
: เดอะ บิ๊ก เลโบลสกี (1998) - หนังเรื่องนี้มันอะไรกันวะเนี่ย? ชวนงง ชวนฮา ชวนงัวเงีย!
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip ที่ชอบดูหนังทุกท่านนะครับ วันนี้ผมจะมารีวิวหนังที่เรียกว่าเป็น "Cult Classic" ในตำนานอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ "The Big Lebowski" ของพี่น้องโคเอน (Coen Brothers) นั่นเองครับ บอกตรงๆ เลยนะครับ ตอนที่ผมดูครั้งแรกนี่คือแบบ... งงมากครับ งงจนอยากจะลุกไปหาเบียร์มาจิบแก้เซ็ง แต่พอดูจบแล้วดันรู้สึกว่า เฮ้ย! มันก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราอยากดูซ้ำอีกเนี่ยสิ!
เรื่องย่อแบบคร่าวๆ นะครับ หนังมันเกี่ยวกับ "เดอะ ดูเด" (The Dude) ที่รับบทโดยเจฟ บริดเจส ชายหนุ่มสุดเซอร์ ที่ใช้ชีวิตสบายๆ วันๆ ก็ไปเล่นโบว์ลิ่งกับเพื่อน กินเบียร์ นั่งเฉยๆ ชีวิตไม่ต้องมีอะไรมาก แต่แล้ววันหนึ่ง ชีวิตอันแสนสงบสุขของเขาก็ต้องพังทลาย เมื่อมีคนบุกเข้ามาในบ้าน คิดว่าเป็น "The Big Lebowski" เศรษฐีคนหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นแค่ "The Dude" คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเองครับ แล้วก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายตามมาอีกเพียบ ทั้งการเข้าใจผิด การโดนขู่กรรโชก การตามหาเมียเศรษฐีที่หายตัวไป ซึ่งทั้งหมดนี้มันก็พา "The Dude" ไปพัวพันกับแก๊งค์ต่างๆ ที่โคตรจะแปลก ตั้งแต่มาเฟีย นักเลงหัวไม้ นักแสดง นักธุรกิจ ไปจนถึงกลุ่มศิลปินสุดเพี้ยน
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มันพิเศษจริงๆ ก็คือ "ตัวละคร" ครับ พี่น้องโคเอนแกสร้างตัวละครออกมาได้โคตรมีเสน่ห์แบบดิบๆ เลย โดยเฉพาะ "The Dude" นี่คือที่สุดของความชิลครับ เขาเป็นเหมือนตัวแทนของคนยุคหนึ่ง ที่ไม่แคร์อะไรมากนัก ขอแค่มีเบียร์ มีโบว์ลิ่ง ชีวิตก็แฮปปี้แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาดูพิเศษคือความซื่อ (อาจจะซื่อจนเกือบจะโง่) และการที่เขาพยายามจะทำทุกอย่างให้มัน "ถูกต้อง" ตามแบบฉบับของเขาเอง ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่เข้าท่าในสายตาคนอื่นก็ตาม
อีกตัวละครที่ผมชอบมากๆ คือ "วอลเตอร์ โซบชัค" (Walter Sobchak) ที่รับบทโดยจอห์น กู๊ดแมน ครับ พี่แกนี่คือตัวแทนของความหัวร้อน ความหัวแข็ง และความยึดมั่นในอุดมการณ์ที่โคตรจะสุดโต่ง! ทุกครั้งที่วอลเตอร์ปรากฏตัวในฉาก คือรับประกันความฮา ความป่วน และความบ้าคลั่งได้เลยครับ ท่าทางการพูดจา การแสดงออกของแกมันทำให้เราอดขำไม่ได้จริงๆ แล้วก็มีฉากที่เป็นตำนานของหนังเรื่องนี้หลายฉาก ที่มาจากตัวละครวอลเตอร์นี่แหละครับ
ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็ไม่น้อยหน้าครับ ทั้ง "ดอนนี่" (Donny) เพื่อนโบว์ลิ่งของเดอะ ดูเด ที่มักจะโดนวอลเตอร์ด่าอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ หรือ "มาอู๊ด" (Maude Lebowski) ลูกสาวของเศรษฐีตัวจริง ที่มีความเป็นศิลปินสุดติสท์ และมีความคิดที่ดูจะเหนือโลกไปหน่อย หนังเรื่องนี้มันเหมือนรวมเอาตัวละครประหลาดๆ มาไว้ด้วยกัน แล้วปล่อยให้พวกเขาได้ป่วนไปตามเรื่องตามราว
พลอตเรื่องนี่คือแบบ... มันไม่มีพลอตที่ชัดเจนอะไรเลยครับ! เหมือนพี่น้องโคเอนจะปล่อยให้ตัวละครมันพาเรื่องไปเรื่อยๆ ตามสถานการณ์ที่เจอ แล้วก็มีมุกตลกเสียดสีสังคมแทรกเข้ามาเป็นระยะๆ ครับ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่กำลังเกิดขึ้นมันจะไปจบลงยังไง แล้วมันก็ไม่ได้จบแบบที่เราคาดเดาได้ด้วยสิครับ มันมีความ "เซอร์ไพรส์" ในแบบของมันเอง ซึ่งนี่แหละคือเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้เราคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
การดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกอย่างที่ต้องพูดถึงครับ มันไม่ได้เร่งรีบอะไรเลย ปล่อยให้ตัวละครได้มีเวลาได้พูด ได้คิด ได้ทำอะไรแปลกๆ ของเขาไปเรื่อยๆ บางทีเราอาจจะรู้สึกว่ามัน "ช้า" ไปบ้าง หรือ "น่าเบื่อ" ไปบ้างในช่วงแรกๆ แต่พอเราปล่อยใจให้ไหลไปกับหนัง เราจะเริ่มอินกับบรรยากาศ ความแปลก และอารมณ์ขันที่มันซ่อนอยู่ครับ แล้วพอถึงฉากสำคัญๆ หรือฉากตลกๆ มันก็จะระเบิดออกมาแบบที่เราคาดไม่ถึง
ผมชอบการใช้เพลงประกอบของหนังเรื่องนี้มากครับ มันเข้ากับบรรยากาศของหนังได้เป็นอย่างดี มีทั้งเพลงที่ฟังแล้วสบายๆ ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ไปจนถึงเพลงที่ฟังแล้วปลุกเร้าอารมณ์ ให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ที่ตัวละครเจอ แล้วก็มีเพลงของวง "Creedence Clearwater Revival" ที่เป็นเหมือนเพลงประจำตัวของเดอะ ดูเด เลยครับ
สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดใน "The Big Lebowski" ก็คือ "ปรัชญา" ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความวุ่นวายครับ แม้ว่าหนังจะดูเหมือนไม่มีสาระอะไรเลย แต่จริงๆ แล้วมันแฝงข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิต การรับมือกับปัญหา และการมองโลกในมุมที่แตกต่างครับ "The Dude" อาจจะเป็นตัวละครที่ดูเหมือนจะไร้สาระ แต่เขาก็มีวิธีจัดการกับชีวิตของตัวเองในแบบของเขา ซึ่งบางทีมันก็ทำให้เราได้คิดตามว่า เออ... บางทีการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องเครียดมาก ก็อาจจะเป็นทางออกที่ดีก็ได้นะ
แล้วก็ไอ้คำพูดติดปากของเดอะ ดูเด ที่ว่า "The Dude abides." เนี่ย คือมันกินใจจริงๆ ครับ มันเหมือนเป็นการบอกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ยังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป แล้วเราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่มันเป็น ซึ่งเป็นอะไรที่น่าคิดมากๆ ครับ
ถ้าถามผมว่าหนังเรื่องนี้เหมาะกับใครบ้าง ผมว่าเหมาะกับคนที่ชอบหนังที่ "ไม่เหมือนใคร" ครับ คนที่ชอบหนังที่มีตัวละครแปลกๆ มีบทสนทนาที่ชวนคิดตาม มีอารมณ์ขันแบบแห้งๆ เสียดสีสังคม และไม่ยึดติดกับโครงเรื่องที่ต้องมีจุดเริ่มต้น จุดจบที่ชัดเจนแบบหนังทั่วไปครับ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบอะไรที่เป็น "นอกกรอบ" ชอบอะไรที่มัน "เซอร์ไพรส์" แล้วก็ชอบอะไรที่ดูแล้วชวนให้คิดตาม "The Big Lebowski" คือหนังที่คุณต้องดูครับ
ส่วนใครที่ชอบหนังแอ็คชั่นมันส์ๆ พลอตเรื่องซับซ้อน ดราม่าเข้มข้น อาจจะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มัน "ไม่ตรงจริต" นะครับ เพราะมันเน้นไปที่ตัวละคร บรรยากาศ และอารมณ์ขันมากกว่าครับ
สรุปแล้ว "The Big Lebowski" เป็นหนังที่ผมยกให้เป็น "Masterpiece" ในแบบของมันเองครับ มันอาจจะไม่ได้ทำให้คุณหัวเราะก๊าก หรือร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่มันจะทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ให้คุณได้คิดตาม ได้ยิ้มมุมปาก และอาจจะอยากกลับมาดูซ้ำอีกหลายๆ ครั้งครับ ลองหามาดูกันนะครับ แล้วมาคุยกันว่าใครอิน ใครงงกับหนังเรื่องนี้บ้าง!
ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ!
