ทำไมไทยถึงกลายเป็น “ตัวร้ายประจำเรื่อง” ในละครชาตินิยมกัมพูชา

กระทู้สนทนา
เวลาเกิดดราม่าชายแดนไทย–กัมพูชา เรามักเห็น pattern เดิม ๆ
• ไทยถูกวาดเป็น “ตัวร้าย”
• กัมพูชาเป็น “เหยื่อผู้ถูกกลั่นแกล้ง”
• ผู้นำกัมพูชาออกมาพูดแข็ง ๆ ปกป้องศักดิ์ศรีชาติ
• สื่อ–การศึกษา–โซเชียลฝั่งเขา ช่วยกันตอกย้ำบท “ไทยคนร้าย” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

https://www.facebook.com/share/p/16jHYL6ktj/?mibextid=wwXIfr


คำถามคือ:  ทำไม “ไทย” ถึงถูกเลือกให้เล่นบทตัวร้ายในละครชาตินิยมกัมพูชา แทบทุกครั้งที่ต้องการปลุกกระแสรักชาติ

ลองแกะเป็นระบบ จะเห็นว่านี่ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ แต่คือ “บท” ที่เขาเขียนไว้ล่วงหน้าแล้ว — และหยิบมาเล่นเมื่อไรก็ช่วยรักษาอำนาจภายในประเทศได้เสมอ

1. ประวัติศาสตร์ที่ถูกเล่าแบบ “ไทย = ผู้รุกราน, กัมพูชา = เหยื่อ”

ในห้องเรียนของกัมพูชา เวอร์ชันที่เด็กเขมรได้ฟังบ่อย ๆ คือ narrative ประมาณนี้:
• อาณาจักรเขมรโบราณยิ่งใหญ่ (ยุคแองกอร์)
• ต่อมาถูก “สยาม” รุกราน ดึงดินแดน–วัฒนธรรม–สมบัติไป
• หลายเมือง–หลายพื้นที่ที่วันนี้อยู่ในไทย เคยอยู่ในอาณาจักรขอม

แม้รายละเอียดทางวิชาการจะซับซ้อนกว่านั้นมาก แต่การเล่าประวัติศาสตร์แบบเลือกเฟรมว่า “ไทยคือผู้รังแกในอดีต” ทำให้ในจิตสำนึกคนจำนวนหนึ่ง
• ไทย = คนที่ “เคยมาเอาของเราไป”
• ความแค้นทางประวัติศาสตร์ = เชื้อไฟพร้อมใช้ เวลาอยากระดมอารมณ์สาธารณะ

ประเด็นสำคัญคือ: ผู้มีอำนาจรู้ดีว่าเรื่องเล่าประเภทนี้ “ขายง่าย” กับมวลชน พอจะสร้างกระแสชาตินิยมทีไร “ตัวร้ายในละคร” เลยถูกเขียนชื่อว่า “ไทย” ง่ายกว่าประเทศอื่น

2. ละครชาตินิยม: มีตัวเอก มีผู้ร้าย และต้องมี “ภัยจากเพื่อนบ้าน”

ในประเทศที่การเมืองภายในตึงเครียด เศรษฐกิจไม่แน่น ประชาชนเริ่มตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจ หนึ่งในสูตรที่ใช้กันทั่วโลกคือ “สร้างศัตรูภายนอก”

เพราะเมื่อคนถูกปลุกให้กลัวภัยจากภายนอก
• คนในชาติจะหันมาจับมือกัน
• ความไม่พอใจเรื่องค่าครองชีพ–คอร์รัปชัน–ความเหลื่อมล้ำ จะถูกกลบไปชั่วคราว
• ผู้นำจะใส่เสื้อ “ผู้ปกป้องชาติ” แทนชุด “ผู้ถูกตั้งคำถาม”

สำหรับกัมพูชา
• จะไปชี้เวียดนามแรง ๆ ก็ลำบาก เพราะทั้งระบอบ “โตมาจากเวียดนาม” และผูกผลประโยชน์กันยาว
• จะไปชี้จีนเป็นตัวร้ายก็ไม่ได้ เพราะจีนเป็นแหล่งเงิน–แหล่งลงทุน–แหล่งการเมืองระหว่างประเทศสำคัญ

