ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศมอบเงินรางวัลสูงถึง £3,000 (ซึ่งเป็นมูลค่ามหาศาลในสมัยนั้น) สำหรับใครก็ตามที่สามารถออกแบบปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติที่ทำงานได้ดีพอจะมาแทนที่ Lee-Enfield SMLE อันโด่งดังได้ และ BSA คือหนึ่งในผู้ท้าชิงที่เกือบจะทำสำเร็จโดยการออกแบบของ George Norman ในปี 1924 ตัวต้นแบบ 12 กระบอกถูกสร้างขึ้นโดยใช้กระสุนขนาด .303 British , 7.92×57mm Mauser และ 7.62×54mmR บรรจุ 10 นัด
กลไกการทำงานแบบ Spiral Spring & Threaded Bolt
ความพิเศษของ BSA Thompson ไม่ได้อยู่ที่การใช้แก๊สผลักลูกสูบโดยตรงแบบปืนสมัยใหม่ แต่ใช้ "แรงดันแก๊สร่วมกับเกลียวกลไก" ในการหน่วงเวลาและคัดปลอก
การขัดกลอน - (Locking) เมื่อเหนี่ยวไก แรงดันแก๊สที่เกิดขึ้นในขณะยิงจะกดทับให้ "เกลียว (Threads)" บนตัวลูกเลื่อนล็อกเข้ากับห้องเครื่องอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกเลื่อนถอยหลังเร็วเกินไปในขณะที่แรงดันยังสูงอยู่
การปลดล็อก - (Unlocking) เมื่อหัวกระสุนพ้นลำกล้องและแรงดันแก๊สเริ่มลดลง เกลียวที่เคยถูกกดทับจะคลายตัวออก
การคัดปลอก - ในจังหวะนี้ สปริงขด (Spiral Spring) จะทำงานเพื่อสร้างแรงหมุน ทำให้ลูกเลื่อน "หมุนคลายเกลียว" ออกจากตัวล็อก และถอยหลังไปตามร่อง (Grooves) เพื่อดึงปลอกกระสุนเก่าไปกระทบกับตัวเตะปลอก (Ejector) และดีดออกนอกตัวปืน
การป้อนกระสุนใหม่ - สปริงด้านหลังจะดันลูกเลื่อนกลับไปข้างหน้า พร้อมกับดันกระสุนนัดใหม่เข้าสู่รังเพลิง (In-battery) และหมุนเกลียวกลับเข้าที่เพื่อรอการยิงนัดถัดไป
แม้จะดูมีอนาคตและมีโอกาสคว้าเงินรางวัล £3,000 แต่ในท้ายที่สุดกลไก "Screw-thread" ก็พิสูจน์แล้วว่าซับซ้อนเกินไปสำหรับการผลิตจำนวนมาก (Mass Production) และการใช้งานในสนามรบที่เต็มไปด้วยดินทรายซึ่งอาจทำให้เกลียวละเอียดเหล่านี้ติดขัดได้ง่าย
ไม่มีใครชนะรางวัลนี้เลยแม้จะมีเงินรางวัลล่อใจสูงถึง £3,000 (เทียบเท่ากับเงินหลายแสนปอนด์ในปัจจุบัน) สุดท้ายกองทัพอังกฤษเลือกที่จะใช้ Lee-Enfield SMLE ต่อไปโดยนำมาปรับปรุงเป็นรุ่น No. 4 Mk I ในเวลาต่อมาเพราะพวกเขามองว่าทหารที่ฝึกมาอย่างดีสามารถยิงปืนลูกเลื่อน SMLE ได้เร็วมาก (ที่เรียกว่า "Mad Minute") จนความได้เปรียบของปืนกึ่งอัตโนมัติที่ยัง "ไม่เสถียร" ดูไม่คุ้มค่าที่จะเปลี่ยน
https://guns.fandom.com/wiki/BSA_Autorifle
สวัสดีครับ
สารานุกรมปืนตอนที่ 2342 BSA Autorifle
กลไกการทำงานแบบ Spiral Spring & Threaded Bolt
ความพิเศษของ BSA Thompson ไม่ได้อยู่ที่การใช้แก๊สผลักลูกสูบโดยตรงแบบปืนสมัยใหม่ แต่ใช้ "แรงดันแก๊สร่วมกับเกลียวกลไก" ในการหน่วงเวลาและคัดปลอก
การขัดกลอน - (Locking) เมื่อเหนี่ยวไก แรงดันแก๊สที่เกิดขึ้นในขณะยิงจะกดทับให้ "เกลียว (Threads)" บนตัวลูกเลื่อนล็อกเข้ากับห้องเครื่องอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกเลื่อนถอยหลังเร็วเกินไปในขณะที่แรงดันยังสูงอยู่
การปลดล็อก - (Unlocking) เมื่อหัวกระสุนพ้นลำกล้องและแรงดันแก๊สเริ่มลดลง เกลียวที่เคยถูกกดทับจะคลายตัวออก
การคัดปลอก - ในจังหวะนี้ สปริงขด (Spiral Spring) จะทำงานเพื่อสร้างแรงหมุน ทำให้ลูกเลื่อน "หมุนคลายเกลียว" ออกจากตัวล็อก และถอยหลังไปตามร่อง (Grooves) เพื่อดึงปลอกกระสุนเก่าไปกระทบกับตัวเตะปลอก (Ejector) และดีดออกนอกตัวปืน
การป้อนกระสุนใหม่ - สปริงด้านหลังจะดันลูกเลื่อนกลับไปข้างหน้า พร้อมกับดันกระสุนนัดใหม่เข้าสู่รังเพลิง (In-battery) และหมุนเกลียวกลับเข้าที่เพื่อรอการยิงนัดถัดไป
แม้จะดูมีอนาคตและมีโอกาสคว้าเงินรางวัล £3,000 แต่ในท้ายที่สุดกลไก "Screw-thread" ก็พิสูจน์แล้วว่าซับซ้อนเกินไปสำหรับการผลิตจำนวนมาก (Mass Production) และการใช้งานในสนามรบที่เต็มไปด้วยดินทรายซึ่งอาจทำให้เกลียวละเอียดเหล่านี้ติดขัดได้ง่าย
ไม่มีใครชนะรางวัลนี้เลยแม้จะมีเงินรางวัลล่อใจสูงถึง £3,000 (เทียบเท่ากับเงินหลายแสนปอนด์ในปัจจุบัน) สุดท้ายกองทัพอังกฤษเลือกที่จะใช้ Lee-Enfield SMLE ต่อไปโดยนำมาปรับปรุงเป็นรุ่น No. 4 Mk I ในเวลาต่อมาเพราะพวกเขามองว่าทหารที่ฝึกมาอย่างดีสามารถยิงปืนลูกเลื่อน SMLE ได้เร็วมาก (ที่เรียกว่า "Mad Minute") จนความได้เปรียบของปืนกึ่งอัตโนมัติที่ยัง "ไม่เสถียร" ดูไม่คุ้มค่าที่จะเปลี่ยน
https://guns.fandom.com/wiki/BSA_Autorifle