สวัสดีครับ
ผมอายุ ๓๒ ปี กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ ๓๓
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมเติบโตมากับความรู้สึกว่า ศักยภาพของตนเองไม่โดดเด่น เมื่อเทียบกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นญาติ พี่น้อง หรือแม้แต่พ่อแม่
ในด้านการเรียน ผมไม่ใช่คนที่เรียนเก่ง คณิตศาสตร์ไม่ใช่จุดแข็ง ภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่ ๒ หรือ ๓ ก็ไม่ถนัด งานที่ต้องใช้แรงหรือทักษะเฉพาะทาง ผมก็ทำได้ไม่ดีนัก
สิ่งที่พอจะมีติดตัวคือ ความพยายามและความอดทน ซึ่งพูดตามตรง มันก็ไม่ได้มั่นคงตลอดเวลา มีทั้งความท้อ ความเหนื่อย และความขี้เกียจปะปนอยู่เสมอ
แต่เมื่อชีวิตต้องดำเนินอยู่ภายในโลกแห่งความจริง ผมก็ขอเลือกที่จะสู้ต่อ เพราะรู้ว่าถ้าไม่ลุกขึ้นพยายาม ชีวิตก็คงหยุดอยู่ตรงที่คำว่า "แพ้"
ผมยอมรับว่า ความสำเร็จที่ได้มาในแต่ละช่วงชีวิตนั้น ถือว่าเหมาะสมกับศักยภาพของตัวเองดีแล้ว แต่ปัญหาคือ เสียงหนึ่งภายในจิตใจมักดังขึ้นเสมอว่า
"แค่นี้ยังไม่พอหรอก ถ้าไม่มีใครชื่นชม ไม่มีใครปรบมือให้มากมาย แบบนี้จะเรียกว่าความสำเร็จได้จริงหรือ"
ความคิดลักษณะนี้ทำให้ผมเริ่มรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและเมื่อได้เห็นคนใกล้ตัวหลายคนที่ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภายในจิตใจเกิดความอิจฉา ริษยาอยู่ อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกเหล่านั้นหยุดอยู่แค่เพียงภายในจิตใจ ผมไม่ได้กล่าวร้าย ไม่ใส่ร้าย หรือทำร้ายผู้ใด เพียงแต่ต้องยอมรับตามตรงว่า ใจยังไม่นิ่งพอจะวางได้ทั้งหมด
ในช่วงหนึ่งของชีวิต ผมพยายามอย่างหนัก ทั้งวิ่งไล่ตามและพยายามวิ่งแซงคนอื่น แต่ผลที่ได้กลับเป็นความรู้สึกว่า
"ยิ่งพยายามมากเท่าใด ยิ่งเหมือนตัวเองถอยหลังไปอยู่ท้ายแถว"
จนเกิดคำถามกับตนเองว่า "หรือแท้จริงแล้ว เรากำลังวิ่งผิดทิศตั้งแต่แรก" ต่อมา ผมมีโอกาสศึกษาพระไตรปิฎกและคำสอนของครูบาอาจารย์ร่วมสมัยบางท่าน ทำให้ผมสะดุดใจกับคำ ๒ คำ ได้แก่ ฉันทะและตัณหา ทั้ง ๒ คำแปลว่า ความอยาก เหมือนกัน แต่เมื่อพิจารณาโดยลึกซึ้งแล้ว พบความแตกต่างที่สำคัญ ได้แก่ ๑ ตัณหาคือ ความอยากฝ่ายอกุศลที่มุ่งไปยังผลลัพธ์เป็นหลัก เช่น ชื่อเสียง การยอมรับ ลาภ ยศ และมักเชื่อมโยงกับอัตตา ตัวกู ของกู ๒ ฉันทะ ความอยากฝ่ายกุศล เป็นความพึงพอใจในการกระทำจากตัวงาน เน้นการทำเหตุให้ดีที่สุด มากกว่าการยึดไปที่ผลลัพธ์ เมื่อมองย้อนกลับมาที่ตนเอง ผมเริ่มเห็นชัดเจนแล้วว่า
ความทุกข์ส่วนใหญ่ของผม ไม่ได้เกิดจากการทำงาน แต่เกิดจากการคาดหวังเสียงชื่นชมจากผู้อื่น จากจุดนั้น ผมก็เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนทิศทางของความอยากภายในจิตใจ จากเดิมที่อยากให้คนชื่นชม กลายมาเป็นอยากให้ "ชิ้นงานออกมาดีที่สุดตามศักยภาพของตน" ผมเริ่มถามตัวเองว่า "วันนี้ เราทำเหตุได้ดีพอแล้วหรือยัง" มากกว่าจะถามว่า "คนอื่นจะคิดกับเราอย่างไร"
