เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมเริ่มรู้สึกหมดหวังและรู้สึกล้าจากการเรียน ป.โท ที่ไม่คืบหน้า โปรเจคจบของผมมันไปต่อไม่ได้ เพราะผมแก้ไขบัคบางอย่างใน code ไม่ออก และผมติดอยู่ตรงนี้มานานพอสมควร ผมเลยตัดสินใจหางานทำ ซึ่งผมอยากทำงานราชการมาโดยตลอดครับ
ผมจึงตัดสินใจสอบ ก.พ. ภาค ก. สมัครไปช่วงต้นปีและสอบผ่านในช่วงกลางปี ซึ่ง ภาค ก. นี้มีคนเตือนผมมาว่า มีวิชากฏหมายซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ต่อผมมาก ๆ แต่ผมก็สอบผ่านสำเร็จด้วยวุฒิปริญญาตรี ถัดไป คือ ผมต้องตระเวณหาสนามสอบภาค ข. ตามหน่วยงานต่าง ๆ เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่า ตำแหน่งงานราชการบางตำแหน่งสามารถสอบได้ด้วยวุฒิที่หลากหลาย ไม่ได้จำกัดวุฒิ แต่นั่นก็หมายความว่า คู่แข่งที่เราต้องเจอนั้นก็จะมากไปด้วย และยิ่งสนามสอบนั้นมีความนิยมหรือมีสิทธิพิเศษที่ต่างจากข้าราชการอื่น ๆ มากแค่ไหน ผู้เข้าสอบก็จะยิ่งเยอะตามไปด้วย โดยผู้เข้าสอบทั่วไปก็จะหาข้อมูลย้อนหลังด้วยว่า ตำแหน่งนี้...ของสนามสอบนี้... เคยเปิดรับกี่คนและมีผู้เข้าสอบกี่คน คิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ เพื่อดูโอกาสว่าเราควรสมัครตำแหน่งใดจึงจะมีโอกาสขึ้นบัญชีลำดับต้น ๆ และได้บรรจุเป็นข้าราชการอย่างที่ตั้งใจครับ

สนามแรกที่ผมสอบ เป็นสนามสอบวุฒิเปิดแห่งหนึ่งที่ทุกคนรู้จักกันดี ข้อสอบยาก ด้วยความที่ว่า ตอนปริญญาตรีผมเรียนดีมาโดยตลอดและมั่นใจในความรู้ของตนเอง และก็ไม่ผิดหวัง เพราะสนามสอบนี้ทำให้ผมเจ๊งครับ ผมสอบตกเป็นครั้งแรก... ผมสอบตกในสนามที่ดูไม่มีอะไร แต่นั่นก็ราวกับค้อนที่ทุบลงมาบนหัวผม มันทำให้ผมตื่นและรู้ว่า สนามสอบราชการมันไม่ได้หมูอย่างที่คิด ผมไม่ผ่านแม้แต่รอบข้อเขียน ภาค ข.
ผมรู้สึกหมดหวังมาก และที่บ้านผมก็ทราบเรื่องที่ผมมาสอบครั้งนี้ ผมก็ตอบกลับไปด้วยความหงุดหงิดว่า "ถ้ามันเปิดเมื่อไหร่ สอบได้ก็จะสอบอีกนั่นแหละ ไม่ต้องถามแล้ว" ผมนั่งทำใจจมอยู่กับความผิดหวังและความล้มเหลวทั้งการเรียน และการสอบที่เทเข้ามาอยู่ 2 อาทิตย์และวันหนึ่งก็มีมิตรสหายท่านหนึ่งแนะนำสนามสอบหนึ่งให้ผมได้รู้ ว่ามันนาน ๆ จะเปิดทีและตอนนี้มันเปิดอยู่
ผมรู้ตัวเองในทันทีว่านี่ คือโอกาสที่ผมต้องคว้าเอาไว้ให้ได้ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ผมคิดกับตัวเองว่าผมจะยังคงสอบตำแหน่งเดิมกับตำแหน่งที่สอบตกเมื่อเดือนก่อน เพราะไม่อยากเปลี่ยนชุดความรู้ไป ๆ มา ๆ ผมถือว่าผมผ่านตาชุดข้อสอบของตำแหน่งนั้นมาครั้งหนึ่งแล้ว และสิ่งที่ผมขาดตอนนี้ คือ ความรู้ในตำแหน่งนี้ ผมเปิดใบประกาศรับสมัครและอ่านหัวข้อวิชาที่จะสอบ ผมพบว่า "ผมขาดความรู้ทุกหัวข้อการสอบในตำแหน่งนี้ทุกวิชาเลย" ถ้าผมไม่แก้ผมอาจจะจบแบบรอบก่อนและสู้ใครไม่ได้เช่นเดิม ดังนั้นรอบนี้ผมต้อง
