.
ค่ายส้ม ติวเข้มว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต-ปาร์ตี้ลิสต์ 17-18 ธ.ค. เท้ง บรรยายปลุกใจ ‘รบ.ประชาชน เปลี่ยนประเทศ’ หลังคัดบัญชีรายชื่อเหลือ 120 คน
.
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ ที่โรงแรมอวานา บางกอก โฮเทล ย่านบางนา พรรคประชาชนมีการจัดสัมมนาว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาชน ทั้งแบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขตจากทั่วประเทศ โดยมีการส่งข้อความแจ้งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เมื่อช่วงค่ำวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ มีการแจ้งว่าที่ผู้สมัครทั้งตัวจริงและสำรองจำนวน 120 คนเข้าร่วมสัมมนา ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการจัดเรียงลำดับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ว่าใครอยู่ในลำดับใด โดยก่อนหน้านี้มีผู้เข้ารับกันคัดสรรเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อกว่า 1,500 คน ซึ่งต้องผ่านการอบรมหลักสูตรของพรรคประชาชน และการสัมภาษณ์จากคณะกรรมการอย่างเข้มข้นจนเหลือ 120 คนดังกล่าว
.
สำหรับกำหนดการในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ มีการเปิดลงทะเบียนในเวลา 12.00 น. และเริ่มการสัมมนาในเวลา 13.00 น. โดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค กล่าวต้อนรับและชี้แจงกำหนดการ จากนั้นฝ่ายกฎหมายของพรรค ชี้แจงการเตรียมเอกสารตามกฎหมายของผู้สมัครับเลือกตั้ง ต่อด้วยการบรรยายในหัวข้อ “การเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง” โดย นายกิตติชัย เตชะกุลวณิชย์ รองหัวหน้าพรรคฝ่ายงานบริหารท้องถิ่น ขณะที่ในช่วงเย็นเป็นการติวเข้มนโยบาย โดยฝ่ายนโยบายพรรค
.
ส่วนวันที่ 18 ธ.ค. เริ่มการสัมมนาตั้งแต่ช่วงเช้า โดยเป็นการติวเข้มนโยบายพรรค จากฝ่ายนโยบาย ตามด้วยแคมเปญรณรงค์หาเสียง 2569 โดยฝ่ายสื่อสารและรณรงค์ จากนั้นนายศรายุทธิ์ จะบรรยายหัวข้อ “ความสำคัญของเครือข่าย และการชนะเลือกตั้ง” และปิดท้ายด้วยการบรรยายในหัวข้อ “รัฐบาลประชาชน เปลี่ยนประเทศไทย” โดยนายณัฐพงษ์ ก่อนจบกิจกรรมในช่วงเที่ยง
.
ทั้งนี้พรรคประชาชนแจ้งนัดหมายสื่อมวลชน ติดตามทำข่าวงานสัมมนาเตรียมความพร้อมเลือกตั้งทั่วประเทศพรรคประชาชน ในช่วง 11.30-12.00 น. วันที่ 18 ธ.ค. โดยเปิดโอกาสให้สื่อสามารถติดต่อขอสัมภาษณ์ทำความรู้จักกับผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ทั่วประเทศ
.
.
ดีเอสไอ เชือดล็อตแรก 8 ผู้ต้องหา ‘คดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว.’ มี 2 สว.ตัวจริง-6เครือข่ายพรรคใหญ่
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_5508641
.
ดีเอสไอ สรุปสำนวน คดีอั้งยี่-ฟอกเงิน ส.ว. ให้อัยการคดีพิเศษล็อตแรก 8 ผู้ต้องหา 2 ส.ว.ตัวจริง และ 6 เครือข่ายพรรคการเมืองดัง
.
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ดำเนินการสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณี การสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำความผิดฐานอั้งยี่ฯ ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน ส.ว. นานกว่า 9 เดือน นับแต่วันที่ 6 มี.ค.68 ซึ่งคณะกรรมการคดีพิเศษ (บอร์ด กคพ.) มีมติให้รับเป็นคดีพิเศษ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องไปหลายร้อยคน มีการจัดทำเหตุการณ์จำลองทั้งสถานที่ใช้ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และกระบวนการคัดเลือก พร้อมขอรับภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดที่เกี่ยวข้องในวันเกิดเหตุจากหลายหน่วยงาน
.