แม้การเปลี่ยนเข็มทิศนี้จะไม่ง่าย เพราะภายในจิตใจที่ยังฝึกได้ไม่เต็มที่ ย่อมที่จะมีแรงดึงกลับไปสู่อัตตาได้อยู่เสมอ แต่ประสบการณ์ที่ค่อย ๆ สั่งสม ทำให้ผมเห็นว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจทำงานเพราะรักในงานนั้นจริง ๆ โดยไม่ยึดติดกับเสียงชื่นชมเป็นสำคัญ
ผมเริ่มเชื่อมั่นว่า เราควบคุมเหตุได้ดีกว่าผล เมื่อเหตุถูกต้อง ผลย่อมเป็นไปตามเหตุ แม้ผลจะไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ก็ตาม แต่ความพอใจในความทุ่มเทของตนเอง ก็ทำให้ใจไม่ร้าวเหมือนเดิม คำสรรเสริญ นินทา ลาภ ยศ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ล้วนเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา หากยึดติดสิ่งเหล่านี้เป็นที่ตั้ง ชีวิตก็คงต้องวิ่งไล่ตามจนเหนื่อยไม่รู้จบ บางที การหยุดยืนอยู่กับที่ของตนเองแล้วทำเหตุให้ดี มีคุณภาพ อาจเป็นเส้นทางที่ยั่งยืนกว่า
*** ผมอยากชวนทุกท่านแลกเปลี่ยนว่า ในชีวิตของคุณ เคยรู้สึกว่า ความอยากของเรากำลังพาเราไปทิศทางใดระหว่างความสำเร็จที่คนอื่นยอมรับกับความพอใจในสิ่งที่ทำ อะไรทำให้ใจคุณเป็นอิสระทางจิตใจมากกว่ากัน
จากความอยากที่เน้นผลลัพธ์ สู่ความพอใจในการกระทำเหตุให้ดี
ผมอายุ ๓๒ ปี กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ ๓๓
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมเติบโตมากับความรู้สึกว่า ศักยภาพของตนเองไม่โดดเด่น เมื่อเทียบกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นญาติ พี่น้อง หรือแม้แต่พ่อแม่
ในด้านการเรียน ผมไม่ใช่คนที่เรียนเก่ง คณิตศาสตร์ไม่ใช่จุดแข็ง ภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่ ๒ หรือ ๓ ก็ไม่ถนัด งานที่ต้องใช้แรงหรือทักษะเฉพาะทาง ผมก็ทำได้ไม่ดีนัก
สิ่งที่พอจะมีติดตัวคือ ความพยายามและความอดทน ซึ่งพูดตามตรง มันก็ไม่ได้มั่นคงตลอดเวลา มีทั้งความท้อ ความเหนื่อย และความขี้เกียจปะปนอยู่เสมอ
แต่เมื่อชีวิตต้องดำเนินอยู่ภายในโลกแห่งความจริง ผมก็ขอเลือกที่จะสู้ต่อ เพราะรู้ว่าถ้าไม่ลุกขึ้นพยายาม ชีวิตก็คงหยุดอยู่ตรงที่คำว่า "แพ้"
ผมยอมรับว่า ความสำเร็จที่ได้มาในแต่ละช่วงชีวิตนั้น ถือว่าเหมาะสมกับศักยภาพของตัวเองดีแล้ว แต่ปัญหาคือ เสียงหนึ่งภายในจิตใจมักดังขึ้นเสมอว่า
"แค่นี้ยังไม่พอหรอก ถ้าไม่มีใครชื่นชม ไม่มีใครปรบมือให้มากมาย แบบนี้จะเรียกว่าความสำเร็จได้จริงหรือ"
