สวัสดีครับ ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งอายุ 23 ปี เพิ่งเรียนจบหมาดๆ ในปีนี้... ไม่สิ ขอเรียกนิยามตัวเองใหม่ว่า
"เด็กจบใหม่ป้ายแดงฝุ่นเกาะ" แล้วกันครับ ฟังดูตลกใช่ไหมครับ? แต่ที่มาของชื่อนี้ มันแลกมาด้วยความเงียบงันและการตั้งคำถามกับตัวเองตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา
1. จุดเริ่มต้น: การดิ้นรนเปลี่ยนสายเพื่อ "ทางรอด"
ย้อนกลับไปตอนเรียน ผมสนใจด้านคอมพิวเตอร์ด้าน Entertain ครับ เรียนด้วยความชอบล้วนๆ แต่พอขึ้นปี 3 ผมเริ่มมองตลาดบ้านเราแล้วพบสัจธรรมว่า
"บ้านเราเป็นผู้บริโภคมากกว่าผู้ผลิต" ขืนดันทุรังต่อทางเดิมอาจจะลำบาก ผมเลยคุยกับตัวเองว่าพอจะมีทางเปลี่ยนสายให้เอาตัวรอดได้ไหม?
ยอมรับตรงๆ ว่าการเริ่มใหม่ตอนปี 3-4 อาจจะดูช้าไป แต่ผมก็เลือกที่จะสู้ ผมควักเงินเก็บลงทุนซื้อคอร์สออนไลน์มาเรียนถึง 4 คอร์สและเรียนจนจบเพื่ออุดรอยรั่วเรื่องทักษะและหาความรู้มุมมองใหม่ๆ ส่วนเรื่องผลงาน (Portfolio) แม้ช่วงฝึกงานผมจะได้ทำโปรเจกต์จริง แต่ด้วยสัญญาความลับบริษัท (NDA) และจรรยาบรรณส่วนตัวของผม ทำให้ผมหยิบมันมาโชว์ใครไม่ได้เลย กลายเป็นคนที่มี "ของ" แต่โชว์ไม่ได้
หลังเรียนจบ ผมเริ่มหว่านใบสมัครไปในเว็บหางานต่างๆ ทั้งงานที่ตรงสาย งานที่เกี่ยวเนื่อง หรือแม้แต่งานที่ฉีกกฎเกณฑ์ความชอบของตัวเองไปเลย... แต่ผลลัพธ์คือ
ความเงียบ
2. ความเงียบที่นำไปสู่คำถาม: "หรือผมล้มละลายทางการศึกษา?"
ผ่านมากว่า 7 เดือนที่ไร้การตอบรับ ผมเริ่มฟุ้งซ่านและตั้งคำถามกับตัวเอง อาจจะพูดแรงไปหน่อย แต่ผมเป็นคนชนชั้นกลางที่ไม่มีหนี้สิน ไม่มีภาระใหญ่โต มีแค่ค่าใช้จ่ายรายเดือนพื้นฐาน ผมเคยแอบคิดเล่นๆ ว่า หรือเพราะผมดู "ไม่มีภาระ" บริษัทเลยเมินเฉย? เพราะคิดว่าผมคงไม่อดทนงาน หรือไม่มีแรงจูงใจมากพอ? (ซึ่งผมรู้ว่ามันอาจจะไม่เกี่ยวหรอก แต่มันอดคิดไม่ได้จริงๆ)
ตลอด 23 ปี มีคนชมว่าผม "เก่ง" มาตลอด แต่วันนี้ความเงียบจากการสมัครงานตบหน้าผมและบอกว่า สิ่งที่ผมเชื่อนั้นมันเป็นเพียงภาพลวงตาและคำพูดปลอบประโลมคนโง่คนหนึ่ง ผมเฝ้าถามตัวเองว่า
"เอ็งยังเก่งอยู่จริงหรือเปล่า?"