มีการตรวจสอบร่องรอยทางการเงินพบว่ามีความเชื่อมโยงกัน 1,200 คน จาก 45 จังหวัด อย่างไรก็ดี เพื่อพิสูจน์ทราบความสัมพันธ์ของกลุ่มขบวนการจึงได้มีการตรวจสอบข้อมูลโทรศัพท์ และจากข้อมูลการสืบสวนพบว่ายังมีผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาเกี่ยวข้องในพื้นที่ 45 จังหวัด เป็นเหตุให้คณะพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกพยานแก่อดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 1,200 ราย เพื่อเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติม และเนื่องด้วยคดีมีพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องค่อนข้างมาก อธิบดีจึงได้มอบหน่วยงานภายในสังกัดรวม 10 กองคดีที่เป็นคณะพนักงานสอบสวน เร่งดำเนินการสอบสวนปากคำพยานทั้ง 1,200 คนให้แล้วเสร็จ
.
อย่างไรก็ตาม ต่อมาพบว่าบางจังหวัด อาทิ จ.บุรีรัมย์ พยานกลับไม่ให้ความร่วมมือเข้าพบพนักงานสอบสวน และยังมีข้อครหาจากพยานในจังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดขอนแก่น ที่ทำหนังสือร้องเรียนมายังอธิบดีว่าในการให้ถ้อยคำต่างๆ กับพนักงานสอบสวน พยานอ้างว่าถูกข่มขู่ บังคับให้รับสารภาพ จนอธิบดีได้สั่งการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าถ้อยคำให้การของพยานถือเป็นการให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวนหรือไม่ เพราะครั้งแรกให้การอย่างหนึ่ง แต่มากลับคำให้การในตอนหลัง รวมถึงถูกข่มขู่บังคับรับสารภาพเพื่อให้ถูกกันไว้เป็นพยานในคดีจริงหรือไม่ กระทั่งล่าสุดในการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พบเส้นทางการเงินของบุคคล รวมจำนวน 8 ราย ประกอบด้วย สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ตัวจริง 2 ราย และเครือข่ายพรรคการเมืองดัง 6 ราย ที่มีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 ฐานกระทำความผิดอั้งยี่ฯ และได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา เพื่อชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
.
ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ภายหลังจากเมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษอั้งยี่-ฟอกเงิน ส.ว. ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและพนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน ร่วมเป็นคณะพนักงานสอบสวน ได้มีการประชุมหารือร่วมกันในประเด็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการฮั้ว ส.ว. ซึ่งจากการสอบปากคำพยานหลายปาก และรวบรวมพยานหลักฐาน โดยเฉพาะเส้นทางการเงินในห้วงเวลาก่อนการเลือก ส.ว. ระหว่างเลือก ส.ว. และภายหลังเสร็จสิ้นการเลือก ส.ว. พบมีการรับโอนเงินระหว่างกันแบบผิดปกติ ถี่และบ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันในเชิงต่างตอบแทน เมื่อบุคคลนั้นได้รับเลือกเป็น ส.ว.ระดับประเทศ จึงพบว่า มีผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยมีหลักฐานยืนยันชัดเจนในพฤติการณ์ รวมจำนวนเบื้องต้น 8 ราย จากการกระทำความผิดทางอาญาฐานอั้งยี่และฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาทั้ง 8 รายไปแล้ว เพื่อให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาฟอกเงิน
.
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ส่วนใหญ่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยืนยันว่าตนไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับขบวนการฮั้ว ส.ว. จึงทำให้เมื่อคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ทั้งดีเอสไอและพนักงานอัยการ ได้ร่วมกันตรวจทานคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว แต่ก็พบว่าในรายละเอียดการชี้แจงไม่สามารถหักล้างข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานการอั้งยี่และฟอกเงินได้ จึงมีมติเห็นพ้องกัน ให้สรุปสำนวนส่งฟ้องผู้ต้องหาล็อตแรก จำนวน 8 ราย ไปยังพนักงานอัยการคดีพิเศษ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนของอัยการต่อไป
.