เหลือไทยนี่แหละ “เหมาะสุด”
• อยู่ใกล้
• มีประวัติศาสตร์ที่หยิบมาเล่าในมุมเหยื่อ–ผู้รังแกได้
• ชนแล้วไม่กระทบเส้นเลือดใหญ่ทางการเมือง–เศรษฐกิจเท่ากับชนเวียดนามหรือจีน

ผลลัพธ์คือ เวลาอยากปลุกชาติ–หันเหประเด็นไทยจึงกลายเป็น “ตัวร้ายประจำเรื่อง” แบบอัตโนมัติ

3. ทำไมไทย “เล่นแล้วคุ้ม” ในสายตานักการเมืองกัมพูชา

ในมุมของผู้นำกัมพูชา การเอา “ไทย” มาเป็นคู่กรณีมีความคุ้มแบบนี้:
1. 1) ปลุกอารมณ์ได้เร็ว
• คนจำนวนมากมีภาพจำว่าไทยเคย “เหนือกว่า–รวยกว่า–ดูถูกเขมร”
• แค่พูดเรื่องปราสาท–เขตแดน–ประวัติศาสตร์ ก็จุดเชื้อไฟได้ง่าย

2. 2) ปลอดภัยกว่าชนเวียดนาม
• ไม่แตะ “ผู้มีพระคุณ” ที่ช่วยโค่นเขมรแดงและสร้างระบอบปัจจุบัน
• ไม่แตะคู่ค้าหลักในระยะยาว

3. 3) ใช้เป็นกันชนกับแรงกดดันภายใน
• เวลาเศรษฐกิจไม่ดี
• เวลาโดนแรงกดจากฝ่ายค้าน–NGO–ต่างชาติเรื่องสิทธิมนุษยชน
• ละครเรื่อง “ไทยรังแกเรา” ถูกหยิบมาเล่นเพื่อเบนความสนใจได้เสมอ

พูดแบบภาษาธุรกิจ: ไทยคือ “สินทรัพย์ทางการเมือง” ชิ้นหนึ่ง ที่หยิบมาใช้เมื่อไรก็ได้กระแส ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม

4. สื่อ–โซเชียล–ระบบการศึกษา คือเครื่องยนต์รีรันบท “ไทยคนร้าย”

เวลามีเหตุชายแดน หรือดราม่าเกี่ยวกับไทย สังเกต pattern ข้างล่างนี้:
• สื่อบางส่วนรีรันภาพ–บทความที่วาดไทยเป็นผู้รุกราน
• แพลตฟอร์มออนไลน์มี meme, โพสต์, คอมเมนต์ ที่ตบมุก “ไทยขโมยประวัติศาสตร์–เขตแดน–มรดกโลก”
• ในระยะยาว ระบบการศึกษา–ตำรา–เรื่องเล่าในสังคมก็ช่วย “ฝังภาพ” ไทยในฐานะคนที่เคย “เอาเปรียบเขมร”

ทั้งหมดนี้เป็นเหมือน content library ที่พร้อมใช้งาน เมื่อผู้มีอำนาจต้องการกระแส ก็แค่กดปุ่มให้สื่อ–โซเชียล–โฆษกบางคนช่วยกันขยายเสียง

5. ด้านมืดของไทยเอง: ภาพจำ–คำเหยียด ที่ทำให้เรื่องยิ่งบาน

ต้องยอมรับตรง ๆ ว่า ฝั่งไทยเองก็มี “ด้านมืด” ที่ทำให้เราไปติดกับเช่นกัน:
• คำเหยียดแรง ๆ เกี่ยวกับแรงงานเขมรที่คนไทยบางส่วนใช้กันแบบไม่คิด
• การมองเพื่อนบ้านแบบ “ด้อยกว่า–บ้านนอก–ล้าหลัง”
• ตัวตลก–ละคร–รายการทีวีบางยุค ที่สร้างภาพเพื่อนบ้านแบบล้อเลียน