จริงจังครับ
**
(หลายท่านคงนึกในใจว่า แล้วตอนเอ็งสอบสนามแรก เอ็งไม่ได้อ่านประกาศหรอ ว่ามันสอบอะไรบ้าง ผมตอบตรงนี้เลยครับว่า ผมอ่านครับ แต่ผมมองว่ามันไม่ยาก ผมไปนั่งคิดในห้องสอบน่าจะตอบได้ แต่ตอนสอบจริง ผมไปนั่งบื่อหน้าข้อสอบเลยครับ บางข้อเดาได้ก็จริงเพราะบริบท แต่บางข้อ คือ ต้องอ่านมาจึงจะทำได้เพราะเดาไม่ได้ ตัดช้อยก็ทำไม่ได้ครับ)
ผมแก้ไขในสิ่งที่ผมอ่อนด้อยที่สุด นั่นคือ ความรู้ในวิชาสอบ ผมจ่ายเงินลงคอร์สเพื่อแลกเอาองค์ความรู้นี้มา ไม่ว่าจะเป็นความรู้เชิงวิชาการ ระเบียบ กฏหมาย ความรู้รอบตัวต่างๆ ผมใช้เงินแลกมันมาด้วยราคาหลักพันซึ่งไม่แพงนักแต่ดีกว่าผมไปหาอ่านเอาเอง คำถามถัดมาคือ ผมจะจำความรู้พวกนี้ได้อย่างไร และต้องจำมากแค่ไหนในระยะเวลาที่จำกัด?

ผมประเมินไว้ว่า ทุกขั้นตอน จะใช้ระยะเวลาห่างประมาณ 1 เดือน นั่นหมายถึง ผมเหลือเวลาอีกประมาณ 3 เดือนนับจากวันเปิดรับสมัคร ผมเลือกใช้วิธีการที่ตัวเองคุ้นชินที่สุดสมัยอยู่ ปริญญาตรี คือ ทำแบบทดสอบ ผมจะจำลองการสอบที่เสมือนจริงขึ้นมา ผมอาศัยจากที่ตอนเด็ก ๆ ผมผ่านสนามสอบมามาก เลยคิดแทนว่า หากตนเองเป็นคนออกข้อสอบ จะออกตรงไหนที่จะใช้คัดคน ตรงไหนที่สำคัญ ที่เป็นความรู้ที่คนสอบผ่านควรจะมี และสำคัญต่อหน่วยงาน โดยข้อสอบของผม จะเอาความรู้ทุกหัวข้อที่หาได้มาออกข้อสอบ ถ้าเป็นกฏหมายหรือระเบียบก็จะออกทุกบรรทัด ทุกมาตรา ตัวเลข วันที่ ชื่อ ชื่อเฉพาะ ชื่อบท เลขหมวด หมายเหตุ ทุกฉบับ เหตุผลที่ต้องมีฉบับใหม่ รวมถึงการแต่งสถานการณ์สมมติในบางข้อเพื่อประยุกต์ว่าจะใช้หลักความรู้เพื่อตอบอย่างไร และรวมถึงข้อสอบเก่าๆ ที่เสริชหาย้อนหลังจากในกลุ่ม facebook หรือกลุ่ม line openchat ต่าง ๆ เพื่อประมวลเป็นข้อสอบ 1 ชุดสำหรับแต่ละวิชา ผมทำข้อสอบขึ้นมา 5 ชุด ข้อสอบประมาณ 500 ข้อครับ นี่คือตัวอย่างข้อสอบ

ข้อสอบพวกนี้จะอยู่ในรูปของ google form ซึ่งผมสามารถทำจากที่ใดก็ได้ เวลาใดก็ได้ มีการตรวจคำตอบแบบทันที และยังสลับ choice ทุกครั้งที่ทำข้อสอบ เพื่อให้มั่นใจว่า จะไม่มีทางจำช้อยได้แน่ ๆ และ ต้องอ่านช้อยก่อนตอบทุกครั้ง เพื่อให้เกิดการตัดสินใจ การดึงความรู้มาคิดทุกครั้งก่อนตอบข้อสอบ ตัวเลือกแบบถูกทุกข้อ หรือ ผิดทุกข้อ จะไม่มีในข้อสอบของผม ข้อสอบบางข้อจะเป็นการผสม ข้อถูกและข้อผิดเพื่อวัดความแม่นยำในการตอบข้อสอบ ด้วยข้อสอบนี้ทำให้ผมร่นระยะเวลาการอ่านหนังสือทั้งหมดลงได้ จากที่ต้องอ่าน 10-12 ชม. ต่อวัน ลดลงมาเหลือเพียง 3-4 ชม.ก็จบครบทุกวิชาได้ และยังสามารถวัดออกมาเป็นเกณฑ์ประเมินตนเองแบบวันต่อวันว่า ความรู้ของผมพัฒนาขึ้นหรือดรอปลงมากน้อยแค่ไหน กี่เปอร์เซ็นต์ ข้อใดที่ผิดบ่อย แปลว่าผมต้องกลับไปอ่านเรื่องนั้นเพิ่ม คำถามถัดไป คือ ผมต้องดันเกณฑ์ความรู้มากแค่ไหนจึงจะมากพอที่จะสอบติด เพื่อให้ได้คำตอบนั้น ผมจึงเลือกเผยแพร่ข้อสอบครับ