คนรอบข้างมักบอกว่า
"ทำไปเถอะ เดี๋ยวก็มีคนมาเห็นเอง"... สำหรับผม มันเป็นคำปลอบใจที่แปลกประหลาดมาก ผมทำมาจนรู้สึกว่าไม่มีคนเห็นหัวสักที บางคนบอกให้ลงเรียนเพิ่มอีก ผมอยากถามกลับว่า
"ผมต้องเรียนคอร์สเสริมอีกกี่คอร์ส? ต้องหมดเงินไปอีกเท่าไหร่เขาถึงจะเห็นหัวผม?"
ถ้าคำกล่าวที่ว่า
"การศึกษาคือการลงทุน" เป็นเรื่องจริง... ณ วินาทีนี้ ผมคงต้องนิยามตัวเองว่าเป็น
"บุคคลล้มละลายทางการศึกษา" ไปแล้วครับ
3. ถึงผู้จ้างงาน: วงจรประสบการณ์ และสูตรลับที่ตายไปกับเจ้าของ
อีกเรื่องที่ผมคาใจ คือตรรกะการรับคนของหลายบริษัท ผมเข้าใจนะครับว่าธุรกิจต้องการ "ความต่อเนื่อง" ต้องการคนเก่งที่เข้ามาแล้วทำงานได้เลย แต่การที่แปะป้ายว่า
"ยินดีรับนักศึกษาจบใหม่" แล้วห้อยท้ายตัวเล็กๆ ว่า
"ต้องมีประสบการณ์ 1 ปีขึ้นไป" มันคือตลกร้ายสำหรับพวกผมชัดๆ
ผมมีประสบการณ์ไม่ถึงเกณฑ์ แต่ผมอยากสมัคร ผมอยากทำงาน... ถ้าพวกพี่เปิดใจรับผมเข้าไป จะมีใครเสียสละเวลามาสอนงานผมจริงๆ หรือเปล่า? ผมไม่ได้ต้องการการป้อนข้าวป้อนน้ำ แต่ผมกลัวการเข้าไปเป็น "ตัวตลก" ที่ถูกโยนคอร์สออนไลน์ใส่หน้าแล้วบอกว่า
"ไปเรียนซะ" หรือไล่ให้ไปถาม AI ทุกเรื่อง ถ้าเป็นแบบนั้น มันเหมือนพวกคุณกำลัง
"หวงความรู้"
ผมอยากฝากแง่คิดให้พี่ๆ HR หรือเจ้าของบริษัทสักนิดครับ... พี่ๆ เคยเห็นร้านอาหารเก่าแก่เจ้าอร่อยที่ต้องปิดตัวถาวรไหมครับ? หลายร้านรสชาติหายไปตลอดกาล เพียงเพราะคนที่มีสูตร
"ตายไปพร้อมกับสูตรที่เขาหวงมากๆ" โดยไม่ถ่ายทอดให้ใคร
ถ้าไม่อยากให้วงจรการจ้างงานหรือองค์กรต้องชะงักงันเหมือนร้านอาหารที่ไร้ผู้สืบทอด ลองเปลี่ยนจาก "การหวงวิชา" หรือหาแต่คนพร้อมใช้ มาเป็นการ "สร้างคน" ดูบ้างไหมครับ? เปลี่ยนแปลงสักนิด วงจรนี้คงจะลื่นไหลขึ้นเยอะ
4. กับดัก Resume: เมื่อความ "มักง่าย" กลายเป็นมาตรฐาน
สุดท้าย... เรื่องด่านหน้าอย่าง
Resume และ CV ทุกวันนี้กูรูหลายท่านบอกว่า
"คุณต้องใช้รูปแบบ Harvard นะ" หรือ
"ต้องจัดหน้าแบบนี้นะ" ซึ่งในมุมมองของผม... ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้มองว่ามันเรียบง่าย (Simple) แต่ผมมองว่ามัน
"มักง่าย" (Lazy) เสียมากกว่า
ลองจินตนาการดูสิครับ กระดาษขาวๆ มีตัวหนังสือแปะๆ แล้วก็
"เส้นขีดแบ่งหน้าโง่ๆ" วาง Bullet Point ทื่อๆ ตรงๆ... มันดู
ไร้ศิลปะสิ้นดี
เราเรียนมาแทบตาย มีความคิดสร้างสรรค์ มีตัวตนที่อยากนำเสนอให้สอดคล้องกับปริญญาหรือเนื้องานที่สนใจ แต่กลับถูกบังคับให้ลดทอนทุกอย่างลงเหลือแค่กระดาษจืดชืดเพียงใบเดียว เพื่ออะไรครับ? เพื่อให้
AI มันอ่านออกง่ายๆ แค่นั้นหรือ?