ทั้งนี้สำหรับผู้ต้องหาลอตแรก จำนวน 8 รายที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษดีเอสไอและพนักงานอัยการ สำนักงานการสอบสวน ได้มีมติส่งฟ้องไปยังพนักงานอัยการคดีพิเศษ ประกอบด้วย เครือข่ายของพรรคการเมืองใหญ่, นักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดนครศรีธรรมราช, ผู้บริหาร, สมาชิกวุฒิสภาตัวจริง จังหวัดสุราษฎร์ธานี, อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคการเมืองใหญ่, สมาชิกวุฒิสภาตัวจริง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดทางภาคใต้
.
.
เศรษฐกิจ จ.ตราด เจอพิษสงคราม 9 วัน ความเสียหาย พุ่งเป้าพันล้านบาท
.
วันนี้ (17 ธ.ค. 68) ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตราด เปิดเผยถึงวิกฤตเศรษฐกิจในพื้นที่หลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดน ระบุเพียง 9 วัน ความเสียหายพุ่งเป้าพันล้านบาท ขณะที่มูลค่าการค้าชายแดนที่สะสมมานานอาจแตะหลักหมื่นล้าน วอนรัฐเร่งเยียวยาภาระค่าจ้างแรงงานหลังต้องอพยพหนีภัย
.
นายสุทธิลักษณ์ คุ้มครองรักษ์ เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจของจังหวัดตราดในขณะนี้กำลังเผชิญกับปัญหาหนักในหลายมิติ ทั้งด้านการขนส่ง แรงงาน และการค้าชายแดน โดยเฉพาะผลกระทบจากเหตุปะทะที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลเสียต่อภาคอุตสาหกรรม เกษตร และท่องเที่ยวอย่างรุนแรง ประเมินมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นในช่วง 9 วันที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท โดยภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบไปแล้วเกือบ 500 ล้านบาท
.
ในด้านการท่องเที่ยว นายสุทธิลักษณ์ ระบุว่า สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มไม่มั่นใจและขอยกเลิกการจองห้องพัก ทั้งในพื้นที่เกาะช้างและเกาะกูด ซึ่งช่วงปลายปีมียอดจองที่พักเกือบ 100% แต่ขณะนี้ถูกยกเลิกจนเหลือเพียง 20% เท่านั้น คาดการณ์ความเสียหายเฉพาะภาคท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท
.
สำหรับผลกระทบต่อเนื่องจากการประกาศเคอร์ฟิวในช่วงก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ค่าขนส่งสินค้าและบริการในจังหวัดพุ่งสูงขึ้นถึง 1 เท่าตัว แม้ปัจจุบันจะมีการยกเลิกเคอร์ฟิวแล้วและคาดว่าค่าขนส่งจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังราคาสินค้าและบริการในระยะถัดไป เนื่องจากเริ่มมีการแจ้งขอปรับราคาสินค้าจากผู้ผลิตหากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ
.
นายสุทธิลักษณ์ ระบุว่า มีความกังวลถึงปัญหาแรงงานกัมพูชาที่ไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ และภาระของนายจ้างในพื้นที่อพยพ ได้แก่ อ.คลองใหญ่, 4 ตำบลใน อ.เมือง และ อ.บ่อไร่ ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนจากสำนักงานประกันสังคมและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่องการจ่ายเงินชดเชยจากการอพยพ ผู้ประกอบการบางรายต้องแบกรับค่าจ้างเดือนละ 2-3 ล้านบาท ทั้งที่ไม่มีรายได้เข้ามาเลยในช่วงนี้ ถือเป็นภาระหนักที่ต้องการความชัดเจนจากภาครัฐโดยเร็ว
.
