มาสรุปเรื่องค่ำที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ "กราดยิง" ที่สะเทือนขวัญที่สุดในออสเตรเลียนับตั้งแต่เหตุการณ์ Port Arthur ตอนปี 1996
ผม(คนเล่า ไม่ใช่จขกท.)ที่โตออสเตรเลียตั้งแต่อายุ 12 เห็นว่าครั้งนี้แหล่ะ คือครั้งที่อุกอาจและโหดที่สุดที่ออสเตรเลียเคยเจอ จะเล่าให้ฟังพร้อม background ของออสเตรเลียไปด้วย อยากให้ทุกคนเข้าใจประเทศนี้จากมุมมองของ Local มากขึ้น
1- คนร้ายสองคน ใส่ชุดดำพร้อมถือปืน Shotgun กับ Rifle
เดินเข้าไปในย่าน Bondi Beach ชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในออสเตรเลีย (อ่านว่าบอนไดนะครับ) ช่วงประมาณ 6 โมงครึ่ง วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม
บังเอิญหรือไม่ ยืนยันไม่ได้ แต่ตอนนั้นมีงาน Chanukah by the Sea จัดอยู่ด้วย
2- เทศกาล Chanukah by the Sea คืออะไร?
Chanukah หรือสะกด/ออกเสียงอีกอย่างคือ Hanukkah คืองานเทศกาลแห่งแสงไฟประจำปีของชาวยิว
งานนี้จัดทุกปีอยู่แล้ว อาจจะมีเปลี่ยนสถานที่บ้าง และปีนี้ก็มาจัดที่ Bondi เพราะช่วงนี้พระอาทิตย์ตกช้า ฟ้ามืดเต็มที่ก็เกือบสองทุ่มครึ่ง
อธิบายให้เข้าใจง่ายคือ ก็เป็นเหมือนกับงานรื่นเริง งานวัดบ้านเราน่ะแหล่ะ มีจุดเทียน ซุ้มอาหาร ร้องเพลง พร้อมกับเปิดให้คนทั่วไปมาจอยกัน จะเป็นยิวหรือไม่เป็นก็มาได้
3- ไม่พูดพร่ำทำเพลง คนร้าย 1 คนยืนประจำการอยู่บนสะพานสาดกระสุนจากปืน Shotgun ใส่ฝูงคนข้างล่างโดยไม่เลือกเป้าหมาย เห็นอะไรขยับคือยิง
ส่วนอีกคนที่ถือไรเฟิลก็ยืนข้าง ๆ มีเดินลงมาที่ตีนสะพานบ้าง โดยทำเหมือนกันคือ เจอใครหน้าไหนไม่สน ยิงร่วงหมด
4- จากนี้ผมจะเล่าเหตุการณ์โดยคำบอกเล่าพยานมาเรียบเรียงให้อ่านนะครับ
หลายคนเล่าว่าได้ยินเสียง ปัง ปัง ปัง ไม่ได้รัวแบบปืนกล แต่เป็นจังหวะเว้นแล้วดัง เว้นแล้วดัง เลยไม่ได้คิดว่าเป็นเสียงปืน
เอาจริง ๆ ออสเตรเลียเข้มเรื่องปืนมากตั้งแต่เกิดเรื่องที่ Port Arthur ปี 1996 คนเลยไม่ได้คิดว่าเสียงปังคือเสียงปืน คิดว่าเป็นเสียงพลุมากกว่า บวกกับความแออัดและเสียงจอแจของรอบข้างด้วย
ด้วยข้อมูลในหัวของประชากรที่นี่ ไม่มีใครจะคิดออกได้เลยว่ามันคือเสียงปืน
จนมีคนเห็นคนข้าง ๆ ถูกยิงร่วงล้มต่อหน้าต่อตา
หลังจากนั้นคือความโกลาหลสุดขีด ทั้งเสียงกรี๊ด เสียงร้องไห้ เสียงปืน คนในงานอีกหลายคนเองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีอะไรยิงมาจากทิศทางไหน ก็วิ่งหนีให้ไกลจากเสียงไว้ก่อน บางคนก็หลบใต้โต๊ะ หลังต้นไม้
พยานคนนึงบอกว่าสิ่งที่เห็นคือผู้ก่อเหตุ Mowed down the crowd แปลว่าสาดกระสุนใส่คนเหมือนตัดหญ้า มันโหดเหี้ยมมาก ยิง รีโหลด ยิง รีโหลด ซ้ำ ๆ
5- ฮีโร่เสื้อขาว