เพื่อนผมบอกว่า
"HR ใช้ AI กรองใบสมัครแล้วนะ" ผมเข้าใจเรื่องปริมาณงานครับ แต่ผมอยากถามว่า
"เรามาถึงจุดที่ยอมให้เครื่องมือมาตัดสินคุณค่าความเป็นมนุษย์ แล้วบังคับให้มนุษย์ทำตัวไร้รสนิยมเพื่อเอาใจเครื่องมือกันแล้วหรือ?"
มันน่าเศร้านะครับ ที่องค์กรใหญ่โตมีพนักงานมากมาย แต่กลับมี HR ไม่กี่คนที่ทำหน้าที่คัดกรอง "มนุษย์" จนต้องพึ่งพา
Auto-Pilot (ระบบอัตโนมัติ) มาขับเคลื่อนการจ้างงาน แทนที่จะใช้มันเป็นแค่
Co-Pilot (ผู้ช่วย) เท่านั้น
...ถึงตรงนี้ ผมก็ได้แต่หวังว่าเสียงบ่นของ "เด็กจบใหม่ฝุ่นเกาะ" คนนี้ จะดังไปถึงใครสักคนที่มีอำนาจเปลี่ยนแปลง หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้เป็นพื้นที่ระบายความในใจของคนที่ตกอยู่ในสถานะ "ล้มละลายทางการศึกษา" เหมือนๆ กับผมครับ
หางานในยุค 2025
1. จุดเริ่มต้น: การดิ้นรนเปลี่ยนสายเพื่อ "ทางรอด"
ย้อนกลับไปตอนเรียน ผมสนใจด้านคอมพิวเตอร์ด้าน Entertain ครับ เรียนด้วยความชอบล้วนๆ แต่พอขึ้นปี 3 ผมเริ่มมองตลาดบ้านเราแล้วพบสัจธรรมว่า "บ้านเราเป็นผู้บริโภคมากกว่าผู้ผลิต" ขืนดันทุรังต่อทางเดิมอาจจะลำบาก ผมเลยคุยกับตัวเองว่าพอจะมีทางเปลี่ยนสายให้เอาตัวรอดได้ไหม?
ยอมรับตรงๆ ว่าการเริ่มใหม่ตอนปี 3-4 อาจจะดูช้าไป แต่ผมก็เลือกที่จะสู้ ผมควักเงินเก็บลงทุนซื้อคอร์สออนไลน์มาเรียนถึง 4 คอร์สและเรียนจนจบเพื่ออุดรอยรั่วเรื่องทักษะและหาความรู้มุมมองใหม่ๆ ส่วนเรื่องผลงาน (Portfolio) แม้ช่วงฝึกงานผมจะได้ทำโปรเจกต์จริง แต่ด้วยสัญญาความลับบริษัท (NDA) และจรรยาบรรณส่วนตัวของผม ทำให้ผมหยิบมันมาโชว์ใครไม่ได้เลย กลายเป็นคนที่มี "ของ" แต่โชว์ไม่ได้
หลังเรียนจบ ผมเริ่มหว่านใบสมัครไปในเว็บหางานต่างๆ ทั้งงานที่ตรงสาย งานที่เกี่ยวเนื่อง หรือแม้แต่งานที่ฉีกกฎเกณฑ์ความชอบของตัวเองไปเลย... แต่ผลลัพธ์คือ ความเงียบ
2. ความเงียบที่นำไปสู่คำถาม: "หรือผมล้มละลายทางการศึกษา?"
