอดด้วยความฉลาดแล้ว มันยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของครอบครัว ความผูกพัน และการยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง แฟรงค์เองก็มีช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริง และเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้น
ผมชอบตอนที่แฟรงค์ปลอมเป็นนักบิน แล้วได้โบกเครื่องบินไปฟรีๆ ทั่วโลก มันเป็นความฝันของหลายๆ คนเลยนะครับ ใครจะไปคิดว่าการโกหกเล็กๆ น้อยๆ มันจะพาเราไปได้ไกลขนาดนี้ (แต่ย้ำอีกครั้งว่าไม่ควรทำตามนะครับ 555)
ส่วน ทอม แฮงค์ส นี่ก็ไม่ต้องพูดถึงครับ ฝีมือระดับนี้การันตีอยู่แล้ว การแสดงของเขาเป็นธรรมชาติมากๆ แสดงให้เห็นถึงความเหน็ดเหนื่อย ความหงุดหงิด แต่ก็ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะจับตัวแฟรงค์ให้ได้ เป็นตัวละครที่ทำให้เราเข้าถึงอารมณ์ได้ง่าย
โดยรวมแล้ว "Catch Me If You Can" เป็นหนังที่ครบเครื่องจริงๆ ครับ ทั้งความสนุก ความตื่นเต้น การแสดงที่ยอดเยี่ยม การเล่าเรื่องที่ชาญฉลาด และข้อคิดดีๆ ที่แฝงอยู่ ถ้าใครยังไม่เคยดูเรื่องนี้ ผมแนะนำให้หามาดูกันเลยนะครับ รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
เป็นหนังที่ดูได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อเลยจริงๆ ครับ ยิ่งดูหลายรอบยิ่งได้อะไรใหม่ๆ ตลอด นี่แหละครับ หนังคลาสสิกที่แท้ทรู!
สำหรับคะแนนส่วนตัว ผมให้เรื่องนี้ไปเลย 9/10 ครับ หักไป 1 คะแนนเพราะบางทีก็แอบรู้สึกว่าแฟรงค์มันเก่งเกินจริงไปนิดนึง 555 แต่ก็ยังยืนยันว่ามันเป็นหนังที่ต้องดูครับ!
ใครเคยดูแล้ว มาคุยกันหน่อยนะครับ มีฉากไหนที่ชอบเป็นพิเศษ หรือมีข้อคิดอะไรเพิ่มเติม แชร์กันได้เลยครับ ยินดีรับฟังทุกความเห็นครับ!
ดู "Catch Me If You Can" แล้วอึ้ง! นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย!
TITLE: ดู "Catch Me If You Can" แล้วอึ้ง! นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย!
สวัสดีครับชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีหนังดี หนังเด็ด มาเล่าให้ฟังอีกเรื่องครับ ชื่อเรื่องว่า "Catch Me If You Can" ของผู้กำกับระดับตำนานอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก ที่เข้าฉายตั้งแต่ปี 2002 โน่นเลย แต่บอกเลยว่าถึงจะผ่านมานานแค่ไหน ความสนุก ความลุ้น ความอึ้ง มันยังคงอยู่ครบถ้วนครับ
เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มขึ้นเมื่อ แฟรงค์ อะบาเนล จูเนียร์ หนุ่มน้อยหน้าใสวัย 16 ปี ที่ต้องเผชิญกับปัญหาครอบครัว เมื่อพ่อแม่ของเขากำลังจะหย่ากัน ความเครียด ความเสียใจ มันผลักดันให้เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้าน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยสุดเหลือเชื่อ ที่จะทำให้เรานั่งไม่ติดเก้าอี้เลยครับ
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มันเจ๋งสุดๆ ก็คือ ตัวละครหลักของเรื่องอย่าง แฟรงค์ อะบาเนล จูเนียร์ ที่รับบทโดย ลีโอนาร์โด ดิแคพริโอ ในวัยละอ่อน ตอนดูนี่ต้องร้องว้าวเลยครับ เด็กอะไรจะทั้งหล่อ ทั้งฉลาด เป็นธรรมชาติขนาดนั้น ดิแคพริโอ ถ่ายทอดบทบาทของหนุ่มน้อยที่ต้องเอาตัวรอดด้วยการโกหก สร้างเรื่องหลอกลวงสารพัดได้อย่างแนบเนียน จนบางทีเราก็แอบเชียร์ให้เขาเนียนไปเรื่อยๆ เลยนะ (แต่ก็รู้นะว่ามันไม่ถูก 555)