สำหรับความเสียหายนายสุทธิลักษณ์ คาดการณ์ว่า ตลอด 9 วันที่มีการปะทะกัน คาดว่ามากว่า 1,000 ล้านบาท ยังไม่รวมถึงมูลค่าการค้าชายแดนที่ขาดหายไปจากการปิดด่านเป็นเวลานาน ซึ่งหากคำนวณภาพรวมทั้งหมดคาดว่ามูลค่าความเสียหายน่าจะสูงถึงระดับหมื่นล้านบาท
JJNY : ค่ายส้ม ติวเข้มว่าที่ผู้สมัครส.ส.│ดีเอสไอเชือดล็อตแรก│ศก.จ.ตราด เจอพิษสงคราม│เผย ท่องเที่ยวกัมพูชาได้รับผลกระทบ
https://www.matichon.co.th/politics/election69/news_5508761
.
ค่ายส้ม ติวเข้มว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต-ปาร์ตี้ลิสต์ 17-18 ธ.ค. เท้ง บรรยายปลุกใจ ‘รบ.ประชาชน เปลี่ยนประเทศ’ หลังคัดบัญชีรายชื่อเหลือ 120 คน
.
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ ที่โรงแรมอวานา บางกอก โฮเทล ย่านบางนา พรรคประชาชนมีการจัดสัมมนาว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาชน ทั้งแบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขตจากทั่วประเทศ โดยมีการส่งข้อความแจ้งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เมื่อช่วงค่ำวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ มีการแจ้งว่าที่ผู้สมัครทั้งตัวจริงและสำรองจำนวน 120 คนเข้าร่วมสัมมนา ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการจัดเรียงลำดับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ว่าใครอยู่ในลำดับใด โดยก่อนหน้านี้มีผู้เข้ารับกันคัดสรรเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อกว่า 1,500 คน ซึ่งต้องผ่านการอบรมหลักสูตรของพรรคประชาชน และการสัมภาษณ์จากคณะกรรมการอย่างเข้มข้นจนเหลือ 120 คนดังกล่าว
.
สำหรับกำหนดการในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ มีการเปิดลงทะเบียนในเวลา 12.00 น. และเริ่มการสัมมนาในเวลา 13.00 น. โดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค กล่าวต้อนรับและชี้แจงกำหนดการ จากนั้นฝ่ายกฎหมายของพรรค ชี้แจงการเตรียมเอกสารตามกฎหมายของผู้สมัครับเลือกตั้ง ต่อด้วยการบรรยายในหัวข้อ “การเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง” โดย นายกิตติชัย เตชะกุลวณิชย์ รองหัวหน้าพรรคฝ่ายงานบริหารท้องถิ่น ขณะที่ในช่วงเย็นเป็นการติวเข้มนโยบาย โดยฝ่ายนโยบายพรรค
.
ส่วนวันที่ 18 ธ.ค. เริ่มการสัมมนาตั้งแต่ช่วงเช้า โดยเป็นการติวเข้มนโยบายพรรค จากฝ่ายนโยบาย ตามด้วยแคมเปญรณรงค์หาเสียง 2569 โดยฝ่ายสื่อสารและรณรงค์ จากนั้นนายศรายุทธิ์ จะบรรยายหัวข้อ “ความสำคัญของเครือข่าย และการชนะเลือกตั้ง” และปิดท้ายด้วยการบรรยายในหัวข้อ “รัฐบาลประชาชน เปลี่ยนประเทศไทย” โดยนายณัฐพงษ์ ก่อนจบกิจกรรมในช่วงเที่ยง
.
ทั้งนี้พรรคประชาชนแจ้งนัดหมายสื่อมวลชน ติดตามทำข่าวงานสัมมนาเตรียมความพร้อมเลือกตั้งทั่วประเทศพรรคประชาชน ในช่วง 11.30-12.00 น. วันที่ 18 ธ.ค. โดยเปิดโอกาสให้สื่อสามารถติดต่อขอสัมภาษณ์ทำความรู้จักกับผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ทั่วประเทศ
.
.
ดีเอสไอ เชือดล็อตแรก 8 ผู้ต้องหา ‘คดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว.’ มี 2 สว.ตัวจริง-6เครือข่ายพรรคใหญ่
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_5508641
.
ดีเอสไอ สรุปสำนวน คดีอั้งยี่-ฟอกเงิน ส.ว. ให้อัยการคดีพิเศษล็อตแรก 8 ผู้ต้องหา 2 ส.ว.ตัวจริง และ 6 เครือข่ายพรรคการเมืองดัง
.
