MIND: ไม่ใช่แค่ขี้เกียจ แต่ ‘ภาวะหมดไฟเดือนธันวาคม’ มีอยู่จริง
.
‘ธันวาคม’ เดือนสุดท้ายของปี ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานกับความรื่นเริงช่วงเทศกาล แต่ทำไมเราถึงรู้สึกอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่ายกว่าปกติ หรือสมองเหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน นี่อาจจะไม่ใช่ ‘ความขี้เกียจ’ ธรรมดาๆ แต่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘ภาวะหมดไฟเดือนธันวาคม’ (December Burnout)
.
ภาวะนี้เป็นสภาวะที่ได้รับการยอมรับในทางจิตวิทยา ซึ่งเป็นผลของความเครียดสะสมตลอดทุกเดือนที่ผ่านมาทั้งปี และภาระทางอารมณ์และจิตใจที่ถาโถมเข้ามาในช่วงสิ้นปี เป็นภาวะที่ถึงแม้เราจะเคยเป็นคนที่มีประสิทธิภาพสูงแค่ไหน ก็ยังรับมือได้ยาก
.
[ทำไมต้องหมดไฟช่วง ‘สิ้นปี’]
ภาวะหมดไฟเดือนธันวาคมนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เกิดจากปัจจัยทางชีววิทยา และแรงกดดันทางสังคมที่มาบรรจบกันในช่วงเดือนธันวาคมแบบพอดิบพอดี
.
1 - สงครามเคมีในสมอง เมื่อแสงแดดไม่เป็นใจ
เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว แสงแดดอาจจะน้อยลง เมื่อเราได้รับแสงแดดน้อยลง ระดับของเซโรโทนินก็น้อยลงตาม ส่งผลต่อความอดทนทางอารมณ์ลดลง เกิดอาการหงุดหงิดได้ง่ายขึ้น ส่วนเมลาโทนินกลับเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียและอยากนอนมากขึ้น
.
2 - สมองทำงานหนักเกินลิมิต
สมองส่วนหน้าของเรา คือพื้นที่ที่ช่วยเราตัดสินใจ ควบคุมอารมณ์ และคิดวิเคราะห์มาตลอดทั้งปี เมื่อเข้าสู่เดือนธันวาคมก็หนักขึ้นไปอีก ในงานวิจัยระบุว่า ช่วงท้ายปีจะเป็นช่วงที่ความเครียดจากการทำงานพุ่งสูงขึ้น จากเดดไลน์ปลายปี และการประเมินผลงาน
.
นอกจากนี้ ในช่วงสิ้นปียังเป็นช่วงที่เราต้องใช้สมองในการวางแผน จัดการเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามา ตั้งแต่การวางแผนทริป ดูแลค่าใช้จ่าย ไปจนถึงความคาดหวังว่าต้อง ‘มีความสุขให้ได้’ ทั้งหมดนี้ทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียดสูงขึ้น ระบบประสาทยืดหยุ่นน้อยลง และเราจัดการความรู้สึกได้ยากกว่าเดิม
.
[สัญญาณเตือนว่าเรากำลังเบิร์นเอาท์]
ภาวะหมดไฟเดือนธันวาคม จะแสดงออกมาทางความคิด อารมณ์ และร่างกาย ลองสำรวจตัวเองกันว่าเรามีสัญญาณเหล่านี้อยู่หรือไม่
.
ในด้านอารมณ์ คนที่มีภาวะนี้จะมีอารมณ์ที่ไม่มั่นคง หงุดหงิดง่าย มีความมึนงง และไม่มีสมาธิที่จะทำงานง่ายๆ การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ จะกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที รวมไปถึงความรู้สึกที่อยากจะชัตดาวน์ร่างกาย มีอาการสูญเสียแรงจูงใจ และอยากปลีกตัวออกจากสังคม
.
ในด้านร่างกาย จะมีอาการนอนไม่หลับ นอนหลับไม่ต่อเนื่อง อ่อนเพลียถึงแม้จะพยายามนอนหลับให้เพียงพอแล้วก็ตาม และยังมีอาการปวดตึงกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบ่าและไหล่ มีอาการปวดหัวจากความเครียด และเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยเพิ่มขึ้น เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
.
[วิธีฟื้นฟูพลังสมองที่หมดไฟ]
การฟื้นฟูตนเองจากภาวะหมดไฟในลักษณะนี้ ไม่ใช่แค่การ ‘ลาพัก’ แต่ต้องอาศัยการฟื้นฟูอย่างมีระบบ เพื่อเติมทรัพยากรทางความคิดที่ขาดหายไปให้กลับมาใหม่ โดยสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ ไม่จำเป็นต้องทำครบทุกข้อ ขอแค่ทำอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอ
.
