
: หนังที่โคตรคลาสสิก! "Catch Me If You Can" ดูซ้ำกี่รอบก็ยังฟิน
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมจะมารีวิวหนังในดวงใจที่ดูซ้ำกี่รอบก็ไม่มีเบื่อ นั่นก็คือ "Catch Me If You Can" ครับ หนังเรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Steven Spielberg ที่นำแสดงโดยสองนักแสดงมากฝีมืออย่าง Leonardo DiCaprio ในบท Frank Abagnale Jr. และ Tom Hanks ในบท Carl Hanratty หรือ FBI Agent ที่ตามล่า Frank บอกเลยว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่หนังอาชญากรรมธรรมดาทั่วไป แต่มันเต็มไปด้วยชั้นเชิงของเรื่องราว ความบันเทิง และข้อคิดดีๆ ที่ทำให้เรานั่งไม่ติดเก้าอี้เลยครับ
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Frank Abagnale Jr. เด็กหนุ่มอัจฉริยะที่ต้องเผชิญกับปัญหาครอบครัวที่พังทลาย พ่อแม่ของเขาหย่าร้างกัน ทำให้ชีวิตของเขาพลิกผัน เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้านและใช้ไหวพริบอันชาญฉลาดในการปลอมตัวเป็นอาชีพต่างๆ ตั้งแต่นักบินสายการบิน Pan Am, หมอ, ไปจนถึงทนายความ และที่เด็ดไปกว่านั้นคือ เขาสามารถต้มตุ๋นผู้คนและหลบหนีการจับกุมจากเจ้าหน้าที่ FBI ไปได้หลายครั้ง กลายเป็นอาชญากรตัวแสบที่โด่งดังไปทั่วโลกในยุคนั้น
สิ่งที่ทำให้ผมหลงรัก "Catch Me If You Can" มากที่สุดคือการแสดงของ Leonardo DiCaprio ครับ การที่เขาต้องสวมบทบาทเป็นเด็กหนุ่มที่ต้องปลอมแปลงตัวไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ Leo ทำมันออกมาได้อย่างไร้ที่ติครับ ตั้งแต่วิธีการพูด ท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้า การปรับเปลี่ยนบุคลิกให้เข้ากับแต่ละอาชีพที่ปลอมตัว ถือเป็นการแสดงที่น่าทึ่งมากๆ ครับ เราจะเห็นพัฒนาการของตัวละคร Frank ตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มที่กำลังค้นหาตัวเอง จนกลายเป็นนักต้มตุ๋นมืออาชีพที่น่าเกรงขาม แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังมีความเป็นเด็กซ่อนอยู่ ซึ่ง Leo ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ ครับ
ส่วน Tom Hanks ในบท Carl Hanratty ก็ไม่น้อยหน้าครับ เขาแสดงเป็นเจ้าหน้าที่ FBI ที่ตามล่า Frank ได้อย่างน่าเชื่อถือมากๆ เราจะเห็นความมุ่งมั่น ความฉลาดในการสืบสวน และความกดดันที่เขามีในการต้องตามจับอาชญากรที่เก่งกาจขนาดนี้ แต่สิ่งที่ผมชอบคือ ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ พัฒนาระหว่าง Carl กับ Frank มันไม่ใช่แค่การไล่ล่าแบบขาวดำ แต่กลับมีความรู้สึกที่ซับซ้อนแฝงอยู่ ทั้งความชื่นชมในสติปัญญาของอีกฝ่าย และความเข้าใจในสถานการณ์ที่ทำให้ Frank ต้องทำแบบนั้น
บทภาพยนตร์ของ "Catch Me If You Can" ก็เป็นอีกจุดที่ผมต้องขอชื่นชมครับ การเล่าเรื่องทำได้ดีมากๆ ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด มีการสลับฉากระหว่างการไล่ล่าของ FBI กับการผจญภัยของ Frank ได้อย่างลงตัว ทำให้เราลุ้นไปกับทุกสถานการณ์ นอกจากนี้ บทสนทนายังมีความคมคาย มีไหวพริบ และแฝงไปด้วยอารมณ์ขัน ทำให้หนังดูสนุกเพลิดเพลินตลอดทั้งเรื่อง ผมชอบวิธีการที่ผู้กำกับ Spielberg นำเสนอเรื่องราว ทำให้เราเห็นว่า Frank ไม่ใช่แค่อาชญากร แต่เขาก็เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีความฝันและต้องการพิสูจน์ตัวเองในแบบของเขา
