ผมย้ายเข้าคอนโดแห่งหนึ่งพร้อมลูกสาวหนึ่งคนเมื่อหกปีก่อน
หลังจากความรักพังทลายลงอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะภรรยาเก่า เลือกไปมีคนอื่น
ผมเหลือแค่ตัว กับลูก และเงินก้อนหนึ่งที่เก็บไว้เงียบๆ
ตั้งใจจะเอาไปสร้างวิมานแสนสุขให้กับครอบครัว
กลับกลายต้องมาเป็นห้องสตูดิโอเล็กๆ บนชั้นไม่สูง ของคอนโดสูงกลางเมือง
ทั้งครัว ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย ทุกอย่างรวมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
ใช้ทั้งนอน ทำงาน และเลี้ยงลูก
เหตุผลข้อเดียวที่เลือกคอนโดนี้ คือมันอยู่ใกล้ลูก
ลูกที่ยังต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวของภรรยาเก่า
ผมยังอยากให้ความอบอุ่นกับเด็กอนุบาลคนหนึ่ง
ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลยกับสิ่งที่แม่ของเธอทำ
มันคือการเริ่มต้นใหม่ที่ไม่มีความโรแมนติกอะไรเลย — ไม่มีเป้าหมาย มีแค่แรงจำเป็น
ผมขยาดกับการถูกทรยศ ไม่มองหาใคร ไม่ไขว่คว้าอะไรอีก
ทุกจังหวะของชีวิตมีแค่เธอ—ลูกสาววัยห้าขวบ
ผมให้เธอได้ทุกอย่าง ทั้งความรัก ทั้งเวลา ทั้งหัวใจ
ต่อให้มีใครบางคนผ่านเข้ามา เคยพยายามเปิดใจ
แต่สุดท้ายก็พบว่าไม่มีที่ว่างเหลือให้
เพราะทุกอย่างในชีวิตตอนนี้ มันเป็นของเธอคนเดียว
แต่ในระหว่างที่ใช้ชีวิตแบบนั้น—เรียบง่าย เงียบเหงา และปิดใจอยู่เงียบๆ
ผมก็ได้ "เจอ" ใครบางคน...โดยไม่ทันรู้ตัว
คอนโดเล็กๆ ห้องเรียงชิดกัน ชั้นเดียวกันนี่เอง
กลายเป็นสถานที่ที่ค่อยๆ ปลุกบางอย่างในใจผมให้ “ตื่น” ขึ้นมาอย่างเงียบงัน
เธออยู่ห้องฝั่งติดแม่น้ำ ห้องขนาดใหญ่แบบแยกสัดส่วน
ที่แค่แวบแรกเห็นจากลิฟต์ — ก็ดูรู้ทันทีว่าอบอุ่น เป็นระเบียบ สะอาด เรียบง่าย แต่มีรสนิยม
ผมเห็นเธอครั้งแรกตอนทิ้งขยะ เธอไม่เคยมองผมเลย
แต่ผมจำได้ทุกครั้งที่เธอเดินสวนกันตรงประตูห้องทิ้งขยะ ที่อยู่หน้าลิฟต์
เสื้อยืดเรียบๆ ใบหน้าเรียบเฉย ที่ไม่เคยเผยรอยยิ้มให้คนแปลกหน้า
และทรงผมที่เปลี่ยนเล็กน้อยไปตามฤดูกาล
นั่นคือจุดเริ่มต้นของความเงียบ
ผมไม่ได้ตกหลุมรักเธอทันที แต่เธอกลายเป็นเส้นบางๆ
ที่พาดผ่านวันธรรมดาของผมอย่างคงที่
ทิ้งขยะเวลาเดิม เดินออกจากห้องเวลาใกล้เคียงกัน
บ่อยครั้งที่เรายืนเงียบๆ รอลิฟต์ด้วยกันโดยไม่พูดอะไรเลย
ผมไม่เคยยิ้มให้เธอด้วยซ้ำ — เพราะกลัวจะทำให้เธออึดอัด
หรือแย่กว่านั้น... กลัวเธอจะไม่ยิ้มตอบ
เธอกลายเป็นภาพในความทรงจำที่ผมใช้เยียวยาตัวเองในวันที่เหนื่อยที่สุด
แค่เห็นเธอเดินถือถุงขยะสวนทางมา — มันก็เหมือนวันนั้นของผมมีชีวิตชีวาขึ้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง
ที่ผมเริ่มรู้ตัวว่าผมไม่ได้ "เห็นเธอผ่านๆ" อีกต่อไปแล้ว
ผม "มองเธออยู่ตลอดเวลา" โดยที่เธอไม่เคยรู้เลย
ผมจำชุดที่เธอใส่ได้ จำจังหวะเดินของเธอได้
และจำได้ว่า... มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอหายไปจากคอนโดหลายวัน
ผมรู้สึกเคว้งอย่างประหลาด
และนั่นคือวันที่ผมเริ่มถามตัวเองว่า — "เราชอบเขาจริงๆ แล้วใช่ไหม?"