ผ่านไปประมาณ 10 นาที หลังจากที่ทุกคนรู้แน่แล้วว่านี่คือการกราดยิงแน่ คนส่วนใหญ่ก็วิ่งกันจ้าละหวั่น แต่มีผู้ชายเสื้อขาวคนหนึ่งหลบอยู่หลังรถ รอจังหวะที่คนร้ายอีกคนเดินลงมาตรงตีนสะพาน แล้วพุ่งกระโจนใส่จากข้าง ๆ จนแย่งปืนมาได้
ถึงจะแย่งปืนมาได้และผลักมือปืนจนล้มลงไปกับพื้นหญ้า แต่เขาก็ไม่ยิง ยกปืนขู่ไว้เฉย ๆ และทุกคนที่เห็นคลิปรวมถึงนักกฎหมายที่ออกมาวิเคราะห์สถานการณ์ก็บอกว่าถูกแล้วที่ไม่ยิงสวนไป
คนร้ายบนสะพานเห็นเพื่อนเสียท่า เลยยิงลงมาสมทบ ในคลิปเต็ม จะเห็นว่าฮีโร่เสื้อขาวคนนี้พยายามหลบหลังต้นไม้และจะวิ่งหนี แต่ก็ไม่รอด โดนยิงล้มไป
ภายหลังทราบว่าโดนยิงที่มือและแขน ไม่ถึงชีวิต อันนี้ญาติให้สัมภาษณ์หน้าโรงพยาบาลอีกที
ยอมรับความใจกล้าของไอ้หมอนี่มาก ถ้าเป็นผมคงวิ่งหูดับตับไหม้ไปแล้ว
6- ตำรวจเข้าปะทะหลังจากยิงนัดแรกไปได้ประมาณสิบนาที
เหตุการณ์จบลงตรงที่คนร้าย 1 คนโดนวิสามัญ และอีกคนโดนยิงอาการสาหัส ข่าวบอกว่าตำรวจส่งรายนี้เข้าโรงพยาบาลเพราะอยากรู้ว่าแรงจูงใจคืออะไร
ตำรวจได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 รายและถูกส่งไปผ่าตัด
ประชาชนเสียชีวิต 11 คน บาดเจ็บ 29 คน (รวมตำรวจไปสองคน)
7- ผมคิดว่านี่คือการกราดยิงที่อุกอาจที่สุด เพราะนี่มัน Bondi Beach สถานที่ที่ติด Top 5 ของประเทศ
ให้คิดสภาพว่ามีคนมากราดยิงที่ Icon Siam บ้านเรา คือมันระดับนั้นจริง ๆ คนที่ Bondi Beach เยอะกว่าคนเดินห้างในออสเตรเลียนะครับ
และประเด็นที่สำคัญมากที่สุดคือ มีการสงสัยว่าคนร้ายเลือกก่อเหตุในงานรวมตัวชาวยิวหรือไม่
เพราะประเด็น Antisemitic หรือ "เหยียดยิว" กำลังอ่อนไหวอยู่มากหลังจากที่มีการประท้วง Palestine / Israel
มีการพ่นสี ใส่ร้าย หรือตะโกนด่าชาวยิวในออสเตรเลียเยอะขึ้น และทุกครั้งที่ฝั่ง Pro Palestine ออกประท้วง ก็แทบจะปิดเมืองไม่ต้องทำมาหากินกันเลย คนมาร่วมประท้วงเรียกร้องให้ Palestine เยอะมาก
ทุกคน รวมถึงตำรวจด้วย เลยตั้งข้อสงสัยว่า คนร้ายอาจจะมี Influence มาจากสถานการณ์นี้ เลยเลือกมาก่อเหตุกราดยิงในงานยิวที่มีคน Israel มาร่วมเยอะหรือไม่
8- ความจริงแล้วความโดดเด่นของประเทศออสเตรเลีย คือการให้ความสำคัญกับ Diversity และยึดสิ่งนี้เป็นรากฐานมาโดยตลอด
ยึดเป็นรากฐานในที่นี้คือมีกฎหมายรับรองชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายมาตรา ตัวอย่างคือ ใครโดนไล่ออกเพราะนับถือคนละศาสนา ถ้าฟ้อง ก็มีโอกาสสูงมากจะชนะ ... หรือว่ากฎห้าม Discriminate หรือเลือกปฏิบัติ เช่น "ประกาศหาคนล้างจาน ขอผู้ชายเท่านั้น" อันนี้ความจริงคือผิดกฏหมาย เพราะระบุและแบ่งแยกเพศ โดยไม่คำนึงถึงความสามารถ
9- แต่เอาเข้าจริงแล้ว Diversity คือจุดเด่นหรือบ่อนทำลายกันแน่?