ผมใช้ข้อสอบจาก google form ตัวนี้
แจกฟรีให้กับผู้ที่กำลังเตรียมตัวสอบสนามเดียวกันกับผม เพราะผมต้องการรู้ว่า ในบรรดาผู้เข้าสอบที่กำลังอ่านหนังสือ และจะสอบไปพร้อมกับผมมีความรู้มากน้อยเพียงใด ผมต้องการรู้ค่าเฉลี่ยนั้น เพื่อที่ว่า หลังจากที่ผมได้ผลลัพธ์ผมจะกลับไปอ่านให้มากขึ้นและดันเปอร์เซ็นต์ของผมให้อยู่เหนือค่าเฉลี่ยของผู้เข้าสอบ และให้เหนือกว่าค่า max ของกลุ่มตัวอย่าง เพื่อที่ว่าพอเป็นวันสอบจริง ผมก็จะทำคะแนนได้ดีกว่าตั้งแต่ยังไม่สอบเพราะผม มีฐานความรู้ที่แน่นกว่า นั่นคือจุดประสงค์ของผม

หลายท่านคงมีคำถามว่า เอ้า เอ็งทำมาแทบตาย สร้างนั่น สร้างนี่ไหงแจกฟรีให้เค้าเฉยเลย แบบนี้ทุกคนก็ความรู้เท่ากันหมด การสอบครั้งนี้มันก็ไร้ความหมายสิ คำตอบคือ ใช่ครับ ถ้าผมแจกแบบทดสอบออกไปตั้งแต่วันแรก ๆ และให้เวลาผู้เข้าสอบทุกคนทำแบบทดสอบได้เท่าที่ต้องการ ความรู้ของผู้เข้าสอบก็จะเก่งขึ้นเรื่อย ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ผมต้องเลือกช่วงเวลาที่ได้เปรียบในการเผยแพร่ด้วย เพราะเมื่อมีเวลาที่จำกัด การกลับไปอ่านซ้ำในหัวข้อที่ตนเองไม่แม่นยำจะทำไม่ทันครับ และข้อสอบออกแบบมาให้ สลับข้อ สลับ choice การที่จะจดคำตอบที่ถูกต้องออกไปจึงยากมากเพราะ ต้องจดทั้งคำถามและคำตอบออกไปพร้อมกันครับ
และนี่ คือ ข้อมูลที่ผมได้รับจากผู้เข้าสอบประมาณ 1000 คนครับ (เพราะบางคนทำซ้ำหลายรอบ และผมเองก็ทำด้วยเช่นกันครับ)
ผลลัพธ์ที่ผมได้ออกมาจาก google form ผมสามารถเห็นคำตอบของทุกคน เห็นคะแนนเฉลี่ยและการกระจายตัวของข้อมูล ทำให้ผมรู้ว่าคะแนนที่สูงที่สุด อยู่ที่เท่าไร และคนส่วนใหญ่มีคะแนนเกาะกลุ่มกันอยู่ในช่วงใด จากผู้ทำข้อสอบประมาณ 1000 คน ผมเพิ่ม ค่าเบี่ยงเบนเข้าไปเล็กน้อย เป็นค่าเป้าหมายและนี่คือ ผลลัพธ์ที่ผมต้องการ คือ ผมต้องทำแบบทดสอบอันนี้ให้ได้ผลลัพธ์มากกว่าค่าเป้าหมาย จึงจะมีหวังว่าจะเอาชนะคนส่วนใหญ่ไปได้และติดบัญชีลำดับต้น ๆ
และแล้วระยะเวลา 3 เดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมดันเปอร์เซ็นคะแนนของแต่ละชุดข้อสอบมาได้ที่ ความรู้ทั่วไป 100% พระราชบัญญัติ 97% ระเบียบ 96% พระราชกฤษฎีกา 100% และความรู้เฉพาะตำแหน่ง 99% ผมพร้อมแล้วสำหรับการลงสอบข้าราชการครั้งที่ 2 ในตำแหน่งเดิม ระหว่างนั้นก็จะมีประกาศรายชื่อผู้สมัครซึ่งผู้สมัครก็เยอะกว่าตอนผมสอบราชการเมื่อเดือนก่อนอย่างลิบลับ เช่นจากสนามเดิม โอกาสติดคือ 1 ใน 50 (2%) มันลดลงเหลือเพียง 1 ใน 200 (0.5%) ซึ่ง 1 วันก่อนสอบ ผมเลือกที่จะไม่ทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับการสอบ เพื่อให้ความรู้ของผมสดใหม่และจะเปิดใช้ตอนเฉพาะทำข้อสอบเท่านั้นครับ