1 - เข้าร่วมกิจกรรมที่เรียกว่า ‘Soft Fascination’ หรือการดึงดูดความสนใจ โดยไม่ต้องเรียกร้องความพยายามทางจิตใจ เช่น การเดินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หรือการทำงานฝีมือที่ไม่ซับซ้อน
.
2 - ตั้งขอบเขตการทำงานที่จริงจัง
ภาวะหมดไฟมักเกิดจากการตอบรับทุกอย่างและไม่กล้าปฏิเสธ เริ่มจากกำหนดเวลาเลิกงานที่ชัดเจนและสื่อสารกับคนรอบตัว ลองฝึกใช้ ‘กฎสองนาที’ ถ้าต้องใช้เวลาคิดเกินสองนาที และยังไม่ใช่เรื่องจำเป็น คำตอบคือ ‘ไม่’ ไปจนถึงช่วงปีใหม่ และท้ายที่สุด ลองลบแอปทำงานออกจากโทรศัพท์อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ เพื่อให้สมองได้พักจริงๆ
.
3 - ปรับคุณภาพการนอน เพราะการนอนหลับที่ดี จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูร่างกายและอารมณ์ สามารถเริ่มจากปรับเวลานอนหลับ-ตื่นนอนให้สม่ำเสมอ ถึงแม้จะเป็นวันหยุด และงดดูหน้าจอทุกชนิดอย่างน้อย 60 นาที ก่อนเข้านอน
.
4 - ออกกำลังเบาๆ เพิ่มพลังบวก เช่น โยคะ ไทเก๊ก หรือฝึกเทคนิคการหายใจเพื่อลดความเครียดอย่างรวดเร็ว
.
หากธันวาคมปีนี้ ทำให้เรารู้สึกเหนื่อย หมดแรง หรืออะไรๆ ก็ดูแย่ไปหมด จริงๆ แล้วนั่นไม่ได้หมายความว่าเรากำลัง ‘ล้มเหลว’ หรือ ‘ขี้เกียจ’ แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายและจิตใจกำลังหมดพลังที่จะแบกสิ่งที่เรากำลังแบกมาตลอดปีต่างหาก
.
ภาวะหมดไฟในเดือนธันวาคมจึงไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว แต่เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของมนุษย์ที่มีต่อสภาพแวดล้อมที่กดดันและไม่ยั่งยืน
.
#MIND #BrandThink #CreativeChange
#Empowering #Diversity #PositiveImpact
🥺 ไม่ใช่แค่ขี้เกียจ แต่ ‘ภาวะหมดไฟเดือนธันวาคม’ มีอยู่จริง
.
‘ธันวาคม’ เดือนสุดท้ายของปี ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานกับความรื่นเริงช่วงเทศกาล แต่ทำไมเราถึงรู้สึกอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่ายกว่าปกติ หรือสมองเหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน นี่อาจจะไม่ใช่ ‘ความขี้เกียจ’ ธรรมดาๆ แต่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘ภาวะหมดไฟเดือนธันวาคม’ (December Burnout)
.
ภาวะนี้เป็นสภาวะที่ได้รับการยอมรับในทางจิตวิทยา ซึ่งเป็นผลของความเครียดสะสมตลอดทุกเดือนที่ผ่านมาทั้งปี และภาระทางอารมณ์และจิตใจที่ถาโถมเข้ามาในช่วงสิ้นปี เป็นภาวะที่ถึงแม้เราจะเคยเป็นคนที่มีประสิทธิภาพสูงแค่ไหน ก็ยังรับมือได้ยาก
.
[ทำไมต้องหมดไฟช่วง ‘สิ้นปี’]
ภาวะหมดไฟเดือนธันวาคมนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เกิดจากปัจจัยทางชีววิทยา และแรงกดดันทางสังคมที่มาบรรจบกันในช่วงเดือนธันวาคมแบบพอดิบพอดี
.
1 - สงครามเคมีในสมอง เมื่อแสงแดดไม่เป็นใจ
เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว แสงแดดอาจจะน้อยลง เมื่อเราได้รับแสงแดดน้อยลง ระดับของเซโรโทนินก็น้อยลงตาม ส่งผลต่อความอดทนทางอารมณ์ลดลง เกิดอาการหงุดหงิดได้ง่ายขึ้น ส่วนเมลาโทนินกลับเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียและอยากนอนมากขึ้น
.
2 - สมองทำงานหนักเกินลิมิต
สมองส่วนหน้าของเรา คือพื้นที่ที่ช่วยเราตัดสินใจ ควบคุมอารมณ์ และคิดวิเคราะห์มาตลอดทั้งปี เมื่อเข้าสู่เดือนธันวาคมก็หนักขึ้นไปอีก ในงานวิจัยระบุว่า ช่วงท้ายปีจะเป็นช่วงที่ความเครียดจากการทำงานพุ่งสูงขึ้น จากเดดไลน์ปลายปี และการประเมินผลงาน
.
