พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ถ้าภิกษุ ไม่ขยันฝึกภาวนา
ต่อให้ตั้งความหวังว่า
“ขอให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสโดยไม่ยึดถือ”
จิตก็ ไม่หลุดพ้นจริง
เหตุผลไม่ใช่เพราะหวังไม่พอ
แต่เพราะ ไม่ได้ลงมือฝึกสิ่งที่ต้องฝึก
คือ
สติปัฏฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔
อิทธิบาท ๔
อินทรีย์ ๕
พละ ๕
โพชฌงค์ ๗
และอริยมรรคมีองค์ ๘
พระองค์ทรงเปรียบว่า
เหมือนแม่ไก่ที่มีไข่หลายฟอง
แต่กกไข่ไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ
ถึงจะอยากให้ลูกไก่ฟักออกมา
ลูกไก่ก็ ฟักออกไม่ได้
ตรงกันข้าม
ถ้าภิกษุ หมั่นเจริญภาวนาอย่างสม่ำเสมอ
แม้จะไม่ได้ตั้งใจคิดว่า
“ขอให้กิเลสหมดไป”
แต่กิเลสก็ ค่อย ๆ หมดไปเอง
เหมือนแม่ไก่ที่กกไข่ดี
ให้ความอบอุ่นพอเหมาะ
แม้ไม่ตั้งใจอธิษฐาน
ลูกไก่ก็ฟักออกมาได้เองตามธรรมชาติ
พระพุทธเจ้ายังเปรียบอีกว่า
เหมือนด้ามมีดที่ถูกจับใช้ทุกวัน
ช่างไม้อาจไม่รู้ว่า
วันนี้สึกไปเท่าไร เมื่อวานสึกไปเท่าไร
แต่รู้แน่ ๆ ว่า มันสึกจริง
ฉันใดก็ฉันนั้น
ผู้เจริญภาวนา
อาจไม่รู้ชัดว่า
กิเลสลดไปวันละเท่าไร
แต่เมื่อกิเลสหมดไป
ย่อมรู้ได้เองว่าหมดจริง
และเปรียบเหมือนเชือกที่ผูกเรือ
เมื่อเอาเรือขึ้นบก
เชือกถูกแดด ลม ฝน
ก็เปื่อยยุ่ยขาดไปเองโดยง่าย
ฉันใด
เมื่อภิกษุหมั่นภาวนา
สังโยชน์และกิเลสทั้งหลาย
ก็อ่อนกำลังและดับไปเองโดยไม่ยาก
ความหลุดพ้นไม่ได้มาจาก “ความอยาก” แต่มาจาก “การลงมือฝึกอย่างสม่ำเสมอ” ถ้าฝึกถูกทาง ผลจะเกิดเองตามธรรมชาติ กิเลสหมด ไม่ใช่เพราะเร่ง แต่เพราะไม่ประมาทในการภาวนา
การลงมือฝึกอย่างสม่ำเสมอ
ถ้าภิกษุ ไม่ขยันฝึกภาวนา
ต่อให้ตั้งความหวังว่า
“ขอให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสโดยไม่ยึดถือ”
จิตก็ ไม่หลุดพ้นจริง
เหตุผลไม่ใช่เพราะหวังไม่พอ
แต่เพราะ ไม่ได้ลงมือฝึกสิ่งที่ต้องฝึก
คือ
สติปัฏฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔
อิทธิบาท ๔
อินทรีย์ ๕
พละ ๕
โพชฌงค์ ๗
และอริยมรรคมีองค์ ๘
พระองค์ทรงเปรียบว่า
เหมือนแม่ไก่ที่มีไข่หลายฟอง
แต่กกไข่ไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ
ถึงจะอยากให้ลูกไก่ฟักออกมา
ลูกไก่ก็ ฟักออกไม่ได้
ตรงกันข้าม
ถ้าภิกษุ หมั่นเจริญภาวนาอย่างสม่ำเสมอ
แม้จะไม่ได้ตั้งใจคิดว่า
“ขอให้กิเลสหมดไป”
แต่กิเลสก็ ค่อย ๆ หมดไปเอง
เหมือนแม่ไก่ที่กกไข่ดี
ให้ความอบอุ่นพอเหมาะ
แม้ไม่ตั้งใจอธิษฐาน
ลูกไก่ก็ฟักออกมาได้เองตามธรรมชาติ
พระพุทธเจ้ายังเปรียบอีกว่า
เหมือนด้ามมีดที่ถูกจับใช้ทุกวัน
ช่างไม้อาจไม่รู้ว่า
วันนี้สึกไปเท่าไร เมื่อวานสึกไปเท่าไร
แต่รู้แน่ ๆ ว่า มันสึกจริง
ฉันใดก็ฉันนั้น
ผู้เจริญภาวนา
อาจไม่รู้ชัดว่า
กิเลสลดไปวันละเท่าไร
แต่เมื่อกิเลสหมดไป
ย่อมรู้ได้เองว่าหมดจริง
และเปรียบเหมือนเชือกที่ผูกเรือ
เมื่อเอาเรือขึ้นบก
เชือกถูกแดด ลม ฝน
ก็เปื่อยยุ่ยขาดไปเองโดยง่าย
ฉันใด
เมื่อภิกษุหมั่นภาวนา
สังโยชน์และกิเลสทั้งหลาย
ก็อ่อนกำลังและดับไปเองโดยไม่ยาก
ความหลุดพ้นไม่ได้มาจาก “ความอยาก” แต่มาจาก “การลงมือฝึกอย่างสม่ำเสมอ” ถ้าฝึกถูกทาง ผลจะเกิดเองตามธรรมชาติ กิเลสหมด ไม่ใช่เพราะเร่ง แต่เพราะไม่ประมาทในการภาวนา