มาส่วนพาร์ทของการสอบบ้าง ข้อสอบที่ผมเจอมี 100 ข้อ ระยะเวลา 3 ชั่วโมง ผมทำทุกข้อจบใน 2 ชั่วโมงแรกและมั่นใจอยู่ 53 ข้อที่คิดว่าถูกแน่ๆ เหลืออีก 47 ข้อที่ผมรู้สึก 50 50 ผมคิดว่า ผมจะได้คะแนนออกมาแถวๆ 76% (53+23) ซึ่งถือว่าผิดแผนไปเยอะแต่ผมก็เข้าใจได้ เพราะข้อสอบบางข้อผมก็นึกไม่ถึงจริงๆ เพราะเป็นส่วนความรู้รอบตัว (ภายหลังมีเพื่อนผมบอกว่ามันเป็นข้อสอบเก่าจากสนามอื่นๆด้วยที่ปนมา) ผ่านไป 1 เดือน ผลลัพธ์ออกมาตรงใจกับที่ผมหวังไว้ ผมผ่านภาค ข. ที่ตัดเกณฑ์ที่ 60% ผมจึงเหลือแค่ ภาค ค. ซึ่งในส่วนนี้ผมตอบกรรมการทุกท่านตามความเป็นจริง เช่น ผมไม่เคยทำราชการมาก่อน ที่นี่เป็นสนามสอบแรก ๆ ของผมเลย สุดท้ายผมได้ขึ้นบัญชีในลำดับต้น ๆ และได้รับราชการสมใจในหน่วยงานที่ผมหวังเอาไว้ ขอบคุณครับ
เมื่อผมสอบข้าราชการครั้งแรก
ผมจึงตัดสินใจสอบ ก.พ. ภาค ก. สมัครไปช่วงต้นปีและสอบผ่านในช่วงกลางปี ซึ่ง ภาค ก. นี้มีคนเตือนผมมาว่า มีวิชากฏหมายซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ต่อผมมาก ๆ แต่ผมก็สอบผ่านสำเร็จด้วยวุฒิปริญญาตรี ถัดไป คือ ผมต้องตระเวณหาสนามสอบภาค ข. ตามหน่วยงานต่าง ๆ เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่า ตำแหน่งงานราชการบางตำแหน่งสามารถสอบได้ด้วยวุฒิที่หลากหลาย ไม่ได้จำกัดวุฒิ แต่นั่นก็หมายความว่า คู่แข่งที่เราต้องเจอนั้นก็จะมากไปด้วย และยิ่งสนามสอบนั้นมีความนิยมหรือมีสิทธิพิเศษที่ต่างจากข้าราชการอื่น ๆ มากแค่ไหน ผู้เข้าสอบก็จะยิ่งเยอะตามไปด้วย โดยผู้เข้าสอบทั่วไปก็จะหาข้อมูลย้อนหลังด้วยว่า ตำแหน่งนี้...ของสนามสอบนี้... เคยเปิดรับกี่คนและมีผู้เข้าสอบกี่คน คิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ เพื่อดูโอกาสว่าเราควรสมัครตำแหน่งใดจึงจะมีโอกาสขึ้นบัญชีลำดับต้น ๆ และได้บรรจุเป็นข้าราชการอย่างที่ตั้งใจครับ
สนามแรกที่ผมสอบ เป็นสนามสอบวุฒิเปิดแห่งหนึ่งที่ทุกคนรู้จักกันดี ข้อสอบยาก ด้วยความที่ว่า ตอนปริญญาตรีผมเรียนดีมาโดยตลอดและมั่นใจในความรู้ของตนเอง และก็ไม่ผิดหวัง เพราะสนามสอบนี้ทำให้ผมเจ๊งครับ ผมสอบตกเป็นครั้งแรก... ผมสอบตกในสนามที่ดูไม่มีอะไร แต่นั่นก็ราวกับค้อนที่ทุบลงมาบนหัวผม มันทำให้ผมตื่นและรู้ว่า สนามสอบราชการมันไม่ได้หมูอย่างที่คิด ผมไม่ผ่านแม้แต่รอบข้อเขียน ภาค ข.