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้โดดเด่นคือ การออกแบบโปรดักชั่นและเครื่องแต่งกายครับ ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนกับยุค 60s และ 70s อย่างสมจริงมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน ยุคสมัย หรือแม้กระทั่งสไตล์การแต่งตัวของตัวละคร ทำให้เราอินไปกับบรรยากาศของยุคนั้นได้เป็นอย่างดี เพลงประกอบก็เข้ากับหนังมากๆ ครับ ฟังแล้วรู้สึกสนุก คึกคัก และเข้ากับโทนเรื่องได้เป็นอย่างดี
"Catch Me If You Can" ไม่ได้เป็นแค่หนังที่ดูสนุกนะครับ แต่ยังมีข้อคิดดีๆ แฝงอยู่หลายอย่างเลยครับ อย่างแรกเลยคือเรื่องของครอบครัว เราจะเห็นว่าปัญหาครอบครัวสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตของเด็กได้มากแค่ไหน และบางครั้งการกระทำที่ผิดกฎหมายก็อาจจะเกิดจากความต้องการที่อยากจะเติมเต็มบางสิ่งบางอย่างในชีวิตที่ขาดหายไป นอกจากนี้ หนังยังสอนให้เราเห็นถึงความสำคัญของความพยายาม การปรับตัว และการใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา ถึงแม้ว่า Frank จะใช้วิธีที่ผิด แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถและฉลาดมากๆ ครับ
สุดท้ายแล้ว "Catch Me If You Can" เป็นหนังที่ผมอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองดูครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนหนังแนวไหนก็ตาม เพราะมันเป็นหนังที่ครบเครื่องจริงๆ ทั้งการแสดงที่ยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ที่เข้มข้น การกำกับที่ไร้ที่ติ และข้อคิดดีๆ ที่ได้จากการรับชม ผมรับรองว่าคุณจะดูจบแล้วต้องยิ้มออกมากับความสนุกและความฉลาดของตัวละครอย่างแน่นอนครับ และถ้าดูจบแล้ว ใครมีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ หรือมีหนังเรื่องไหนอยากให้ผมรีวิวอีก ก็มาคุยกันได้เลยนะครับ ยินดีเสมอครับผม!
หนังที่โคตรคลาสสิก! "Catch Me If You Can" ดูซ้ำกี่รอบก็ยังฟิน
: หนังที่โคตรคลาสสิก! "Catch Me If You Can" ดูซ้ำกี่รอบก็ยังฟิน
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมจะมารีวิวหนังในดวงใจที่ดูซ้ำกี่รอบก็ไม่มีเบื่อ นั่นก็คือ "Catch Me If You Can" ครับ หนังเรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Steven Spielberg ที่นำแสดงโดยสองนักแสดงมากฝีมืออย่าง Leonardo DiCaprio ในบท Frank Abagnale Jr. และ Tom Hanks ในบท Carl Hanratty หรือ FBI Agent ที่ตามล่า Frank บอกเลยว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่หนังอาชญากรรมธรรมดาทั่วไป แต่มันเต็มไปด้วยชั้นเชิงของเรื่องราว ความบันเทิง และข้อคิดดีๆ ที่ทำให้เรานั่งไม่ติดเก้าอี้เลยครับ
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Frank Abagnale Jr. เด็กหนุ่มอัจฉริยะที่ต้องเผชิญกับปัญหาครอบครัวที่พังทลาย พ่อแม่ของเขาหย่าร้างกัน ทำให้ชีวิตของเขาพลิกผัน เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้านและใช้ไหวพริบอันชาญฉลาดในการปลอมตัวเป็นอาชีพต่างๆ ตั้งแต่นักบินสายการบิน Pan Am, หมอ, ไปจนถึงทนายความ และที่เด็ดไปกว่านั้นคือ เขาสามารถต้มตุ๋นผู้คนและหลบหนีการจับกุมจากเจ้าหน้าที่ FBI ไปได้หลายครั้ง กลายเป็นอาชญากรตัวแสบที่โด่งดังไปทั่วโลกในยุคนั้น
สิ่งที่ทำให้ผมหลงรัก "Catch Me If You Can" มากที่สุดคือการแสดงของ Leonardo DiCaprio ครับ การที่เขาต้องสวมบทบาทเป็นเด็กหนุ่มที่ต้องปลอมแปลงตัวไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ Leo ทำมันออกมาได้อย่างไร้ที่ติครับ ตั้งแต่วิธีการพูด ท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้า การปรับเปลี่ยนบุคลิกให้เข้ากับแต่ละอาชีพที่ปลอมตัว ถือเป็นการแสดงที่น่าทึ่งมากๆ ครับ เราจะเห็นพัฒนาการของตัวละคร Frank ตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มที่กำลังค้นหาตัวเอง จนกลายเป็นนักต้มตุ๋นมืออาชีพที่น่าเกรงขาม แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังมีความเป็นเด็กซ่อนอยู่ ซึ่ง Leo ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ ครับ