แต่แทนที่จะเดินหน้า ผมกลับถอยหลัง
ผมเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว อยู่ห้องสตูดิโอเล็กๆ
ที่เวลาลูกหลับ ผมต้องค่อยๆ เดินเหมือนอยู่ในสนามทุ่นระเบิด
ส่วนเธอ...
อยู่ห้องขนาดใหญ่วิวแม่น้ำอีกมุมหนึ่งของคอนโด
ได้แสงแดดยามเช้าทุกวัน
เฝ้ามองเด็กๆ เล่นน้ำสระ
ตกกลางคืนก็เฝ้าคอยชมพลุริมน้ำ ที่จุดเฉลิมฉลองกันไม่ว่างเว้น
ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองดีพอจะคุยกับเธอ
และนั่นกลายเป็นแรงผลักประหลาด
ผมทำงานหนักขึ้น เก็บเงินมากขึ้น
สามปีต่อมา ผมได้ซื้อห้องแบบเดียวกับเธอ
ย้ายไปอีกชั้นหนึ่งในคอนโดแห่งเดิม
โอกาสในการบังเอิญกับเธอก็ลดน้อยลงไป
หลังจากที่ไม่ได้เจอเธออีกเลย ผมเริ่มคิดถึงเธอมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ความเงียบที่เคยเยียวยาผม เริ่มกลายเป็นความว่างเปล่า
ผมเริ่มอยากทำความรู้จักเธอให้มากกว่านั้น อยากรู้จักเธอจริงๆ สักครั้ง
ไม่ใช่แค่ผ่านการเดินสวน หรือการยืนรอลิฟต์เงียบๆ
ผมรวบรวมความกล้าทั้งชีวิต
กดเพิ่มเพื่อนในทุกช่องทางโซเชียล
ผมไม่รู้ว่าเธอจะจำผมได้ไหม ไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร
แต่ผมเฝ้ารอ... อย่างเงียบๆ
ผมเคยพิมพ์ข้อความค้างไว้นานมาก...
ข้อความสั้นๆ ที่ว่า
“ไม่ทราบว่าใช่คนที่เจอกันบ่อยๆ ที่ชั้น ไหมครับ”
มันค้างอยู่ในช่องพิมพ์นานหลายเดือน
ไม่เคยกดส่ง
ไม่ใช่เพราะกลัวคำตอบ
แต่เพราะกลัวจะไปรบกวนอะไรบางอย่างในชีวิตของเธอ
จนวันหนึ่ง ตอนนั่งกินข้าวอยู่กับญาติคนหนึ่ง
เราคุยสัพเพเหระ หัวเราะกันเรื่องอดีตและความรัก
ญาติคนนั้นรู้เรื่องนี้เข้า
แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ผมขึ้นมาโดยไม่บอก
และกดส่งข้อความนั้นออกไป แทนผมที่ไม่เคยมีความกล้ามากพอ
เงียบ...