**
(หลายท่านคงนึกในใจว่า แล้วตอนเอ็งสอบสนามแรก เอ็งไม่ได้อ่านประกาศหรอ ว่ามันสอบอะไรบ้าง ผมตอบตรงนี้เลยครับว่า ผมอ่านครับ แต่ผมมองว่ามันไม่ยาก ผมไปนั่งคิดในห้องสอบน่าจะตอบได้ แต่ตอนสอบจริง ผมไปนั่งบื่อหน้าข้อสอบเลยครับ บางข้อเดาได้ก็จริงเพราะบริบท แต่บางข้อ คือ ต้องอ่านมาจึงจะทำได้เพราะเดาไม่ได้ ตัดช้อยก็ทำไม่ได้ครับ)
ข้อสอบพวกนี้จะอยู่ในรูปของ google form ซึ่งผมสามารถทำจากที่ใดก็ได้ เวลาใดก็ได้ มีการตรวจคำตอบแบบทันที และยังสลับ choice ทุกครั้งที่ทำข้อสอบ เพื่อให้มั่นใจว่า จะไม่มีทางจำช้อยได้แน่ ๆ และ ต้องอ่านช้อยก่อนตอบทุกครั้ง เพื่อให้เกิดการตัดสินใจ การดึงความรู้มาคิดทุกครั้งก่อนตอบข้อสอบ ตัวเลือกแบบถูกทุกข้อ หรือ ผิดทุกข้อ จะไม่มีในข้อสอบของผม ข้อสอบบางข้อจะเป็นการผสม ข้อถูกและข้อผิดเพื่อวัดความแม่นยำในการตอบข้อสอบ ด้วยข้อสอบนี้ทำให้ผมร่นระยะเวลาการอ่านหนังสือทั้งหมดลงได้ จากที่ต้องอ่าน 10-12 ชม. ต่อวัน ลดลงมาเหลือเพียง 3-4 ชม.ก็จบครบทุกวิชาได้ และยังสามารถวัดออกมาเป็นเกณฑ์ประเมินตนเองแบบวันต่อวันว่า ความรู้ของผมพัฒนาขึ้นหรือดรอปลงมากน้อยแค่ไหน กี่เปอร์เซ็นต์ ข้อใดที่ผิดบ่อย แปลว่าผมต้องกลับไปอ่านเรื่องนั้นเพิ่ม คำถามถัดไป คือ ผมต้องดันเกณฑ์ความรู้มากแค่ไหนจึงจะมากพอที่จะสอบติด เพื่อให้ได้คำตอบนั้น ผมจึงเลือกเผยแพร่ข้อสอบครับ
ผลลัพธ์ที่ผมได้ออกมาจาก google form ผมสามารถเห็นคำตอบของทุกคน เห็นคะแนนเฉลี่ยและการกระจายตัวของข้อมูล ทำให้ผมรู้ว่าคะแนนที่สูงที่สุด อยู่ที่เท่าไร และคนส่วนใหญ่มีคะแนนเกาะกลุ่มกันอยู่ในช่วงใด จากผู้ทำข้อสอบประมาณ 1000 คน ผมเพิ่ม ค่าเบี่ยงเบนเข้าไปเล็กน้อย เป็นค่าเป้าหมายและนี่คือ ผลลัพธ์ที่ผมต้องการ คือ ผมต้องทำแบบทดสอบอันนี้ให้ได้ผลลัพธ์มากกว่าค่าเป้าหมาย จึงจะมีหวังว่าจะเอาชนะคนส่วนใหญ่ไปได้และติดบัญชีลำดับต้น ๆ