แม้ว่าการ 'ไม่เลือกปฏิบัติ' มันจะฟังดูสวยหรูมากก็เถอะ แต่เอาเข้าจริงแล้วจะมาบังคับใช้ในระดับรายย่อยก็ยากมาก เรายังเห็นร้านอาหารหลายร้านประกาศรับสมัครคนแบบเลือกเพศ หรือแม้กระทั่งประกาศลงโต้ง ๆ เลยว่า ไม่รับคนเชื้อชาตินี่นั่น
บังคับในระดับรายย่อยไม่ได้ แต่ในระดับสเกลใหญ่ กลับต้องทำตาม
เช่น กฎหมายให้ลาตามพิธีศาสนา (บางบริษัทให้ลาไป Pilgrimage หรือเดินทางแสวงบุญได้ ลาบวชยังได้) บริษัทที่มีพนักงานดีหน่อยก็ใช้วันลาแบบเหมาะสม แต่บางคนบางชาติก็ไม่สน ลาแหลก ลาแล้ว ลาไปก่อน แล้วบริษัทก็ไม่พอใจไม่ได้เพราะกฎหมายระบุไว้
สมัยผมเรียน High School ที่ซิดนีย์ วิชาเด็กเกเรส่งต่อกันคือ ถ้าไปสายหรือโดดเรียน ให้บอกโรงเรียนว่า Family Matter หรือไม่ก็ Religious Matter แล้วโรงเรียนก็จะไม่มีสิทธิ์ถามหรือห้ามเลย เพราะถ้าตั้งคำถามเยอะ มันจะยุ่งยาก
10- ความตึงเครียดของการแสดงออกทางการเมือง จึงไม่เคยโดนห้ามปราม
แล้วประเทศที่มีคนทุกชาติ ทุกสายพันธ์มาอยู่ด้วยกัน กำแพงกั้นมันเลยบางมาก เพราะแค่เดินออกไป คุณก็มีสิทธิ์เจอคนที่คุณรู้สึกเกลียดชังเพราะสถานการณ์ระหว่างประเทศได้ เจอบนรถไฟ เจอบนถนน เจอในที่จอดรถ เจอในฐานะลูกค้า เจอในฐานะพนักงาน
คนบางกลุ่มก็เลือกจะออกมาประท้วงเพิ่มขึ้นอีก เช่น Anti Migration Protest ที่เพิ่งเป็นประเด็นไปไม่กี่อาทิตย์ก่อน แต่คนบางกลุ่ม ... ก็อาจจะไม่เลือกทางที่สันติ
บางคนก็พ่นกำแพง ด่าทอ หรือทำร้ายร่างกาย
11- แล้วใครกันจะกล้าบอกว่าการกราดยิงครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติ
ต่อให้ไม่พูด แต่คนในออสเตรเลียทุกคนก็คิด ว่านี่มันเล็งมาที่งาน Chanukah โดยตรงแต่เราก็สรุปไม่ได้จนกว่าตำรวจจะได้สอบปากคำบ่างัวนั่นที่นอนพะงาบ ๆ อยู่ในโรงพยาบาล
ไม่ว่าแรงจูงใจจะเป็นอะไร สิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยในออสเตรเลียคือการยิงสาดใส่ฝูงชนแบบไม่เลือกหน้าแบบนี้
12- ในฐานะของคนที่อยู่ออสเตรเลียมาตั้งแต่เด็ก ผมเห็นชัดเจนเลยว่าประเทศนี้รับคนที่ "หนีมา" เข้ามาเยอะมากจริง ๆ โดยเฉพาะช่วง 5-10 ปีให้หลัง
บนถนนมีคนขับรถอันตรายมากขึ้น มีเหตุการณ์ไม่สงบเพิ่มขึ้น รอยยิ้มแบบ Aussie และการชวนคนแปลกหน้าคุย ตอนนี้หายไปจากเมืองใหญ่หมดแล้ว
13- แล้วเราจะระวังตัวยังไงได้บ้าง?