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ดำเนินการสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณี การสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำความผิดฐานอั้งยี่ฯ ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน ส.ว. นานกว่า 9 เดือน นับแต่วันที่ 6 มี.ค.68 ซึ่งคณะกรรมการคดีพิเศษ (บอร์ด กคพ.) มีมติให้รับเป็นคดีพิเศษ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องไปหลายร้อยคน มีการจัดทำเหตุการณ์จำลองทั้งสถานที่ใช้ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และกระบวนการคัดเลือก พร้อมขอรับภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดที่เกี่ยวข้องในวันเกิดเหตุจากหลายหน่วยงาน
.
มีการตรวจสอบร่องรอยทางการเงินพบว่ามีความเชื่อมโยงกัน 1,200 คน จาก 45 จังหวัด อย่างไรก็ดี เพื่อพิสูจน์ทราบความสัมพันธ์ของกลุ่มขบวนการจึงได้มีการตรวจสอบข้อมูลโทรศัพท์ และจากข้อมูลการสืบสวนพบว่ายังมีผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาเกี่ยวข้องในพื้นที่ 45 จังหวัด เป็นเหตุให้คณะพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกพยานแก่อดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 1,200 ราย เพื่อเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติม และเนื่องด้วยคดีมีพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องค่อนข้างมาก อธิบดีจึงได้มอบหน่วยงานภายในสังกัดรวม 10 กองคดีที่เป็นคณะพนักงานสอบสวน เร่งดำเนินการสอบสวนปากคำพยานทั้ง 1,200 คนให้แล้วเสร็จ
.
อย่างไรก็ตาม ต่อมาพบว่าบางจังหวัด อาทิ จ.บุรีรัมย์ พยานกลับไม่ให้ความร่วมมือเข้าพบพนักงานสอบสวน และยังมีข้อครหาจากพยานในจังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดขอนแก่น ที่ทำหนังสือร้องเรียนมายังอธิบดีว่าในการให้ถ้อยคำต่างๆ กับพนักงานสอบสวน พยานอ้างว่าถูกข่มขู่ บังคับให้รับสารภาพ จนอธิบดีได้สั่งการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าถ้อยคำให้การของพยานถือเป็นการให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวนหรือไม่ เพราะครั้งแรกให้การอย่างหนึ่ง แต่มากลับคำให้การในตอนหลัง รวมถึงถูกข่มขู่บังคับรับสารภาพเพื่อให้ถูกกันไว้เป็นพยานในคดีจริงหรือไม่ กระทั่งล่าสุดในการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พบเส้นทางการเงินของบุคคล รวมจำนวน 8 ราย ประกอบด้วย สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ตัวจริง 2 ราย และเครือข่ายพรรคการเมืองดัง 6 ราย ที่มีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 ฐานกระทำความผิดอั้งยี่ฯ และได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา เพื่อชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
.
ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ภายหลังจากเมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษอั้งยี่-ฟอกเงิน ส.ว. ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและพนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน ร่วมเป็นคณะพนักงานสอบสวน ได้มีการประชุมหารือร่วมกันในประเด็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการฮั้ว ส.ว. ซึ่งจากการสอบปากคำพยานหลายปาก และรวบรวมพยานหลักฐาน โดยเฉพาะเส้นทางการเงินในห้วงเวลาก่อนการเลือก ส.ว. ระหว่างเลือก ส.ว. และภายหลังเสร็จสิ้นการเลือก ส.ว. พบมีการรับโอนเงินระหว่างกันแบบผิดปกติ ถี่และบ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันในเชิงต่างตอบแทน เมื่อบุคคลนั้นได้รับเลือกเป็น ส.ว.ระดับประเทศ จึงพบว่า มีผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยมีหลักฐานยืนยันชัดเจนในพฤติการณ์ รวมจำนวนเบื้องต้น 8 ราย จากการกระทำความผิดทางอาญาฐานอั้งยี่และฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาทั้ง 8 รายไปแล้ว เพื่อให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาฟอกเงิน
.