ไม่มีเสียงตอบกลับ
ไม่มีแม้แต่เครื่องหมายว่าเธอเปิดอ่าน
ไม่มีการตอบรับจากทางไหนเลย
ไม่มีแม้แต่เงาของการเห็น
วัน สองวัน ผ่านไป
กลายเป็นหลายสัปดาห์
ผมตัดสินใจยกเลิกคำขอทุกทาง
ค่อยๆ ถอยออกมาเงียบๆ อย่างที่เข้ามา
เพราะเข้าใจว่า... บางประตู ถึงอยากเคาะแค่ไหน
มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเปิดให้เราเข้าไปเสมอ
แต่สุดท้าย ผมดันลืมยกเลิกอีกหนึ่งช่างทาง ที่ผมเคยกดติดตามไว้ ยังค้างอยู่ตรงนั้น
เหมือนรอยบางๆ จากความกล้าเพียงชั่วขณะ
ที่ผมลืม และมันปล่อยให้อยู่แบบนั้น โดยไม่ได้คาดหวังอะไรอีก
แล้ววันหนึ่ง...
วันที่แผ่นดินไหว
แรงสั่นที่รุนแรงที่ทำให้ทั้งอาคารทั้งกรุงเทพฯ เสียหาย
ทำให้คอนโดต้องตามวิศวกรขึ้นมาตรวจพื้นโครงสร้างทุกชั้น
ผมอาสาพาเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจโถงทางเดินของคอนโดทุกชั้น รวมถึงชั้นที่ผมอยู่
ระหว่างที่กำลังเดินผ่านห้องของเธอ — ประตูเปิดออกอย่างไม่คาดฝัน
เธออยู่ตรงนั้น
ใส่เสื้อยืดคอกลมสีแดง ดูสบายๆ กางเกงเรียบๆสีดำ ปล่อยผมสยาย หน้าสดแต่สวยแบบไม่พยายาม แต่เหมือนเคย หน้าของเธอไม่เคยมีรอยยิ้ม
เธอเงยหน้าขึ้นมา — แล้วมองตรงมาที่ผม... ครั้งแรกในชีวิต
เพียงเสี้ยววินาทีนั้น ทุกเสียงในหัวของผมเงียบลงทันที”
รักเงียบชั้นเดียวกัน
หลังจากความรักพังทลายลงอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะภรรยาเก่า เลือกไปมีคนอื่น
ผมเหลือแค่ตัว กับลูก และเงินก้อนหนึ่งที่เก็บไว้เงียบๆ
ตั้งใจจะเอาไปสร้างวิมานแสนสุขให้กับครอบครัว
กลับกลายต้องมาเป็นห้องสตูดิโอเล็กๆ บนชั้นไม่สูง ของคอนโดสูงกลางเมือง
ทั้งครัว ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย ทุกอย่างรวมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
ใช้ทั้งนอน ทำงาน และเลี้ยงลูก
เหตุผลข้อเดียวที่เลือกคอนโดนี้ คือมันอยู่ใกล้ลูก
ลูกที่ยังต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวของภรรยาเก่า
ผมยังอยากให้ความอบอุ่นกับเด็กอนุบาลคนหนึ่ง
ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลยกับสิ่งที่แม่ของเธอทำ
มันคือการเริ่มต้นใหม่ที่ไม่มีความโรแมนติกอะไรเลย — ไม่มีเป้าหมาย มีแค่แรงจำเป็น