ถ้าให้พูดตามตรงเลยคือ ถ้าเป็นผมอยู่ในเหตุการณ์วันนี้ ผมก็คงระวังตัวอะไรไม่ได้เหมือนกันครับ
ออสเตรเลียเคยเป็นเมืองที่ปลอดภัยมาก ปลอดภัยในระดับที่ว่าถ้าลืมของมีค่า โทรศัพท์ คอมบนรถไฟ ก็ยังตามเจอได้ เดินกลับบ้านดึก ๆ ได้ไม่ต้องระแวง ตอนอายุ 15 ผมทำงานแมคเลิกห้าทุ่ม ขึ้นรถเมล์กลับบ้านเองได้เลย ยังโตมาได้จนอายุเท่านี้
แล้วจะให้มาคิดว่าวันนี้จะไปเดินเล่นในงานจุดเทียนต้องระวังไว้เพราะคนรวมตัวกันเยอะ จะมีการยิงกัน ใครมันจะไประวังตัวได้ทัน มันไม่มีทางเลยครับ
ลองคิดภาพดูว่า เดินชมทะเล บรรยากาศดี อากาศกำลังอุ่น ลมเย็นสบาย แล้วสิ่งนี้คือสิ่งสุดท้ายที่จะได้เห็น มันน่าเศร้าขนาดไหน
ขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตจริง ๆ เหตุการณ์แบบนี้ ต่อให้มี Spider sense แบบ spiderman ก็คงไม่มีวันรู้ได้
สุดท้าย เหตุการณ์นี้น่าจะตามหลอกหลอนคนในออสเตรเลียไปได้เยอะพอสมควร เพราะขนาด Bondi Beach ยังโดนกราดยิงขนาดนี้ ตำรวจเองที่มาหลังจาก 10 นาทีก็ช้าไปมาก อาจจะเพราะไม่ได้คาดคิดว่าจะมีคนมาก่อเหตุแบบนี้ด้วย
ถ้ารัฐบาลแก้ไขเรื่องภาพลักษณ์ความปลอดภัยของเมืองที่ระส่ำระส่ายหนักขนาดนี้ไม่ได้ อนาคตก็ไม่ต้องหวังเลยว่าจะมีคนคุณภาพเข้ามาในประเทศ
ดูแลตัวเองครับทุกคน
คนร้ายสองคนพร้อมอาวุธ
ฮีโร่เสื้อขาวเข้าแย่งปืน
แย่งมาได้ ยกปืนขู่ แต่ไม่ได้ยิง
คนพยายามวิ่งหนีมาอีกทาง แล้วคนเยอะมากเลย
ญาติของฮีโร่เสื้อขาวครับ
คนบริสุทธิ์เดือดร้อนไปด้วย ; เหตุการณ์ "กราดยิงที่ชายหาดบอนได" ที่สะเทือนขวัญที่สุดในออสเตรเลีย ดับอย่างน้อย๑๒คน
ฮีโร่เสื้อขาวเข้าแย่งปืน
แย่งมาได้ ยกปืนขู่ แต่ไม่ได้ยิง
คนพยายามวิ่งหนีมาอีกทาง แล้วคนเยอะมากเลย
ญาติของฮีโร่เสื้อขาวครับ