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ส่วนใหญ่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยืนยันว่าตนไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับขบวนการฮั้ว ส.ว. จึงทำให้เมื่อคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ทั้งดีเอสไอและพนักงานอัยการ ได้ร่วมกันตรวจทานคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว แต่ก็พบว่าในรายละเอียดการชี้แจงไม่สามารถหักล้างข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานการอั้งยี่และฟอกเงินได้ จึงมีมติเห็นพ้องกัน ให้สรุปสำนวนส่งฟ้องผู้ต้องหาล็อตแรก จำนวน 8 ราย ไปยังพนักงานอัยการคดีพิเศษ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนของอัยการต่อไป
.
ทั้งนี้สำหรับผู้ต้องหาลอตแรก จำนวน 8 รายที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษดีเอสไอและพนักงานอัยการ สำนักงานการสอบสวน ได้มีมติส่งฟ้องไปยังพนักงานอัยการคดีพิเศษ ประกอบด้วย เครือข่ายของพรรคการเมืองใหญ่, นักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดนครศรีธรรมราช, ผู้บริหาร, สมาชิกวุฒิสภาตัวจริง จังหวัดสุราษฎร์ธานี, อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคการเมืองใหญ่, สมาชิกวุฒิสภาตัวจริง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดทางภาคใต้
.
.
.
นายสุทธิลักษณ์ คุ้มครองรักษ์ เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจของจังหวัดตราดในขณะนี้กำลังเผชิญกับปัญหาหนักในหลายมิติ ทั้งด้านการขนส่ง แรงงาน และการค้าชายแดน โดยเฉพาะผลกระทบจากเหตุปะทะที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลเสียต่อภาคอุตสาหกรรม เกษตร และท่องเที่ยวอย่างรุนแรง ประเมินมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นในช่วง 9 วันที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท โดยภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบไปแล้วเกือบ 500 ล้านบาท
.
ในด้านการท่องเที่ยว นายสุทธิลักษณ์ ระบุว่า สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มไม่มั่นใจและขอยกเลิกการจองห้องพัก ทั้งในพื้นที่เกาะช้างและเกาะกูด ซึ่งช่วงปลายปีมียอดจองที่พักเกือบ 100% แต่ขณะนี้ถูกยกเลิกจนเหลือเพียง 20% เท่านั้น คาดการณ์ความเสียหายเฉพาะภาคท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท
.
สำหรับผลกระทบต่อเนื่องจากการประกาศเคอร์ฟิวในช่วงก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ค่าขนส่งสินค้าและบริการในจังหวัดพุ่งสูงขึ้นถึง 1 เท่าตัว แม้ปัจจุบันจะมีการยกเลิกเคอร์ฟิวแล้วและคาดว่าค่าขนส่งจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังราคาสินค้าและบริการในระยะถัดไป เนื่องจากเริ่มมีการแจ้งขอปรับราคาสินค้าจากผู้ผลิตหากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ
.
นายสุทธิลักษณ์ ระบุว่า มีความกังวลถึงปัญหาแรงงานกัมพูชาที่ไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ และภาระของนายจ้างในพื้นที่อพยพ ได้แก่ อ.คลองใหญ่, 4 ตำบลใน อ.เมือง และ อ.บ่อไร่ ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนจากสำนักงานประกันสังคมและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่องการจ่ายเงินชดเชยจากการอพยพ ผู้ประกอบการบางรายต้องแบกรับค่าจ้างเดือนละ 2-3 ล้านบาท ทั้งที่ไม่มีรายได้เข้ามาเลยในช่วงนี้ ถือเป็นภาระหนักที่ต้องการความชัดเจนจากภาครัฐโดยเร็ว
.
สำหรับความเสียหายนายสุทธิลักษณ์ คาดการณ์ว่า ตลอด 9 วันที่มีการปะทะกัน คาดว่ามากว่า 1,000 ล้านบาท ยังไม่รวมถึงมูลค่าการค้าชายแดนที่ขาดหายไปจากการปิดด่านเป็นเวลานาน ซึ่งหากคำนวณภาพรวมทั้งหมดคาดว่ามูลค่าความเสียหายน่าจะสูงถึงระดับหมื่นล้านบาท