ผมขยาดกับการถูกทรยศ ไม่มองหาใคร ไม่ไขว่คว้าอะไรอีก
ทุกจังหวะของชีวิตมีแค่เธอ—ลูกสาววัยห้าขวบ
ผมให้เธอได้ทุกอย่าง ทั้งความรัก ทั้งเวลา ทั้งหัวใจ
ต่อให้มีใครบางคนผ่านเข้ามา เคยพยายามเปิดใจ
แต่สุดท้ายก็พบว่าไม่มีที่ว่างเหลือให้
เพราะทุกอย่างในชีวิตตอนนี้ มันเป็นของเธอคนเดียว
แต่ในระหว่างที่ใช้ชีวิตแบบนั้น—เรียบง่าย เงียบเหงา และปิดใจอยู่เงียบๆ
ผมก็ได้ "เจอ" ใครบางคน...โดยไม่ทันรู้ตัว
คอนโดเล็กๆ ห้องเรียงชิดกัน ชั้นเดียวกันนี่เอง
กลายเป็นสถานที่ที่ค่อยๆ ปลุกบางอย่างในใจผมให้ “ตื่น” ขึ้นมาอย่างเงียบงัน
เธออยู่ห้องฝั่งติดแม่น้ำ ห้องขนาดใหญ่แบบแยกสัดส่วน
ที่แค่แวบแรกเห็นจากลิฟต์ — ก็ดูรู้ทันทีว่าอบอุ่น เป็นระเบียบ สะอาด เรียบง่าย แต่มีรสนิยม
ผมเห็นเธอครั้งแรกตอนทิ้งขยะ เธอไม่เคยมองผมเลย
แต่ผมจำได้ทุกครั้งที่เธอเดินสวนกันตรงประตูห้องทิ้งขยะ ที่อยู่หน้าลิฟต์
เสื้อยืดเรียบๆ ใบหน้าเรียบเฉย ที่ไม่เคยเผยรอยยิ้มให้คนแปลกหน้า
และทรงผมที่เปลี่ยนเล็กน้อยไปตามฤดูกาล
นั่นคือจุดเริ่มต้นของความเงียบ
ผมไม่ได้ตกหลุมรักเธอทันที แต่เธอกลายเป็นเส้นบางๆ
ที่พาดผ่านวันธรรมดาของผมอย่างคงที่
ทิ้งขยะเวลาเดิม เดินออกจากห้องเวลาใกล้เคียงกัน
บ่อยครั้งที่เรายืนเงียบๆ รอลิฟต์ด้วยกันโดยไม่พูดอะไรเลย
ผมไม่เคยยิ้มให้เธอด้วยซ้ำ — เพราะกลัวจะทำให้เธออึดอัด
หรือแย่กว่านั้น... กลัวเธอจะไม่ยิ้มตอบ
เธอกลายเป็นภาพในความทรงจำที่ผมใช้เยียวยาตัวเองในวันที่เหนื่อยที่สุด
แค่เห็นเธอเดินถือถุงขยะสวนทางมา — มันก็เหมือนวันนั้นของผมมีชีวิตชีวาขึ้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง
ที่ผมเริ่มรู้ตัวว่าผมไม่ได้ "เห็นเธอผ่านๆ" อีกต่อไปแล้ว
ผม "มองเธออยู่ตลอดเวลา" โดยที่เธอไม่เคยรู้เลย
ผมจำชุดที่เธอใส่ได้ จำจังหวะเดินของเธอได้
และจำได้ว่า... มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอหายไปจากคอนโดหลายวัน
ผมรู้สึกเคว้งอย่างประหลาด
และนั่นคือวันที่ผมเริ่มถามตัวเองว่า — "เราชอบเขาจริงๆ แล้วใช่ไหม?"
แต่แทนที่จะเดินหน้า ผมกลับถอยหลัง
ผมเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว อยู่ห้องสตูดิโอเล็กๆ
ที่เวลาลูกหลับ ผมต้องค่อยๆ เดินเหมือนอยู่ในสนามทุ่นระเบิด
ส่วนเธอ...