แฟรงค์ไม่ใช่แค่คนโกหกธรรมดาๆ นะครับ เขาฉลาดมาก สามารถปลอมแปลงตัวเองเป็นคนนู้นคนนี้ได้อย่างแนบเนียน ตั้งแต่เป็นนักบินสายการบิน Pan Am ปลอมเป็นหมอ หรือแม้กระทั่งทนายความ แล้วที่พีคไปกว่านั้นคือ เขาสามารถออกเช็คปลอมได้เนียนกริ๊บ จนธนาคารทั่วโลกเชื่อถือ จนมีมูลค่ากว่าหลายล้านเหรียญสหรัฐฯ ในยุคสมัยนั้น คิดดูสิครับ ความสามารถระดับนี้มันสุดยอดจริงๆ
อีกตัวละครที่ขาดไม่ได้เลยคือ เจ้าหน้าที่ FBI อย่าง คาร์ล แฮนแรตตี้ ที่รับบทโดย ทอม แฮงค์ส ครับ คาร์ลเป็นตัวแทนของความมุ่งมั่น ความยุติธรรม ที่ตามล่าแฟรงค์ไปทั่วทุกมุมโลก ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้มันน่าสนใจมากครับ เป็นเหมือนแมวไล่จับหนู แต่ไม่ใช่แค่ไล่เฉยๆ นะ มันมีความฉลาดแกมโกง มีการวางแผน มีการพลิกแพลงกันไปมา บางครั้งเราก็รู้สึกสงสารคาร์ล ที่ต้องเจออุปสรรคมากมายในการตามจับแฟรงค์ แต่บางครั้งเราก็แอบเห็นใจแฟรงค์เหมือนกันนะ
สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้คือ การเล่าเรื่องที่สนุก ไม่น่าเบื่อเลยครับ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องราวของการหลอกลวง แต่สปีลเบิร์กเลือกที่จะนำเสนอออกมาในมุมมองที่ดูสนุกสนาน มีอารมณ์ขัน ทำให้คนดูไม่รู้สึกเครียดจนเกินไป แถมยังมีฉากแอ็คชั่นเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้ลุ้นกันเป็นระยะๆ ด้วยครับ
อีกอย่างที่น่าชื่นชมคือ การสร้างสรรค์ฉากต่างๆ ครับ ตั้งแต่ฉากสนามบิน ฉากโรงแรม ฉากในสำนักงานต่างๆ มันดูสมจริงมากๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือ คอสตูมและทรงผมของตัวละคร มันสะท้อนถึงยุคสมัยในช่วงปี 60s ได้เป็นอย่างดี ทำให้เราอินกับบรรยากาศของเรื่องราวได้มากขึ้นไปอีกครับ
หนังเรื่องนี้สอนอะไรเราหลายอย่างเลยนะครับ นอกจากการเอาตัวรอดด้วยความฉลาดแล้ว มันยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของครอบครัว ความผูกพัน และการยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง แฟรงค์เองก็มีช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริง และเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้น
ผมชอบตอนที่แฟรงค์ปลอมเป็นนักบิน แล้วได้โบกเครื่องบินไปฟรีๆ ทั่วโลก มันเป็นความฝันของหลายๆ คนเลยนะครับ ใครจะไปคิดว่าการโกหกเล็กๆ น้อยๆ มันจะพาเราไปได้ไกลขนาดนี้ (แต่ย้ำอีกครั้งว่าไม่ควรทำตามนะครับ 555)
ส่วน ทอม แฮงค์ส นี่ก็ไม่ต้องพูดถึงครับ ฝีมือระดับนี้การันตีอยู่แล้ว การแสดงของเขาเป็นธรรมชาติมากๆ แสดงให้เห็นถึงความเหน็ดเหนื่อย ความหงุดหงิด แต่ก็ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะจับตัวแฟรงค์ให้ได้ เป็นตัวละครที่ทำให้เราเข้าถึงอารมณ์ได้ง่าย
โดยรวมแล้ว "Catch Me If You Can" เป็นหนังที่ครบเครื่องจริงๆ ครับ ทั้งความสนุก ความตื่นเต้น การแสดงที่ยอดเยี่ยม การเล่าเรื่องที่ชาญฉลาด และข้อคิดดีๆ ที่แฝงอยู่ ถ้าใครยังไม่เคยดูเรื่องนี้ ผมแนะนำให้หามาดูกันเลยนะครับ รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
เป็นหนังที่ดูได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อเลยจริงๆ ครับ ยิ่งดูหลายรอบยิ่งได้อะไรใหม่ๆ ตลอด นี่แหละครับ หนังคลาสสิกที่แท้ทรู!
สำหรับคะแนนส่วนตัว ผมให้เรื่องนี้ไปเลย 9/10 ครับ หักไป 1 คะแนนเพราะบางทีก็แอบรู้สึกว่าแฟรงค์มันเก่งเกินจริงไปนิดนึง 555 แต่ก็ยังยืนยันว่ามันเป็นหนังที่ต้องดูครับ!
ใครเคยดูแล้ว มาคุยกันหน่อยนะครับ มีฉากไหนที่ชอบเป็นพิเศษ หรือมีข้อคิดอะไรเพิ่มเติม แชร์กันได้เลยครับ ยินดีรับฟังทุกความเห็นครับ!