ส่วน Tom Hanks ในบท Carl Hanratty ก็ไม่น้อยหน้าครับ เขาแสดงเป็นเจ้าหน้าที่ FBI ที่ตามล่า Frank ได้อย่างน่าเชื่อถือมากๆ เราจะเห็นความมุ่งมั่น ความฉลาดในการสืบสวน และความกดดันที่เขามีในการต้องตามจับอาชญากรที่เก่งกาจขนาดนี้ แต่สิ่งที่ผมชอบคือ ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ พัฒนาระหว่าง Carl กับ Frank มันไม่ใช่แค่การไล่ล่าแบบขาวดำ แต่กลับมีความรู้สึกที่ซับซ้อนแฝงอยู่ ทั้งความชื่นชมในสติปัญญาของอีกฝ่าย และความเข้าใจในสถานการณ์ที่ทำให้ Frank ต้องทำแบบนั้น
บทภาพยนตร์ของ "Catch Me If You Can" ก็เป็นอีกจุดที่ผมต้องขอชื่นชมครับ การเล่าเรื่องทำได้ดีมากๆ ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด มีการสลับฉากระหว่างการไล่ล่าของ FBI กับการผจญภัยของ Frank ได้อย่างลงตัว ทำให้เราลุ้นไปกับทุกสถานการณ์ นอกจากนี้ บทสนทนายังมีความคมคาย มีไหวพริบ และแฝงไปด้วยอารมณ์ขัน ทำให้หนังดูสนุกเพลิดเพลินตลอดทั้งเรื่อง ผมชอบวิธีการที่ผู้กำกับ Spielberg นำเสนอเรื่องราว ทำให้เราเห็นว่า Frank ไม่ใช่แค่อาชญากร แต่เขาก็เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีความฝันและต้องการพิสูจน์ตัวเองในแบบของเขา
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้โดดเด่นคือ การออกแบบโปรดักชั่นและเครื่องแต่งกายครับ ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนกับยุค 60s และ 70s อย่างสมจริงมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน ยุคสมัย หรือแม้กระทั่งสไตล์การแต่งตัวของตัวละคร ทำให้เราอินไปกับบรรยากาศของยุคนั้นได้เป็นอย่างดี เพลงประกอบก็เข้ากับหนังมากๆ ครับ ฟังแล้วรู้สึกสนุก คึกคัก และเข้ากับโทนเรื่องได้เป็นอย่างดี
"Catch Me If You Can" ไม่ได้เป็นแค่หนังที่ดูสนุกนะครับ แต่ยังมีข้อคิดดีๆ แฝงอยู่หลายอย่างเลยครับ อย่างแรกเลยคือเรื่องของครอบครัว เราจะเห็นว่าปัญหาครอบครัวสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตของเด็กได้มากแค่ไหน และบางครั้งการกระทำที่ผิดกฎหมายก็อาจจะเกิดจากความต้องการที่อยากจะเติมเต็มบางสิ่งบางอย่างในชีวิตที่ขาดหายไป นอกจากนี้ หนังยังสอนให้เราเห็นถึงความสำคัญของความพยายาม การปรับตัว และการใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา ถึงแม้ว่า Frank จะใช้วิธีที่ผิด แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถและฉลาดมากๆ ครับ
สุดท้ายแล้ว "Catch Me If You Can" เป็นหนังที่ผมอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองดูครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนหนังแนวไหนก็ตาม เพราะมันเป็นหนังที่ครบเครื่องจริงๆ ทั้งการแสดงที่ยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ที่เข้มข้น การกำกับที่ไร้ที่ติ และข้อคิดดีๆ ที่ได้จากการรับชม ผมรับรองว่าคุณจะดูจบแล้วต้องยิ้มออกมากับความสนุกและความฉลาดของตัวละครอย่างแน่นอนครับ และถ้าดูจบแล้ว ใครมีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ หรือมีหนังเรื่องไหนอยากให้ผมรีวิวอีก ก็มาคุยกันได้เลยนะครับ ยินดีเสมอครับผม!