เดอะ บิ๊ก เลโบลสกี (1998) - หนังเรื่องนี้มันอะไรกันวะเนี่ย? ชวนงง ชวนฮา ชวนงัวเงีย!
: เดอะ บิ๊ก เลโบลสกี (1998) - หนังเรื่องนี้มันอะไรกันวะเนี่ย? ชวนงง ชวนฮา ชวนงัวเงีย!
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip ที่ชอบดูหนังทุกท่านนะครับ วันนี้ผมจะมารีวิวหนังที่เรียกว่าเป็น "Cult Classic" ในตำนานอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ "The Big Lebowski" ของพี่น้องโคเอน (Coen Brothers) นั่นเองครับ บอกตรงๆ เลยนะครับ ตอนที่ผมดูครั้งแรกนี่คือแบบ... งงมากครับ งงจนอยากจะลุกไปหาเบียร์มาจิบแก้เซ็ง แต่พอดูจบแล้วดันรู้สึกว่า เฮ้ย! มันก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราอยากดูซ้ำอีกเนี่ยสิ!
เรื่องย่อแบบคร่าวๆ นะครับ หนังมันเกี่ยวกับ "เดอะ ดูเด" (The Dude) ที่รับบทโดยเจฟ บริดเจส ชายหนุ่มสุดเซอร์ ที่ใช้ชีวิตสบายๆ วันๆ ก็ไปเล่นโบว์ลิ่งกับเพื่อน กินเบียร์ นั่งเฉยๆ ชีวิตไม่ต้องมีอะไรมาก แต่แล้ววันหนึ่ง ชีวิตอันแสนสงบสุขของเขาก็ต้องพังทลาย เมื่อมีคนบุกเข้ามาในบ้าน คิดว่าเป็น "The Big Lebowski" เศรษฐีคนหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นแค่ "The Dude" คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเองครับ แล้วก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายตามมาอีกเพียบ ทั้งการเข้าใจผิด การโดนขู่กรรโชก การตามหาเมียเศรษฐีที่หายตัวไป ซึ่งทั้งหมดนี้มันก็พา "The Dude" ไปพัวพันกับแก๊งค์ต่างๆ ที่โคตรจะแปลก ตั้งแต่มาเฟีย นักเลงหัวไม้ นักแสดง นักธุรกิจ ไปจนถึงกลุ่มศิลปินสุดเพี้ยน
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มันพิเศษจริงๆ ก็คือ "ตัวละคร" ครับ พี่น้องโคเอนแกสร้างตัวละครออกมาได้โคตรมีเสน่ห์แบบดิบๆ เลย โดยเฉพาะ "The Dude" นี่คือที่สุดของความชิลครับ เขาเป็นเหมือนตัวแทนของคนยุคหนึ่ง ที่ไม่แคร์อะไรมากนัก ขอแค่มีเบียร์ มีโบว์ลิ่ง ชีวิตก็แฮปปี้แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาดูพิเศษคือความซื่อ (อาจจะซื่อจนเกือบจะโง่) และการที่เขาพยายามจะทำทุกอย่างให้มัน "ถูกต้อง" ตามแบบฉบับของเขาเอง ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่เข้าท่าในสายตาคนอื่นก็ตาม
อีกตัวละครที่ผมชอบมากๆ คือ "วอลเตอร์ โซบชัค" (Walter Sobchak) ที่รับบทโดยจอห์น กู๊ดแมน ครับ พี่แกนี่คือตัวแทนของความหัวร้อน ความหัวแข็ง และความยึดมั่นในอุดมการณ์ที่โคตรจะสุดโต่ง! ทุกครั้งที่วอลเตอร์ปรากฏตัวในฉาก คือรับประกันความฮา ความป่วน และความบ้าคลั่งได้เลยครับ ท่าทางการพูดจา การแสดงออกของแกมันทำให้เราอดขำไม่ได้จริงๆ แล้วก็มีฉากที่เป็นตำนานของหนังเรื่องนี้หลายฉาก ที่มาจากตัวละครวอลเตอร์นี่แหละครับ
ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็ไม่น้อยหน้าครับ ทั้ง "ดอนนี่" (Donny) เพื่อนโบว์ลิ่งของเดอะ ดูเด ที่มักจะโดนวอลเตอร์ด่าอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ หรือ "มาอู๊ด" (Maude Lebowski) ลูกสาวของเศรษฐีตัวจริง ที่มีความเป็นศิลปินสุดติสท์ และมีความคิดที่ดูจะเหนือโลกไปหน่อย หนังเรื่องนี้มันเหมือนรวมเอาตัวละครประหลาดๆ มาไว้ด้วยกัน แล้วปล่อยให้พวกเขาได้ป่วนไปตามเรื่องตามราว
พลอตเรื่องนี่คือแบบ... มันไม่มีพลอตที่ชัดเจนอะไรเลยครับ! เหมือนพี่น้องโคเอนจะปล่อยให้ตัวละครมันพาเรื่องไปเรื่อยๆ ตามสถานการณ์ที่เจอ แล้วก็มีมุกตลกเสียดสีสังคมแทรกเข้ามาเป็นระยะๆ ครับ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่กำลังเกิดขึ้นมันจะไปจบลงยังไง แล้วมันก็ไม่ได้จบแบบที่เราคาดเดาได้ด้วยสิครับ มันมีความ "เซอร์ไพรส์" ในแบบของมันเอง ซึ่งนี่แหละคือเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้เราคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
การดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกอย่างที่ต้องพูดถึงครับ มันไม่ได้เร่งรีบอะไรเลย ปล่อยให้ตัวละครได้มีเวลาได้พูด ได้คิด ได้ทำอะไรแปลกๆ ของเขาไปเรื่อยๆ บางทีเราอาจจะรู้สึกว่ามัน "ช้า" ไปบ้าง หรือ "น่าเบื่อ" ไปบ้างในช่วงแรกๆ แต่พอเราปล่อยใจให้ไหลไปกับหนัง เราจะเริ่มอินกับบรรยากาศ ความแปลก และอารมณ์ขันที่มันซ่อนอยู่ครับ แล้วพอถึงฉากสำคัญๆ หรือฉากตลกๆ มันก็จะระเบิดออกมาแบบที่เราคาดไม่ถึง
ผมชอบการใช้เพลงประกอบของหนังเรื่องนี้มากครับ มันเข้ากับบรรยากาศของหนังได้เป็นอย่างดี มีทั้งเพลงที่ฟังแล้วสบายๆ ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ไปจนถึงเพลงที่ฟังแล้วปลุกเร้าอารมณ์ ให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ที่ตัวละครเจอ แล้วก็มีเพลงของวง "Creedence Clearwater Revival" ที่เป็นเหมือนเพลงประจำตัวของเดอะ ดูเด เลยครับ
สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดใน "The Big Lebowski" ก็คือ "ปรัชญา" ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความวุ่นวายครับ แม้ว่าหนังจะดูเหมือนไม่มีสาระอะไรเลย แต่จริงๆ แล้วมันแฝงข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิต การรับมือกับปัญหา และการมองโลกในมุมที่แตกต่างครับ "The Dude" อาจจะเป็นตัวละครที่ดูเหมือนจะไร้สาระ แต่เขาก็มีวิธีจัดการกับชีวิตของตัวเองในแบบของเขา ซึ่งบางทีมันก็ทำให้เราได้คิดตามว่า เออ... บางทีการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องเครียดมาก ก็อาจจะเป็นทางออกที่ดีก็ได้นะ
แล้วก็ไอ้คำพูดติดปากของเดอะ ดูเด ที่ว่า "The Dude abides." เนี่ย คือมันกินใจจริงๆ ครับ มันเหมือนเป็นการบอกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ยังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป แล้วเราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่มันเป็น ซึ่งเป็นอะไรที่น่าคิดมากๆ ครับ
ถ้าถามผมว่าหนังเรื่องนี้เหมาะกับใครบ้าง ผมว่าเหมาะกับคนที่ชอบหนังที่ "ไม่เหมือนใคร" ครับ คนที่ชอบหนังที่มีตัวละครแปลกๆ มีบทสนทนาที่ชวนคิดตาม มีอารมณ์ขันแบบแห้งๆ เสียดสีสังคม และไม่ยึดติดกับโครงเรื่องที่ต้องมีจุดเริ่มต้น จุดจบที่ชัดเจนแบบหนังทั่วไปครับ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบอะไรที่เป็น "นอกกรอบ" ชอบอะไรที่มัน "เซอร์ไพรส์" แล้วก็ชอบอะไรที่ดูแล้วชวนให้คิดตาม "The Big Lebowski" คือหนังที่คุณต้องดูครับ
ส่วนใครที่ชอบหนังแอ็คชั่นมันส์ๆ พลอตเรื่องซับซ้อน ดราม่าเข้มข้น อาจจะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มัน "ไม่ตรงจริต" นะครับ เพราะมันเน้นไปที่ตัวละคร บรรยากาศ และอารมณ์ขันมากกว่าครับ
สรุปแล้ว "The Big Lebowski" เป็นหนังที่ผมยกให้เป็น "Masterpiece" ในแบบของมันเองครับ มันอาจจะไม่ได้ทำให้คุณหัวเราะก๊าก หรือร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่มันจะทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ให้คุณได้คิดตาม ได้ยิ้มมุมปาก และอาจจะอยากกลับมาดูซ้ำอีกหลายๆ ครั้งครับ ลองหามาดูกันนะครับ แล้วมาคุยกันว่าใครอิน ใครงงกับหนังเรื่องนี้บ้าง!
ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ!