ความเข้าใจที่ต่างกันในประโยค เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี

ท่อนแรกคือ เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ
ท่อนหลังคือ ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี

ส่วนใหญ่(ที่เข้ามาคุยกันในห้องศาสนา)จะเข้าใจตรงตัวตามท่อนหลังคือ ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี

ส่วนน้อยจะเห็นว่าท่อนหลังเป็นส่วนขยายที่มาอธิบายเพิ่มเติมให้กับท่อนแรก (ควรสอดคล้องกัน)
จึงควรที่จะเติม "ทำนองว่า" หรือ "ว่า" ... เข้าไป  ผมเห็นด้วยตามนี้ แล้วอยากจะเติมเพื่อให้ชัดขึ้นไปอีกเป็น
"เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ ไม่สามารถกล่าวได้ว่า ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี"

ผมไม่มีความรู้บาลี  จึงขออธิบายแย้งความเข้าใจของส่วนใหญ่ โดยการยกตัวอย่างแบบนี้คือ

หากเมื่อย้อนอดีตไปไม่ว่าจะไกลแค่ไหนก็ตาม แล้วไม่พบว่ามี X มาก่อนเลย แต่วันนี้มี X ก็หมายความว่าจุดเริ่มต้น
หรือจุดที่ X เกิดขึ้นครั้งแรกก็คือวันนี้ ( เท่ากับ X มีจุดเริ่มต้น )

ดังนั้น "ถ้าเราพูดว่า X ไม่มีจุดเริ่มต้น เมื่อก่อนไม่มี X มาตอนหลังมี X"  มันก็จะขัดแย้งกันเอง
สรุป "ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี" ขัดแย้งกับ "เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ"
...

ท่านเข้าใจว่าอย่างไร ก็ว่าไปตามนั้นนะครับ ผมไม่ได้มาตัดสินผิดถูกแต่อย่างใด
เพียงอยากได้รับฟังความเห็นชี้แนะ(หากเห็นว่าผมเข้าใจผิด) ว่า ผมเข้าใจผิดตรงจุดไหนอย่างไร
เท่านั้นเอง

(เรื่องที่อวิชชาเป็นสังขตะ อวิชชาเกิดดับ มีเหตุทำให้อวิชชาเกิด มีอาหารทำให้อวิชชาอ้วนท้วนสมบูรณ์แข็งแรง
นั้นผมไม่ได้มีปัญหาอะไรนะครับ ที่อธิบายไปข้างบนนั้นจะเกี่ยวกับการเกิดขึ้นครั้งแรกของอวิชชา
ซึ่งมันไม่มี ในความเห็นของผม...)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่