อยู่ห้องขนาดใหญ่วิวแม่น้ำอีกมุมหนึ่งของคอนโด
ได้แสงแดดยามเช้าทุกวัน
เฝ้ามองเด็กๆ เล่นน้ำสระ
ตกกลางคืนก็เฝ้าคอยชมพลุริมน้ำ ที่จุดเฉลิมฉลองกันไม่ว่างเว้น
ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองดีพอจะคุยกับเธอ
และนั่นกลายเป็นแรงผลักประหลาด
ผมทำงานหนักขึ้น เก็บเงินมากขึ้น
สามปีต่อมา ผมได้ซื้อห้องแบบเดียวกับเธอ
ย้ายไปอีกชั้นหนึ่งในคอนโดแห่งเดิม
โอกาสในการบังเอิญกับเธอก็ลดน้อยลงไป
หลังจากที่ไม่ได้เจอเธออีกเลย ผมเริ่มคิดถึงเธอมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ความเงียบที่เคยเยียวยาผม เริ่มกลายเป็นความว่างเปล่า
ผมเริ่มอยากทำความรู้จักเธอให้มากกว่านั้น อยากรู้จักเธอจริงๆ สักครั้ง
ไม่ใช่แค่ผ่านการเดินสวน หรือการยืนรอลิฟต์เงียบๆ
ผมรวบรวมความกล้าทั้งชีวิต
กดเพิ่มเพื่อนในทุกช่องทางโซเชียล
ผมไม่รู้ว่าเธอจะจำผมได้ไหม ไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร
แต่ผมเฝ้ารอ... อย่างเงียบๆ
ผมเคยพิมพ์ข้อความค้างไว้นานมาก...
ข้อความสั้นๆ ที่ว่า
“ไม่ทราบว่าใช่คนที่เจอกันบ่อยๆ ที่ชั้น ไหมครับ”
มันค้างอยู่ในช่องพิมพ์นานหลายเดือน
ไม่เคยกดส่ง
ไม่ใช่เพราะกลัวคำตอบ
แต่เพราะกลัวจะไปรบกวนอะไรบางอย่างในชีวิตของเธอ
จนวันหนึ่ง ตอนนั่งกินข้าวอยู่กับญาติคนหนึ่ง
เราคุยสัพเพเหระ หัวเราะกันเรื่องอดีตและความรัก
ญาติคนนั้นรู้เรื่องนี้เข้า
แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ผมขึ้นมาโดยไม่บอก
และกดส่งข้อความนั้นออกไป แทนผมที่ไม่เคยมีความกล้ามากพอ
เงียบ...
ไม่มีเสียงตอบกลับ
ไม่มีแม้แต่เครื่องหมายว่าเธอเปิดอ่าน
ไม่มีการตอบรับจากทางไหนเลย
ไม่มีแม้แต่เงาของการเห็น
วัน สองวัน ผ่านไป
กลายเป็นหลายสัปดาห์
ผมตัดสินใจยกเลิกคำขอทุกทาง
ค่อยๆ ถอยออกมาเงียบๆ อย่างที่เข้ามา
เพราะเข้าใจว่า... บางประตู ถึงอยากเคาะแค่ไหน
มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเปิดให้เราเข้าไปเสมอ
แต่สุดท้าย ผมดันลืมยกเลิกอีกหนึ่งช่างทาง ที่ผมเคยกดติดตามไว้ ยังค้างอยู่ตรงนั้น
เหมือนรอยบางๆ จากความกล้าเพียงชั่วขณะ
ที่ผมลืม และมันปล่อยให้อยู่แบบนั้น โดยไม่ได้คาดหวังอะไรอีก
แล้ววันหนึ่ง...
วันที่แผ่นดินไหว
แรงสั่นที่รุนแรงที่ทำให้ทั้งอาคารทั้งกรุงเทพฯ เสียหาย
ทำให้คอนโดต้องตามวิศวกรขึ้นมาตรวจพื้นโครงสร้างทุกชั้น
ผมอาสาพาเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจโถงทางเดินของคอนโดทุกชั้น รวมถึงชั้นที่ผมอยู่
ระหว่างที่กำลังเดินผ่านห้องของเธอ — ประตูเปิดออกอย่างไม่คาดฝัน
เธออยู่ตรงนั้น
ใส่เสื้อยืดคอกลมสีแดง ดูสบายๆ กางเกงเรียบๆสีดำ ปล่อยผมสยาย หน้าสดแต่สวยแบบไม่พยายาม แต่เหมือนเคย หน้าของเธอไม่เคยมีรอยยิ้ม
เธอเงยหน้าขึ้นมา — แล้วมองตรงมาที่ผม... ครั้งแรกในชีวิต
เพียงเสี้ยววินาทีนั้น ทุกเสียงในหัวของผมเงียบลงทันที”