ทั้งหมดนี้ถูก capture ไปเป็นหลักฐานง่าย ๆ ในโลกออนไลน์ แล้วถูกเอากลับไปใช้ในละครชาตินิยมฝั่งกัมพูชาว่า “เห็นไหมล่ะ คนไทยดูถูกเราแค่ไหน”

หมายความว่า ไทยเองก็มีส่วนเติมน้ำมันเข้ากองไฟ ถ้าเราไม่รู้เท่าทัน narrative ของเขา และไม่จัดการ narrative ฝั่งเราเองให้ดี

6. แล้วไทยควรทำยังไง เมื่อตัวเองถูกเขียนบทเป็นตัวร้าย?

สิ่งที่ไทยทำได้ ไม่ใช่แค่ “โกรธกลับ” หรือ “ด่าแข่ง” แต่คือการเล่นเกมในหลายระดับพร้อมกัน:
4. 1) แยก “รัฐบาล–ผู้นำ–เกมการเมือง” ออกจาก “ประชาชนเขมร”
• อย่าตอบโต้ด้วยการเหมาเขมรทั้งชาติ
• ต้องมองให้ออกว่าใครกำลังใช้ประชาชนตัวเองเป็นผู้ชมในละครนี้

5. 2) การทูตเชิงรุก + ข้อมูลจริง
• ยืนยันหลักเขตแดน–ประวัติศาสตร์ด้วยเอกสาร–หลักฐาน
• สื่อสารกับโลก ไม่ใช่เถียงกันแค่สองประเทศในโซเชียล

6. 3) จัดการภาพจำฝั่งไทยเอง
• ลดการใช้คำเหยียดเพื่อนบ้านในสื่อ–บันเทิง–โซเชียลของเราเอง
• เพราะสุดท้าย ภาพเหล่านี้จะถูกเอาไปใช้เป็นอาวุธกลับมาโจมตีเรา

7. 4) สร้างเวทีให้ “คนทำงาน–คนรุ่นใหม่” สองฝั่งเจอกัน
• ยิ่งมีประสบการณ์ร่วมในเชิงบวกมากเท่าไร ละครชาตินิยมแบบเก่าก็ยิ่งขายยากขึ้นเรื่อย ๆ

7. สรุป: ไทยในฐานะ “ตัวร้ายที่ถูกเขียนบทไว้แล้ว”

ถ้าให้สรุปสั้น ๆ ว่า ทำไมไทยถึงกลายเป็นตัวร้ายประจำเรื่องในละครชาตินิยมกัมพูชา?

ก็เพราะในสคริปต์การเมืองของเขา
• ไทยมี “ประวัติศาสตร์เวอร์ชันเหยื่อ–ผู้รังแก” ให้ดึงมาเล่าได้
• ชนไทยแล้วผลิตคะแนนนิยมได้ โดยไม่เสี่ยงเสียเสาหลักอย่างเวียดนามหรือจีน
• สื่อ–การศึกษา–โซเชียล ถูก set system ให้รีรันบทนี้ได้ง่าย
• ขณะที่ฝั่งไทยเอง ก็มีภาพจำ–คำเหยียด–ความไม่รู้เท่าทัน ที่กลายเป็นวัตถุดิบให้ละครฝั่งโน้นต่อบทไปได้เรื่อย ๆ

ดังนั้น ไทยจึงไม่ได้เป็น “ตัวร้ายเพราะเลวโดยสันดาน” อย่างที่ละครเขียน แต่เป็นตัวละครที่ถูกเลือก เพราะเล่นแล้วคุ้มในเชิงการเมืองของเขา

โจทย์ของเราจึงไม่ใช่แค่ “เถียงให้ชนะ” แต่คือจะทำยังไงให้บทที่เขาใช้เราหากินทางการเมือง “ขายยากขึ้นเรื่อย ๆ” ในสายตาคนรุ่นใหม่ทั้งสองฝั่ง
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่