ผ่านมากว่า 7 เดือนที่ไร้การตอบรับ ผมเริ่มฟุ้งซ่านและตั้งคำถามกับตัวเอง อาจจะพูดแรงไปหน่อย แต่ผมเป็นคนชนชั้นกลางที่ไม่มีหนี้สิน ไม่มีภาระใหญ่โต มีแค่ค่าใช้จ่ายรายเดือนพื้นฐาน ผมเคยแอบคิดเล่นๆ ว่า หรือเพราะผมดู "ไม่มีภาระ" บริษัทเลยเมินเฉย? เพราะคิดว่าผมคงไม่อดทนงาน หรือไม่มีแรงจูงใจมากพอ? (ซึ่งผมรู้ว่ามันอาจจะไม่เกี่ยวหรอก แต่มันอดคิดไม่ได้จริงๆ)
ตลอด 23 ปี มีคนชมว่าผม "เก่ง" มาตลอด แต่วันนี้ความเงียบจากการสมัครงานตบหน้าผมและบอกว่า สิ่งที่ผมเชื่อนั้นมันเป็นเพียงภาพลวงตาและคำพูดปลอบประโลมคนโง่คนหนึ่ง ผมเฝ้าถามตัวเองว่า "เอ็งยังเก่งอยู่จริงหรือเปล่า?"
คนรอบข้างมักบอกว่า "ทำไปเถอะ เดี๋ยวก็มีคนมาเห็นเอง"... สำหรับผม มันเป็นคำปลอบใจที่แปลกประหลาดมาก ผมทำมาจนรู้สึกว่าไม่มีคนเห็นหัวสักที บางคนบอกให้ลงเรียนเพิ่มอีก ผมอยากถามกลับว่า "ผมต้องเรียนคอร์สเสริมอีกกี่คอร์ส? ต้องหมดเงินไปอีกเท่าไหร่เขาถึงจะเห็นหัวผม?"
ถ้าคำกล่าวที่ว่า "การศึกษาคือการลงทุน" เป็นเรื่องจริง... ณ วินาทีนี้ ผมคงต้องนิยามตัวเองว่าเป็น "บุคคลล้มละลายทางการศึกษา" ไปแล้วครับ
3. ถึงผู้จ้างงาน: วงจรประสบการณ์ และสูตรลับที่ตายไปกับเจ้าของ
อีกเรื่องที่ผมคาใจ คือตรรกะการรับคนของหลายบริษัท ผมเข้าใจนะครับว่าธุรกิจต้องการ "ความต่อเนื่อง" ต้องการคนเก่งที่เข้ามาแล้วทำงานได้เลย แต่การที่แปะป้ายว่า "ยินดีรับนักศึกษาจบใหม่" แล้วห้อยท้ายตัวเล็กๆ ว่า "ต้องมีประสบการณ์ 1 ปีขึ้นไป" มันคือตลกร้ายสำหรับพวกผมชัดๆ
ผมมีประสบการณ์ไม่ถึงเกณฑ์ แต่ผมอยากสมัคร ผมอยากทำงาน... ถ้าพวกพี่เปิดใจรับผมเข้าไป จะมีใครเสียสละเวลามาสอนงานผมจริงๆ หรือเปล่า? ผมไม่ได้ต้องการการป้อนข้าวป้อนน้ำ แต่ผมกลัวการเข้าไปเป็น "ตัวตลก" ที่ถูกโยนคอร์สออนไลน์ใส่หน้าแล้วบอกว่า "ไปเรียนซะ" หรือไล่ให้ไปถาม AI ทุกเรื่อง ถ้าเป็นแบบนั้น มันเหมือนพวกคุณกำลัง "หวงความรู้"
