ทำไมไทยกลายเป็นฐานสแกมเมอร์ เครือข่ายทุนเทาแห่ปักหลัก กฎหมายที่มีอยู่ยังปราบไม่ได้
เงินเปื้อนเลือดจากขบวนการสแกมเมอร์ระดับโลก กำลังถูกฟอกให้สะอาดในประเทศไทย
ตั้งแต่ร้านอาหารปลอมๆ ยันบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ไปจนถึงตลาดหุ้น กองทุน
และแม้แต่ทองคำ ทุกอย่างกำลังกลายเป็นเครื่องซักเงินขนาดใหญ่ของเครือข่ายอาชญากร
กัมพูชาเป็นประเทศที่มีเครือข่ายสแกมเมอร์มากกว่า 60 แห่ง ที่มูลค่าความเสียหายต่อชีวิตและ
ทรัพย์สินของผู้คนทั่วโลกรวมแล้วมากถึงหลักล้านล้านบาท และตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขา
กำลังเอาเงินเปื้อนเลือดและน้ำตาของเหยื่อจำนวนมาก มาฟอกให้สะอาดในประเทศไทย
แก๊งหลอกลวงจะต้องฟอกเงินด้วยวิธีต่างๆ แต่คำถามคือทำไมพวกเขาถึงเข้ามายังระบบตลาดหุ้น
และกองทุนไทยได้อย่างง่ายดาย และจริงหรือไม่ที่ตอนนี้เรากำลังกลายเป็นศูนย์กลางการอำนวย
ความสะดวกต่อการฟอกเงินระดับโลก? สำรวจความฉ้อฉลและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเราทุกคน
ได้ในรายการ
KEY MESSAGES
เรื่อง: ตรีนุช อิงคุทานนท์
ตัดต่อ: ธนวัฒน์ กางกรณ์
00:00 เริ่มรายการ
00:48 ล้างเงินเลือด ให้กลายเป็นเงินสะอาด
05:53 มหากาพย์ฟอกเงินผ่านตลาดหุ้นและกองทุนไทย
14:36 ไทยกำลังเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินโลก?
ไทยถูกใช้เป็นฐานสแกมเมอร์ข้ามชาติหลายประเทศ กฎหมายยังปิดจุดอ่อนไม่ได้
สภาผู้บริโภคเตือนรัฐเร่งยกระดับกฎหมาย
ประเทศไทยกำลังเผชิญอาชญากรรมไซเบอร์ครั้งใหญ่ จากการที่มีกลุ่มสแกมเมอร์ระดับโลกต่างใช้ไทย
เป็นฐานปฏิบัติการและแหล่งกบดาน หรือการใช้เป็นฐานฟอกเงิน โดยความเสียหายไม่เพียงเกิดกับคนไทย
แต่กระทบผู้บริโภคทั่วโลก
น่าห่วงเมื่อไทยกลายเป็นฐานสแกมเมอร์
ประเทศไทยกำลังเผชิญการขยายตัวของอาชญากรรมไซเบอร์อยู่ในระดับที่น่ากังวลอย่างมาก
และสแกมเมอร์ได้ยกระดับสู่อุตสาหกรรมแล้ว รวมถึงยังมีเครือข่ายสแกมเมอร์และทุนสีเทาจาก
หลายประเทศเลือกใช้ไทยเป็นทั้ง จุดปฏิบัติการ แหล่งซ่อนตัว และพื้นที่หมุนเวียนเงินผิดกฎหมาย
ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เพียงกระทบผู้บริโภคในประเทศ แต่เชื่อมโยงกับอาชญากรรมไซเบอร์
ข้ามพรมแดนที่สร้างความเสียหายไปทั่วโลก
ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทย ได้ตรวจพบสแกมเมอร์จากหลายสัญชาติ
เช่น จีน กัมพูชา เกาหลีใต้ เมียนมา และไต้หวัน ที่เข้ามาตัวในไทย ล่าสุดมีการจับกุมเครือข่าย
คอลเซ็นเตอร์ชาวเกาหลีใต้และจีนรวม 17 คน ซึ่งหลอกให้เหยื่อร่วมลงทุนในแชร์ลูกโซ่ภายใต้
ชื่อรีสอร์ตชื่อดัง และโทรข่มขู่โดยปลอมตัวเป็นอัยการและเจ้าหน้าที่ธนาคารเกาหลีใต้ ความเสียหาย
เฉพาะคดีนี้สูงกว่า 500 ล้านบาททั้งหมดสะท้อนว่าประเทศไทยยังถูกใช้เป็นจุดเชื่อมต่อเครือข่ายหลอกลวงระดับภูมิภาค
ทุนจีนเทา ราชาสแกมเมอร์ เครือข่ายระดับภูมิภาคที่โยงหลายประเทศ
รายงานสืบสวนฉายภาพเครือข่ายทุนจีนเทา หรือที่สื่อบางแห่งเรียกว่า “ราชาสแกมเมอร์”
ซึ่งเชื่อมโยงกับ เฉิน จื้อ (Chen Zhi) จาก ปริ๊นซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป องค์กรที่มีความเกี่ยวพันทางธุรกิจ
ในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น กัมพูชา ไทย และอังกฤษ
ขณะเดียวกันหน่วยงานต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ได้เริ่มดำเนินการตรวจเส้นทาง
การเงินและยึดทรัพย์เครือข่ายที่เกี่ยวข้อง โดยประเมินว่าความเสียหายจากการฉ้อโกงออนไลน์ที่เชื่อมโยง
กับกลุ่มนี้สูงถึง 16.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับประเทศไทยมีการตรวจสอบพบว่า เครือข่ายยังขยายการลงทุนผ่านบริษัทอสังหาริมทรัพย์และเทคโนโลยี
รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนผิดปกติ จึงเกิดความกังวลว่าประเทศไทยอาจถูกใช้เป็น สถานที่ฟอกเงินและ
ศูนย์เชื่อมกิจกรรมทางอาชญากรรม ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เหตุผลที่ไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางของขบวนการสแกมเมอร์
1. มิจฉาชีพต่างชาติแห่เข้าไทยหลังประเทศเพื่อนบ้านเข้มงวดปราบปราม
จากกรณีที่ประเทศจีนและเมียนมาเร่งกวาดล้างคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ชโวก๊กโก และเมียวดี
กลุ่มอาชญากรจำนวนมากหลบหนีเข้ามาในไทยเพื่อใช้เป็นพื้นที่พักตัว เขตหลบเลี่ยงการจับกุม
หรือฐานชั่วคราวก่อนย้ายต่อ รวมถึงการมีแนวพรมแดนไทยที่กว้างและตรวจสอบได้ยาก ทำให้เป็น
ช่องทางที่เครือข่ายผิดกฎหมายใช้ลักลอบเข้าเมืองได้ง่าย
2. ไทยถูกใช้เป็น “สำนักงานใหญ่” แอบแฝงของคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ
จากการบุกค้นหลายจุด พบว่ากลุ่มอาชญากรไม่ได้เพียงเข้ามาหลบซ่อน แต่ตั้ง สำนักงานทำงานจริง
ในไทย ตัวอย่างเช่น คอนโดมิเนียมระดับหรูในพัทยา และห้องชุดในย่านพระราม 3 ลุมพินี โดยภายในมี
อุปกรณ์ครบชุด เช่น เซิร์ฟเวอร์, อินเทอร์เน็ตเฉพาะกิจ, โทรศัพท์ VoIP, สคริปต์หลอกเหยื่อ และบัญชีม้า
ทั้งหมดชี้ว่าประเทศไทยถูกรับเลือกให้เป็น ศูนย์ควบคุมการหลอกลวงออนไลน์ระดับนานาชาติ
3. จุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน กลับเป็นช่องโหว่ที่สำคัญ
ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เสถียรภาพ การมีระบบพลังงานไฟฟ้า
ต่อเนื่อง การมีศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์คุณภาพสูง รวมถึงการตัดสินใจเช่าที่พักและเปิดสำนักงานในประเทศทำได้ง่าย
โดยปัจจัยเหล่านี้ทำให้มิจฉาชีพบางส่วนตัดสินใจเข้ามาตั้งระบบควบคุม ประสานงาน และฟอกเงินผ่านธุรกรรมดิจิทัล
4. มีข้อกล่าวหาความพยายามแทรกแซงโครงสร้างการเงินดิจิทัลไทย
ทั้งนี้มีเอกสารที่ระบุว่าทุนสีเทาบางส่วนอาจพยายามเข้าถึงข้อมูลหรือมีบทบาทในการกำหนดทิศทาง
กฎหมายการเงินดิจิทัล การเข้าไปลงทุนในธุรกิจสำคัญเพื่อแทรกซึมโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ
โดยเป็นข้อกล่าวหา แต่สะท้อนความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ไทยต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
กฎหมายไทยมีช่องโหว่ รับมือได้ไม่ทันท่วงที
ทั้งนี้ จากช่องโหว่ที่เกิดขึ้นทำให้ไทยถูกใช้เป็นพื้นที่ทำงานอย่างต่อเนื่องและการช่วยเหลือผู้ได้รับ
ผลกระทบยังดำเนินการได้อย่างล่าช้า รวมถึงสถานการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี
ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคและเครือข่าย 360 องค์กรจาก 59 จังหวัด เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งกำหนด
มาตรการเชิงรุก ประกอบด้วย
1. จัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์ โดยการให้แพลตฟอร์ม ธนาคาร และ
โอเปอเรเตอร์ร่วมสมทบ เพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที
2. บังคับให้แพลตฟอร์มต่างประเทศแต่งตั้งตัวแทนในไทยตาม กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
เพื่อให้การร้องเรียนและการกำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคลทำได้จริง
3. บังคับใช้ระบบลงทะเบียนโฆษณาและร้านค้าออนไลน์อย่างเข้มงวด เพื่อช่วยลดการหลอกขาย
สินค้าและบริการบนแพลตฟอร์ม
4. ออกประกาศเกณฑ์บริหารจัดการภัยทุจริตดิจิทัลภายใน 30 วัน เพื่อให้ธนาคารมีมาตรการรับมือ
ธุรกรรมที่น่าสงสัยได้อย่างทันท่วงที
5. สนับสนุนงบประมาณสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัลแก่ประชาชนทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มความรู้เท่าทันภัยออนไลน์
6. จัดทำระบบตรวจสอบ “เบอร์และบัญชีม้า” ฟรีสำหรับประชาชน เปิดให้ตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์
และออกประกาศใหม่ของ กสทช. ภายใน 30 วัน
ไทยถูกหลอกเสียหายวันละ 77 ล้านบาทจากสแกมเมอร์
ในช่วงที่ผ่านมา ศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานถึง
ความรุนแรงของสถานการณ์อาชญากรรมออนไลน์ในประเทศไทย โดยมีสถิติการรับแจ้งความสะสม
ในช่วง 3 ปี 7 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2568) สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ
โดยมีการแจ้งความคดีออนไลน์สูงถึง 1,058,056 คดี สร้างมูลค่าความเสียหายรวม คิดเป็นเงินทั้งสิ้น
กว่า 1 แสนล้านบาท หรือความเสียหายเฉลี่ยต่อวัน ยอดเฉลี่ยความเสียหายต่อวันสูงถึง 77 ล้านบาท
ทางด้านภัยออนไลน์ที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและมีการแจ้งความมากที่สุด 3 อันดับแรก โดยอันดับ แรกคือ
หลอกลวงซื้อขายสินค้าและบริการ จำนวนคดีมากที่สุดที่ 482,784 คดี คิดเป็นสัดส่วน 45.63% ของคดีทั้งหมด
อันดับสองหลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานจำนวน 185,853 คดี คิดเป็นสัดส่วน 17.57% และอันดับสาม
หลอกให้กู้เงิน จำนวน 95,305 คดี คิดเป็นสัดส่วน 9.01%
สำหรับประเทศไทยที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก แสดงถึงการเป็นเครือข่ายข้ามชาติที่ทำงานเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน
และประเทศไทยถูกเลือกเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ
ทั้งนี้จากทั้งหมดประเทศไทยจึงกลายเป็นพื้นที่สำคัญของเครือข่ายสแกมเมอร์ เนื่องจากช่องว่างด้านกฎหมาย
โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ความซับซ้อนของทุนสีเทาข้ามชาติ และการย้ายฐานของอาชญากรจากประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งหมดจึงไม่ใช่ปัญหารายบุคคล แต่เป็นภัยความมั่นคงของประเทศที่ต้องเร่งแก้ทั้งระบบ
https://www.tcc.or.th/thailand-become-base-scammers-existing-laws-failing-to-suppress-them/
ไทยเป็นศูนย์กลางฟอกเงินโลก? .. ล้างเงินเลือดผ่านหุ้น กองทุน และทองคำ
เงินเปื้อนเลือดจากขบวนการสแกมเมอร์ระดับโลก กำลังถูกฟอกให้สะอาดในประเทศไทย
ตั้งแต่ร้านอาหารปลอมๆ ยันบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ไปจนถึงตลาดหุ้น กองทุน
และแม้แต่ทองคำ ทุกอย่างกำลังกลายเป็นเครื่องซักเงินขนาดใหญ่ของเครือข่ายอาชญากร
กัมพูชาเป็นประเทศที่มีเครือข่ายสแกมเมอร์มากกว่า 60 แห่ง ที่มูลค่าความเสียหายต่อชีวิตและ
ทรัพย์สินของผู้คนทั่วโลกรวมแล้วมากถึงหลักล้านล้านบาท และตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขา
กำลังเอาเงินเปื้อนเลือดและน้ำตาของเหยื่อจำนวนมาก มาฟอกให้สะอาดในประเทศไทย
แก๊งหลอกลวงจะต้องฟอกเงินด้วยวิธีต่างๆ แต่คำถามคือทำไมพวกเขาถึงเข้ามายังระบบตลาดหุ้น
และกองทุนไทยได้อย่างง่ายดาย และจริงหรือไม่ที่ตอนนี้เรากำลังกลายเป็นศูนย์กลางการอำนวย
ความสะดวกต่อการฟอกเงินระดับโลก? สำรวจความฉ้อฉลและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเราทุกคน
ได้ในรายการ KEY MESSAGES
เรื่อง: ตรีนุช อิงคุทานนท์
ตัดต่อ: ธนวัฒน์ กางกรณ์
00:00 เริ่มรายการ
00:48 ล้างเงินเลือด ให้กลายเป็นเงินสะอาด
05:53 มหากาพย์ฟอกเงินผ่านตลาดหุ้นและกองทุนไทย
14:36 ไทยกำลังเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินโลก?
ไทยถูกใช้เป็นฐานสแกมเมอร์ข้ามชาติหลายประเทศ กฎหมายยังปิดจุดอ่อนไม่ได้
สภาผู้บริโภคเตือนรัฐเร่งยกระดับกฎหมาย
ประเทศไทยกำลังเผชิญอาชญากรรมไซเบอร์ครั้งใหญ่ จากการที่มีกลุ่มสแกมเมอร์ระดับโลกต่างใช้ไทย
เป็นฐานปฏิบัติการและแหล่งกบดาน หรือการใช้เป็นฐานฟอกเงิน โดยความเสียหายไม่เพียงเกิดกับคนไทย
แต่กระทบผู้บริโภคทั่วโลก
น่าห่วงเมื่อไทยกลายเป็นฐานสแกมเมอร์
ประเทศไทยกำลังเผชิญการขยายตัวของอาชญากรรมไซเบอร์อยู่ในระดับที่น่ากังวลอย่างมาก
และสแกมเมอร์ได้ยกระดับสู่อุตสาหกรรมแล้ว รวมถึงยังมีเครือข่ายสแกมเมอร์และทุนสีเทาจาก
หลายประเทศเลือกใช้ไทยเป็นทั้ง จุดปฏิบัติการ แหล่งซ่อนตัว และพื้นที่หมุนเวียนเงินผิดกฎหมาย
ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เพียงกระทบผู้บริโภคในประเทศ แต่เชื่อมโยงกับอาชญากรรมไซเบอร์
ข้ามพรมแดนที่สร้างความเสียหายไปทั่วโลก
ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทย ได้ตรวจพบสแกมเมอร์จากหลายสัญชาติ
เช่น จีน กัมพูชา เกาหลีใต้ เมียนมา และไต้หวัน ที่เข้ามาตัวในไทย ล่าสุดมีการจับกุมเครือข่าย
คอลเซ็นเตอร์ชาวเกาหลีใต้และจีนรวม 17 คน ซึ่งหลอกให้เหยื่อร่วมลงทุนในแชร์ลูกโซ่ภายใต้
ชื่อรีสอร์ตชื่อดัง และโทรข่มขู่โดยปลอมตัวเป็นอัยการและเจ้าหน้าที่ธนาคารเกาหลีใต้ ความเสียหาย
เฉพาะคดีนี้สูงกว่า 500 ล้านบาททั้งหมดสะท้อนว่าประเทศไทยยังถูกใช้เป็นจุดเชื่อมต่อเครือข่ายหลอกลวงระดับภูมิภาค
ทุนจีนเทา ราชาสแกมเมอร์ เครือข่ายระดับภูมิภาคที่โยงหลายประเทศ
รายงานสืบสวนฉายภาพเครือข่ายทุนจีนเทา หรือที่สื่อบางแห่งเรียกว่า “ราชาสแกมเมอร์”
ซึ่งเชื่อมโยงกับ เฉิน จื้อ (Chen Zhi) จาก ปริ๊นซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป องค์กรที่มีความเกี่ยวพันทางธุรกิจ
ในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น กัมพูชา ไทย และอังกฤษ
ขณะเดียวกันหน่วยงานต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ได้เริ่มดำเนินการตรวจเส้นทาง
การเงินและยึดทรัพย์เครือข่ายที่เกี่ยวข้อง โดยประเมินว่าความเสียหายจากการฉ้อโกงออนไลน์ที่เชื่อมโยง
กับกลุ่มนี้สูงถึง 16.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับประเทศไทยมีการตรวจสอบพบว่า เครือข่ายยังขยายการลงทุนผ่านบริษัทอสังหาริมทรัพย์และเทคโนโลยี
รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนผิดปกติ จึงเกิดความกังวลว่าประเทศไทยอาจถูกใช้เป็น สถานที่ฟอกเงินและ
ศูนย์เชื่อมกิจกรรมทางอาชญากรรม ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เหตุผลที่ไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางของขบวนการสแกมเมอร์
1. มิจฉาชีพต่างชาติแห่เข้าไทยหลังประเทศเพื่อนบ้านเข้มงวดปราบปราม
จากกรณีที่ประเทศจีนและเมียนมาเร่งกวาดล้างคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ชโวก๊กโก และเมียวดี
กลุ่มอาชญากรจำนวนมากหลบหนีเข้ามาในไทยเพื่อใช้เป็นพื้นที่พักตัว เขตหลบเลี่ยงการจับกุม
หรือฐานชั่วคราวก่อนย้ายต่อ รวมถึงการมีแนวพรมแดนไทยที่กว้างและตรวจสอบได้ยาก ทำให้เป็น
ช่องทางที่เครือข่ายผิดกฎหมายใช้ลักลอบเข้าเมืองได้ง่าย
2. ไทยถูกใช้เป็น “สำนักงานใหญ่” แอบแฝงของคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ
จากการบุกค้นหลายจุด พบว่ากลุ่มอาชญากรไม่ได้เพียงเข้ามาหลบซ่อน แต่ตั้ง สำนักงานทำงานจริง
ในไทย ตัวอย่างเช่น คอนโดมิเนียมระดับหรูในพัทยา และห้องชุดในย่านพระราม 3 ลุมพินี โดยภายในมี
อุปกรณ์ครบชุด เช่น เซิร์ฟเวอร์, อินเทอร์เน็ตเฉพาะกิจ, โทรศัพท์ VoIP, สคริปต์หลอกเหยื่อ และบัญชีม้า
ทั้งหมดชี้ว่าประเทศไทยถูกรับเลือกให้เป็น ศูนย์ควบคุมการหลอกลวงออนไลน์ระดับนานาชาติ
3. จุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน กลับเป็นช่องโหว่ที่สำคัญ
ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เสถียรภาพ การมีระบบพลังงานไฟฟ้า
ต่อเนื่อง การมีศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์คุณภาพสูง รวมถึงการตัดสินใจเช่าที่พักและเปิดสำนักงานในประเทศทำได้ง่าย
โดยปัจจัยเหล่านี้ทำให้มิจฉาชีพบางส่วนตัดสินใจเข้ามาตั้งระบบควบคุม ประสานงาน และฟอกเงินผ่านธุรกรรมดิจิทัล
4. มีข้อกล่าวหาความพยายามแทรกแซงโครงสร้างการเงินดิจิทัลไทย
ทั้งนี้มีเอกสารที่ระบุว่าทุนสีเทาบางส่วนอาจพยายามเข้าถึงข้อมูลหรือมีบทบาทในการกำหนดทิศทาง
กฎหมายการเงินดิจิทัล การเข้าไปลงทุนในธุรกิจสำคัญเพื่อแทรกซึมโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ
โดยเป็นข้อกล่าวหา แต่สะท้อนความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ไทยต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
กฎหมายไทยมีช่องโหว่ รับมือได้ไม่ทันท่วงที
ทั้งนี้ จากช่องโหว่ที่เกิดขึ้นทำให้ไทยถูกใช้เป็นพื้นที่ทำงานอย่างต่อเนื่องและการช่วยเหลือผู้ได้รับ
ผลกระทบยังดำเนินการได้อย่างล่าช้า รวมถึงสถานการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี
ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคและเครือข่าย 360 องค์กรจาก 59 จังหวัด เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งกำหนด
มาตรการเชิงรุก ประกอบด้วย
1. จัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์ โดยการให้แพลตฟอร์ม ธนาคาร และ
โอเปอเรเตอร์ร่วมสมทบ เพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที
2. บังคับให้แพลตฟอร์มต่างประเทศแต่งตั้งตัวแทนในไทยตาม กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
เพื่อให้การร้องเรียนและการกำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคลทำได้จริง
3. บังคับใช้ระบบลงทะเบียนโฆษณาและร้านค้าออนไลน์อย่างเข้มงวด เพื่อช่วยลดการหลอกขาย
สินค้าและบริการบนแพลตฟอร์ม
4. ออกประกาศเกณฑ์บริหารจัดการภัยทุจริตดิจิทัลภายใน 30 วัน เพื่อให้ธนาคารมีมาตรการรับมือ
ธุรกรรมที่น่าสงสัยได้อย่างทันท่วงที
5. สนับสนุนงบประมาณสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัลแก่ประชาชนทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มความรู้เท่าทันภัยออนไลน์
6. จัดทำระบบตรวจสอบ “เบอร์และบัญชีม้า” ฟรีสำหรับประชาชน เปิดให้ตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์
และออกประกาศใหม่ของ กสทช. ภายใน 30 วัน
ไทยถูกหลอกเสียหายวันละ 77 ล้านบาทจากสแกมเมอร์
ในช่วงที่ผ่านมา ศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานถึง
ความรุนแรงของสถานการณ์อาชญากรรมออนไลน์ในประเทศไทย โดยมีสถิติการรับแจ้งความสะสม
ในช่วง 3 ปี 7 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2568) สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ
โดยมีการแจ้งความคดีออนไลน์สูงถึง 1,058,056 คดี สร้างมูลค่าความเสียหายรวม คิดเป็นเงินทั้งสิ้น
กว่า 1 แสนล้านบาท หรือความเสียหายเฉลี่ยต่อวัน ยอดเฉลี่ยความเสียหายต่อวันสูงถึง 77 ล้านบาท
ทางด้านภัยออนไลน์ที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและมีการแจ้งความมากที่สุด 3 อันดับแรก โดยอันดับ แรกคือ
หลอกลวงซื้อขายสินค้าและบริการ จำนวนคดีมากที่สุดที่ 482,784 คดี คิดเป็นสัดส่วน 45.63% ของคดีทั้งหมด
อันดับสองหลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานจำนวน 185,853 คดี คิดเป็นสัดส่วน 17.57% และอันดับสาม
หลอกให้กู้เงิน จำนวน 95,305 คดี คิดเป็นสัดส่วน 9.01%
สำหรับประเทศไทยที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก แสดงถึงการเป็นเครือข่ายข้ามชาติที่ทำงานเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน
และประเทศไทยถูกเลือกเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ
ทั้งนี้จากทั้งหมดประเทศไทยจึงกลายเป็นพื้นที่สำคัญของเครือข่ายสแกมเมอร์ เนื่องจากช่องว่างด้านกฎหมาย
โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ความซับซ้อนของทุนสีเทาข้ามชาติ และการย้ายฐานของอาชญากรจากประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งหมดจึงไม่ใช่ปัญหารายบุคคล แต่เป็นภัยความมั่นคงของประเทศที่ต้องเร่งแก้ทั้งระบบ
https://www.tcc.or.th/thailand-become-base-scammers-existing-laws-failing-to-suppress-them/