อาศัยศีลเจริญอริยมรรคอันหยั่งลงสู่อมตะ
[๒๖๘] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย การงานที่จะพึงทำด้วยกำลังอย่างใดอย่าง
หนึ่ง อันบุคคลทำอยู่ ทั้งหมดนั้น อันบุคคลอาศัยแผ่นดิน ดำรงอยู่บนแผ่นดิน จึงทำได้ การ
งานที่จะพึงทำด้วยกำลังเหล่านี้ อันบุคคลย่อมกระทำได้ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ฉันใด ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบ
ด้วยองค์ ๘ ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๒๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า? ดูกรภิกษุทั้ง-
*หลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะ
เป็นที่สุด ฯลฯ ย่อมเจริญสัมมาสมาธิอันหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘
กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.
พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำงานใดๆ ของมนุษย์ต้องอาศัยแผ่นดินเป็นฐานจึงทำได้ฉันใด การปฏิบัติธรรมของภิกษุก็ต้องอาศัยศีลเป็นพื้นฐานเช่นกัน เมื่อภิกษุรักษาศีลมั่นคงแล้วจึงสามารถเจริญอริยมรรคมีองค์แปดให้เจริญงอกงามได้
เมื่อภิกษุอาศัยศีลตั้งมั่นแล้วและเจริญมรรคแปด มรรคทุกข้อที่ฝึกจะมีลักษณะเดียวกัน คือพาใจให้หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเป้าหมาย มีอมตะเป็นทิศทาง และมีอมตะเป็นที่สุดปลายทาง เช่นเดียวกับรากไม้ที่แทงลงหาน้ำลึก มรรคทุกองค์ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ จนถึงสัมมาสมาธิ ต่างก็เอียงไปในแนวเดียวกัน คือทำให้จิตก้าวออกจากความเกิด ความดับ และมุ่งสู่ความไม่ตาย
ศีลเป็นพื้นดินรองรับมรรค เมื่อศีลตั้งมั่น มรรคทั้งแปดจะตั้งได้และค่อยๆ หยั่งลงลึกสู่ความไม่ตาย ซึ่งก็ คือ นิพพานนั่นเอง
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะ เป็นที่สุด
[๒๖๘] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย การงานที่จะพึงทำด้วยกำลังอย่างใดอย่าง
หนึ่ง อันบุคคลทำอยู่ ทั้งหมดนั้น อันบุคคลอาศัยแผ่นดิน ดำรงอยู่บนแผ่นดิน จึงทำได้ การ
งานที่จะพึงทำด้วยกำลังเหล่านี้ อันบุคคลย่อมกระทำได้ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ฉันใด ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบ
ด้วยองค์ ๘ ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๒๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า? ดูกรภิกษุทั้ง-
*หลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะ
เป็นที่สุด ฯลฯ ย่อมเจริญสัมมาสมาธิอันหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘
กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.
พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำงานใดๆ ของมนุษย์ต้องอาศัยแผ่นดินเป็นฐานจึงทำได้ฉันใด การปฏิบัติธรรมของภิกษุก็ต้องอาศัยศีลเป็นพื้นฐานเช่นกัน เมื่อภิกษุรักษาศีลมั่นคงแล้วจึงสามารถเจริญอริยมรรคมีองค์แปดให้เจริญงอกงามได้
เมื่อภิกษุอาศัยศีลตั้งมั่นแล้วและเจริญมรรคแปด มรรคทุกข้อที่ฝึกจะมีลักษณะเดียวกัน คือพาใจให้หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเป้าหมาย มีอมตะเป็นทิศทาง และมีอมตะเป็นที่สุดปลายทาง เช่นเดียวกับรากไม้ที่แทงลงหาน้ำลึก มรรคทุกองค์ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ จนถึงสัมมาสมาธิ ต่างก็เอียงไปในแนวเดียวกัน คือทำให้จิตก้าวออกจากความเกิด ความดับ และมุ่งสู่ความไม่ตาย
ศีลเป็นพื้นดินรองรับมรรค เมื่อศีลตั้งมั่น มรรคทั้งแปดจะตั้งได้และค่อยๆ หยั่งลงลึกสู่ความไม่ตาย ซึ่งก็ คือ นิพพานนั่นเอง