ผมอยากฝากแง่คิดให้พี่ๆ HR หรือเจ้าของบริษัทสักนิดครับ... พี่ๆ เคยเห็นร้านอาหารเก่าแก่เจ้าอร่อยที่ต้องปิดตัวถาวรไหมครับ? หลายร้านรสชาติหายไปตลอดกาล เพียงเพราะคนที่มีสูตร "ตายไปพร้อมกับสูตรที่เขาหวงมากๆ" โดยไม่ถ่ายทอดให้ใคร
ถ้าไม่อยากให้วงจรการจ้างงานหรือองค์กรต้องชะงักงันเหมือนร้านอาหารที่ไร้ผู้สืบทอด ลองเปลี่ยนจาก "การหวงวิชา" หรือหาแต่คนพร้อมใช้ มาเป็นการ "สร้างคน" ดูบ้างไหมครับ? เปลี่ยนแปลงสักนิด วงจรนี้คงจะลื่นไหลขึ้นเยอะ
4. กับดัก Resume: เมื่อความ "มักง่าย" กลายเป็นมาตรฐาน
สุดท้าย... เรื่องด่านหน้าอย่าง Resume และ CV ทุกวันนี้กูรูหลายท่านบอกว่า "คุณต้องใช้รูปแบบ Harvard นะ" หรือ "ต้องจัดหน้าแบบนี้นะ" ซึ่งในมุมมองของผม... ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้มองว่ามันเรียบง่าย (Simple) แต่ผมมองว่ามัน "มักง่าย" (Lazy) เสียมากกว่า
ลองจินตนาการดูสิครับ กระดาษขาวๆ มีตัวหนังสือแปะๆ แล้วก็ "เส้นขีดแบ่งหน้าโง่ๆ" วาง Bullet Point ทื่อๆ ตรงๆ... มันดู ไร้ศิลปะสิ้นดี
เราเรียนมาแทบตาย มีความคิดสร้างสรรค์ มีตัวตนที่อยากนำเสนอให้สอดคล้องกับปริญญาหรือเนื้องานที่สนใจ แต่กลับถูกบังคับให้ลดทอนทุกอย่างลงเหลือแค่กระดาษจืดชืดเพียงใบเดียว เพื่ออะไรครับ? เพื่อให้ AI มันอ่านออกง่ายๆ แค่นั้นหรือ?
เพื่อนผมบอกว่า "HR ใช้ AI กรองใบสมัครแล้วนะ" ผมเข้าใจเรื่องปริมาณงานครับ แต่ผมอยากถามว่า "เรามาถึงจุดที่ยอมให้เครื่องมือมาตัดสินคุณค่าความเป็นมนุษย์ แล้วบังคับให้มนุษย์ทำตัวไร้รสนิยมเพื่อเอาใจเครื่องมือกันแล้วหรือ?"
มันน่าเศร้านะครับ ที่องค์กรใหญ่โตมีพนักงานมากมาย แต่กลับมี HR ไม่กี่คนที่ทำหน้าที่คัดกรอง "มนุษย์" จนต้องพึ่งพา Auto-Pilot (ระบบอัตโนมัติ) มาขับเคลื่อนการจ้างงาน แทนที่จะใช้มันเป็นแค่ Co-Pilot (ผู้ช่วย) เท่านั้น
...ถึงตรงนี้ ผมก็ได้แต่หวังว่าเสียงบ่นของ "เด็กจบใหม่ฝุ่นเกาะ" คนนี้ จะดังไปถึงใครสักคนที่มีอำนาจเปลี่ยนแปลง หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้เป็นพื้นที่ระบายความในใจของคนที่ตกอยู่ในสถานะ "ล้มละลายทางการศึกษา" เหมือนๆ กับผมครับ