เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง กสิกรไทยคาดสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.40-32.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ จับตา 6 ปัจจัยสำคัญในสัปดาห์หน้า
ผลการประชุมกนง. (17 ธ.ค.) ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ปัจจัยการเมืองในประเทศ รวมถึงสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่งที่ 31.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดต่อเนื่องในปี 2569
เงินบาทแข็งค่าผ่านระดับ 31.60 บาทไปแตะระดับแข็งค่าสุดในกรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง (นับตั้งแต่ 22 มิ.ย. 2564) ที่ 31.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ สอดคล้องกับทิศทางแข็งค่าของสกุลเงินเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขาย หลังท่าทีจากประธานเฟดสะท้อนความกังวลต่อสัญญาณอ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งกระตุ้นให้ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในปี 2569 ต่อเนื่องจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาที่กรอบ 3.50-3.75% ในการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 9-10 ธ.ค. ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยบวกจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกในระหว่างสัปดาห์ด้วยเช่นกัน
ในวันศุกร์ที่ 12 ธ.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 31.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.04 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันพฤหัสบดีก่อนหน้า (4 ธ.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 8-12 ธ.ค. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 233 ล้านบาท และสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 9,876 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตร 346 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 10,222 ล้านบาท)
เงินบาท:กรอบสัปดาห์นี้
สำหรับสัปดาห์ระหว่างวันที่ 15-19 ธ.ค. 2568
ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 31.40-32.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. (17 ธ.ค.) ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ปัจจัยการเมืองในประเทศ รวมถึงสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนต.ค. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ดัชนีราคาผู้บริโภค ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย. ดัชนี PMI และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นสำหรับเดือนธ.ค. รวมถึงตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม BOE (18 ธ.ค.), ECB (18 ธค), และ BOJ (18-19 ธ.ค.) ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย. ของยูโรโซน และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและอัตราการว่างงาน
ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวอิงขาลงจากความกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่ ต่างชาติกลับมาขายสุทธิหุ้นไทยอีกครั้งช่วงท้ายสัปดาห์
SET Index ปรับตัวลงช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้เกิดแรงขายทำกำไรออกมา นำโดย หุ้นกลุ่มแบงก์และหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่ง ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้ในเวลาต่อมาก่อนวันหยุดของตลาดในประเทศ โดยมีแรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นบริษัทผู้ประกอบธุรกิจท่าอากาศยานก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงอีกครั้งสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค หลังทราบผลการประชุมเฟด โดยแม้เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายตามคาด แต่ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบถัดไป นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมการออมระยะยาว (TISA) ของกระทรวงการคลังก็ยังไม่มีข้อสรุป
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบช่วงท้ายสัปดาห์ โดยแม้จะมีแรงหนุนจากตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับขึ้นโดยภาพรวม แต่ข่าวการประกาศยุบสภารวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังไม่คลี่คลายก็ส่งผลให้นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุน
ในวันศุกร์ที่ 12 ธ.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,254.10 จุด ลดลง 1.54% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 32,233.71 ล้านบาท ลดลง 10.33% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 2.10% มาปิดที่ระดับ 211.65 จุด
สำหรับสัปดาห์ (15-19 ธ.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า
ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,245 และ 1,230 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,285 และ 1,305 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (17 ธ.ค.) ประเด็นการเมืองในประเทศ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนต.ค. ยอดขายบ้านมือสอง ดัชนีราคาผู้บริโภค ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนพ.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ การประชุม ECB, BOE และ BOJ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนธ.ค. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย. ของยูโรโซน ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
ชี้ปัจจัยกดดันราคาทองคำ
ทางด้านฮั่วเซ่งเฮง วิเคราะห์ราคาทองคำเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ว่า ทองโลกได้ทยอยปรับตัวขึ้น จากการที่ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) มีแนวโน้มยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 98.35 หน่วย หลังจากปรับตัวลงมาได้ 2 วันติดต่อกัน โดยมีระดับสูงสุดที่ 99.21 หน่วย ในขณะที่ วุฒิสภาสหรัฐฯ ไม่สามารถผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพ (Obamacare) ที่พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันต่างเสนอกันคนละฉบับ ซึ่งจะหมดอายุลงในสิ้นปีนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้ชาวอเมริกันกว่า 24 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มีถึง 22 ล้านคนต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้น ซึ่งหากเหตุการณ์ดังกล่าวยังคงยืดเยื้อต่อไป อาจส่งผลให้ภาวะชัตดาวน์สหรัฐฯ เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่งบประมาณชั่วคราวที่เพิ่งผ่านเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2025 กำลังจะหมดลงในวันที่ 30 ม.ค. 2026
อย่างไรก็ตาม บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ได้กลับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 4.16% จากระดับต่ำสุดที่ 4.10% โดยยังคงสืบเนื่องมาจากถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดในวันพุธที่ผ่านมา ที่ได้แสดงความเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 3.5-3.75% คือระดับที่เหมาะสมแล้ว ในขณะที่กรรมการเฟดทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงเกินไป และเฟดต้องการให้เงินเฟ้อปรับตัวลดลง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันทองคำให้ปรับตัวลงได้เช่นกัน