นอกจากนี้ ในช่วงสิ้นปียังเป็นช่วงที่เราต้องใช้สมองในการวางแผน จัดการเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามา ตั้งแต่การวางแผนทริป ดูแลค่าใช้จ่าย ไปจนถึงความคาดหวังว่าต้อง ‘มีความสุขให้ได้’ ทั้งหมดนี้ทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียดสูงขึ้น ระบบประสาทยืดหยุ่นน้อยลง และเราจัดการความรู้สึกได้ยากกว่าเดิม
.
[สัญญาณเตือนว่าเรากำลังเบิร์นเอาท์]
ภาวะหมดไฟเดือนธันวาคม จะแสดงออกมาทางความคิด อารมณ์ และร่างกาย ลองสำรวจตัวเองกันว่าเรามีสัญญาณเหล่านี้อยู่หรือไม่
.
ในด้านอารมณ์ คนที่มีภาวะนี้จะมีอารมณ์ที่ไม่มั่นคง หงุดหงิดง่าย มีความมึนงง และไม่มีสมาธิที่จะทำงานง่ายๆ การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ จะกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที รวมไปถึงความรู้สึกที่อยากจะชัตดาวน์ร่างกาย มีอาการสูญเสียแรงจูงใจ และอยากปลีกตัวออกจากสังคม
.
ในด้านร่างกาย จะมีอาการนอนไม่หลับ นอนหลับไม่ต่อเนื่อง อ่อนเพลียถึงแม้จะพยายามนอนหลับให้เพียงพอแล้วก็ตาม และยังมีอาการปวดตึงกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบ่าและไหล่ มีอาการปวดหัวจากความเครียด และเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยเพิ่มขึ้น เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
.
[วิธีฟื้นฟูพลังสมองที่หมดไฟ]
การฟื้นฟูตนเองจากภาวะหมดไฟในลักษณะนี้ ไม่ใช่แค่การ ‘ลาพัก’ แต่ต้องอาศัยการฟื้นฟูอย่างมีระบบ เพื่อเติมทรัพยากรทางความคิดที่ขาดหายไปให้กลับมาใหม่ โดยสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ ไม่จำเป็นต้องทำครบทุกข้อ ขอแค่ทำอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอ
.
1 - เข้าร่วมกิจกรรมที่เรียกว่า ‘Soft Fascination’ หรือการดึงดูดความสนใจ โดยไม่ต้องเรียกร้องความพยายามทางจิตใจ เช่น การเดินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หรือการทำงานฝีมือที่ไม่ซับซ้อน
.
2 - ตั้งขอบเขตการทำงานที่จริงจัง
ภาวะหมดไฟมักเกิดจากการตอบรับทุกอย่างและไม่กล้าปฏิเสธ เริ่มจากกำหนดเวลาเลิกงานที่ชัดเจนและสื่อสารกับคนรอบตัว ลองฝึกใช้ ‘กฎสองนาที’ ถ้าต้องใช้เวลาคิดเกินสองนาที และยังไม่ใช่เรื่องจำเป็น คำตอบคือ ‘ไม่’ ไปจนถึงช่วงปีใหม่ และท้ายที่สุด ลองลบแอปทำงานออกจากโทรศัพท์อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ เพื่อให้สมองได้พักจริงๆ
.
3 - ปรับคุณภาพการนอน เพราะการนอนหลับที่ดี จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูร่างกายและอารมณ์ สามารถเริ่มจากปรับเวลานอนหลับ-ตื่นนอนให้สม่ำเสมอ ถึงแม้จะเป็นวันหยุด และงดดูหน้าจอทุกชนิดอย่างน้อย 60 นาที ก่อนเข้านอน
.
4 - ออกกำลังเบาๆ เพิ่มพลังบวก เช่น โยคะ ไทเก๊ก หรือฝึกเทคนิคการหายใจเพื่อลดความเครียดอย่างรวดเร็ว
.
หากธันวาคมปีนี้ ทำให้เรารู้สึกเหนื่อย หมดแรง หรืออะไรๆ ก็ดูแย่ไปหมด จริงๆ แล้วนั่นไม่ได้หมายความว่าเรากำลัง ‘ล้มเหลว’ หรือ ‘ขี้เกียจ’ แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายและจิตใจกำลังหมดพลังที่จะแบกสิ่งที่เรากำลังแบกมาตลอดปีต่างหาก
.
ภาวะหมดไฟในเดือนธันวาคมจึงไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว แต่เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของมนุษย์ที่มีต่อสภาพแวดล้อมที่กดดันและไม่ยั่งยืน
.
#MIND #BrandThink #CreativeChange
#Empowering #Diversity #PositiveImpact