ความคิดลักษณะนี้ทำให้ผมเริ่มรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและเมื่อได้เห็นคนใกล้ตัวหลายคนที่ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภายในจิตใจเกิดความอิจฉา ริษยาอยู่ อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกเหล่านั้นหยุดอยู่แค่เพียงภายในจิตใจ ผมไม่ได้กล่าวร้าย ไม่ใส่ร้าย หรือทำร้ายผู้ใด เพียงแต่ต้องยอมรับตามตรงว่า ใจยังไม่นิ่งพอจะวางได้ทั้งหมด
ในช่วงหนึ่งของชีวิต ผมพยายามอย่างหนัก ทั้งวิ่งไล่ตามและพยายามวิ่งแซงคนอื่น แต่ผลที่ได้กลับเป็นความรู้สึกว่า
"ยิ่งพยายามมากเท่าใด ยิ่งเหมือนตัวเองถอยหลังไปอยู่ท้ายแถว"
จนเกิดคำถามกับตนเองว่า "หรือแท้จริงแล้ว เรากำลังวิ่งผิดทิศตั้งแต่แรก" ต่อมา ผมมีโอกาสศึกษาพระไตรปิฎกและคำสอนของครูบาอาจารย์ร่วมสมัยบางท่าน ทำให้ผมสะดุดใจกับคำ ๒ คำ ได้แก่ ฉันทะและตัณหา ทั้ง ๒ คำแปลว่า ความอยาก เหมือนกัน แต่เมื่อพิจารณาโดยลึกซึ้งแล้ว พบความแตกต่างที่สำคัญ ได้แก่ ๑ ตัณหาคือ ความอยากฝ่ายอกุศลที่มุ่งไปยังผลลัพธ์เป็นหลัก เช่น ชื่อเสียง การยอมรับ ลาภ ยศ และมักเชื่อมโยงกับอัตตา ตัวกู ของกู ๒ ฉันทะ ความอยากฝ่ายกุศล เป็นความพึงพอใจในการกระทำจากตัวงาน เน้นการทำเหตุให้ดีที่สุด มากกว่าการยึดไปที่ผลลัพธ์ เมื่อมองย้อนกลับมาที่ตนเอง ผมเริ่มเห็นชัดเจนแล้วว่า
ความทุกข์ส่วนใหญ่ของผม ไม่ได้เกิดจากการทำงาน แต่เกิดจากการคาดหวังเสียงชื่นชมจากผู้อื่น จากจุดนั้น ผมก็เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนทิศทางของความอยากภายในจิตใจ จากเดิมที่อยากให้คนชื่นชม กลายมาเป็นอยากให้ "ชิ้นงานออกมาดีที่สุดตามศักยภาพของตน" ผมเริ่มถามตัวเองว่า "วันนี้ เราทำเหตุได้ดีพอแล้วหรือยัง" มากกว่าจะถามว่า "คนอื่นจะคิดกับเราอย่างไร"
แม้การเปลี่ยนเข็มทิศนี้จะไม่ง่าย เพราะภายในจิตใจที่ยังฝึกได้ไม่เต็มที่ ย่อมที่จะมีแรงดึงกลับไปสู่อัตตาได้อยู่เสมอ แต่ประสบการณ์ที่ค่อย ๆ สั่งสม ทำให้ผมเห็นว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจทำงานเพราะรักในงานนั้นจริง ๆ โดยไม่ยึดติดกับเสียงชื่นชมเป็นสำคัญ
ผมเริ่มเชื่อมั่นว่า เราควบคุมเหตุได้ดีกว่าผล เมื่อเหตุถูกต้อง ผลย่อมเป็นไปตามเหตุ แม้ผลจะไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ก็ตาม แต่ความพอใจในความทุ่มเทของตนเอง ก็ทำให้ใจไม่ร้าวเหมือนเดิม คำสรรเสริญ นินทา ลาภ ยศ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ล้วนเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา หากยึดติดสิ่งเหล่านี้เป็นที่ตั้ง ชีวิตก็คงต้องวิ่งไล่ตามจนเหนื่อยไม่รู้จบ บางที การหยุดยืนอยู่กับที่ของตนเองแล้วทำเหตุให้ดี มีคุณภาพ อาจเป็นเส้นทางที่ยั่งยืนกว่า
*** ผมอยากชวนทุกท่านแลกเปลี่ยนว่า ในชีวิตของคุณ เคยรู้สึกว่า ความอยากของเรากำลังพาเราไปทิศทางใดระหว่างความสำเร็จที่คนอื่นยอมรับกับความพอใจในสิ่งที่ทำ อะไรทำให้ใจคุณเป็นอิสระทางจิตใจมากกว่ากัน