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1936596
เงินบาทแข็งค่าสุดรอบ 4 เดือนครึ่ง จับตาสัปดาห์หน้า 6 ปัจจัยสำคัญ หุ้น-ประชุมกนง
ผลการประชุมกนง. (17 ธ.ค.) ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ปัจจัยการเมืองในประเทศ รวมถึงสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่งที่ 31.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดต่อเนื่องในปี 2569
เงินบาทแข็งค่าผ่านระดับ 31.60 บาทไปแตะระดับแข็งค่าสุดในกรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง (นับตั้งแต่ 22 มิ.ย. 2564) ที่ 31.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ สอดคล้องกับทิศทางแข็งค่าของสกุลเงินเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขาย หลังท่าทีจากประธานเฟดสะท้อนความกังวลต่อสัญญาณอ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งกระตุ้นให้ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในปี 2569 ต่อเนื่องจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาที่กรอบ 3.50-3.75% ในการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 9-10 ธ.ค. ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยบวกจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกในระหว่างสัปดาห์ด้วยเช่นกัน
ในวันศุกร์ที่ 12 ธ.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 31.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.04 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันพฤหัสบดีก่อนหน้า (4 ธ.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 8-12 ธ.ค. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 233 ล้านบาท และสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 9,876 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตร 346 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 10,222 ล้านบาท)
เงินบาท:กรอบสัปดาห์นี้
สำหรับสัปดาห์ระหว่างวันที่ 15-19 ธ.ค. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 31.40-32.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. (17 ธ.ค.) ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ปัจจัยการเมืองในประเทศ รวมถึงสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนต.ค. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ดัชนีราคาผู้บริโภค ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย. ดัชนี PMI และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นสำหรับเดือนธ.ค. รวมถึงตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม BOE (18 ธ.ค.), ECB (18 ธค), และ BOJ (18-19 ธ.ค.) ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย. ของยูโรโซน และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและอัตราการว่างงาน
ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวอิงขาลงจากความกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่ ต่างชาติกลับมาขายสุทธิหุ้นไทยอีกครั้งช่วงท้ายสัปดาห์
SET Index ปรับตัวลงช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้เกิดแรงขายทำกำไรออกมา นำโดย หุ้นกลุ่มแบงก์และหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่ง ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้ในเวลาต่อมาก่อนวันหยุดของตลาดในประเทศ โดยมีแรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นบริษัทผู้ประกอบธุรกิจท่าอากาศยานก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงอีกครั้งสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค หลังทราบผลการประชุมเฟด โดยแม้เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายตามคาด แต่ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบถัดไป นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมการออมระยะยาว (TISA) ของกระทรวงการคลังก็ยังไม่มีข้อสรุป
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบช่วงท้ายสัปดาห์ โดยแม้จะมีแรงหนุนจากตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับขึ้นโดยภาพรวม แต่ข่าวการประกาศยุบสภารวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังไม่คลี่คลายก็ส่งผลให้นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุน
ในวันศุกร์ที่ 12 ธ.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,254.10 จุด ลดลง 1.54% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 32,233.71 ล้านบาท ลดลง 10.33% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 2.10% มาปิดที่ระดับ 211.65 จุด
สำหรับสัปดาห์ (15-19 ธ.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,245 และ 1,230 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,285 และ 1,305 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (17 ธ.ค.) ประเด็นการเมืองในประเทศ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนต.ค. ยอดขายบ้านมือสอง ดัชนีราคาผู้บริโภค ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนพ.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ การประชุม ECB, BOE และ BOJ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนธ.ค. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย. ของยูโรโซน ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
ชี้ปัจจัยกดดันราคาทองคำ
ทางด้านฮั่วเซ่งเฮง วิเคราะห์ราคาทองคำเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ว่า ทองโลกได้ทยอยปรับตัวขึ้น จากการที่ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) มีแนวโน้มยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 98.35 หน่วย หลังจากปรับตัวลงมาได้ 2 วันติดต่อกัน โดยมีระดับสูงสุดที่ 99.21 หน่วย ในขณะที่ วุฒิสภาสหรัฐฯ ไม่สามารถผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพ (Obamacare) ที่พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันต่างเสนอกันคนละฉบับ ซึ่งจะหมดอายุลงในสิ้นปีนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้ชาวอเมริกันกว่า 24 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มีถึง 22 ล้านคนต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้น ซึ่งหากเหตุการณ์ดังกล่าวยังคงยืดเยื้อต่อไป อาจส่งผลให้ภาวะชัตดาวน์สหรัฐฯ เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่งบประมาณชั่วคราวที่เพิ่งผ่านเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2025 กำลังจะหมดลงในวันที่ 30 ม.ค. 2026
อย่างไรก็ตาม บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ได้กลับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 4.16% จากระดับต่ำสุดที่ 4.10% โดยยังคงสืบเนื่องมาจากถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดในวันพุธที่ผ่านมา ที่ได้แสดงความเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 3.5-3.75% คือระดับที่เหมาะสมแล้ว ในขณะที่กรรมการเฟดทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงเกินไป และเฟดต้องการให้เงินเฟ้อปรับตัวลดลง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันทองคำให้ปรับตัวลงได้เช่นกัน
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1936596