ทำไมอาชญาวิทยาถึงเพิ่งมาดังในไทย ทั้งๆที่มีมา 200 ปีแล้ว

1. อาชญาวิทยาเป็นศาสตร์ที่ซับซ้อนกว่าที่เราคิดมากเลยนะคะ ไม่ใช่แค่การมองว่าอาชญากรเป็นคนชั่วที่ต้องได้รับการลงโทษเท่านั้น แต่ต้องทำความเข้าใจถึงความผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่บิดเบี้ยวซึ่งผลักดันให้คนคนหนึ่งกระทำความผิดด้วยค่ะ ศาสตร์นี้พยายามอธิบายถึงสาเหตุของการกระทำความผิดตั้งแต่จุดเริ่มต้น โดยครอบคลุมมิติทางกายภาพ จิตวิทยา และสังคม เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมคนๆ หนึ่งถึงเริ่มกระทำความผิดตั้งแต่แรก นี่จึงเป็นเหตุผลที่การทำความเข้าใจอาชญากรรมไม่สามารถใช้เพียงแค่นิติศาสตร์หรือจิตวิทยาอย่างเดียวได้ แต่ต้องนำอาชญาวิทยามาเสริมเพื่อให้เข้าใจที่มา การป้องกัน และสาเหตุอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นค่ะ

2. ในประเทศไทย คำว่า อาชญาวิทยา อาจจะเพิ่งถูกพูดถึงอย่างมากในช่วง 2-3 ปีนี้เท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงที่พีคที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่จริงๆ แล้วศาสตร์นี้มีมานานมากแล้วทั่วโลก ประมาณ 200 ปีแล้วค่ะ โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรป ที่มันเริ่มเป็นที่รู้จักในไทยมากขึ้นในช่วงหลังนี้ก็เพราะว่า นักอาชญาวิทยาเริ่มเข้ามามีบทบาทในการวิเคราะห์คดี ให้ความเห็นด้านพฤติกรรม การกระทำความผิด และการป้องกันอาชญากรรมในสื่อต่างๆ มากขึ้น ทำให้คำนี้กลายเป็นที่น่าสนใจและได้ยินบ่อยในหมู่ผู้ชม จนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการคลี่คลายข้อสงสัยและไขคดีได้ด้วยนะคะ

3. อาชญาวิทยาในมิติของสังคมศาสตร์จะช่วยให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นมากเลยค่ะ เช่น การทำความเข้าใจว่าทำไมการที่ชุมชนแออัดกระจุกตัวอยู่รวมกันถึงทำให้อาชญากรรมเพิ่มสูงขึ้น ศาสตร์นี้จะช่วยอธิบายในแง่ของทั้งมิติทางกายภาพ สังคม และสถาบันครอบครัว ต่างจากการศึกษาเพียงแค่ตัวอักษรหรือกฎหมายอย่างเดียว ทำให้เรื่องอาชญากรรมที่ดูเหมือนไกลตัวกลายเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและทุกคนเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเผชิญในชีวิตประจำวันอยู่แล้วค่ะ

4. การทำความเข้าใจอาชญากรรมต้องมองถึงองค์ประกอบหลักๆ 3 ส่วนเลยค่ะ คือ ตัวผู้กระทำผิด เหยื่อ และสภาพแวดล้อม อาชญาวิทยาจะเน้นการอธิบายถึงสาเหตุตั้งต้นของการเกิดอาชญากรรม แต่อีกมิติหนึ่งที่สำคัญและไม่ค่อยถูกพูดถึงเท่าไหร่ก็คือ มิติของเหยื่อ ซึ่งจะมีวิชาแยกออกมาโดยเฉพาะ เรียกว่า เหยื่อวิทยา (Victimology) ศาสตร์นี้จะช่วยให้เราทำความเข้าใจเหยื่อโดยเฉพาะเลยค่ะ เช่น ทำไมเหยื่อบางคนถึงตกเป็นเหยื่อซ้ำๆ หรือทำไมเหยื่อถึงมีความเปราะบาง

5. การศึกษาเหยื่อโดยเฉพาะอย่างเหยื่อวิทยาช่วยให้เราตั้งคำถามได้ลึกซึ้งขึ้นถึงจุดตั้งต้นของการตกเป็นเหยื่อ เช่น กรณีความรุนแรงในครอบครัว ที่เหยื่อเพศหญิงจำนวนมากมักจะหาแฟนที่ทำร้ายร่างกายตัวเองซ้ำๆ แม้จะเลิกกับคนเก่าไปแล้ว แทนที่เราจะมุ่งเน้นไปที่ผู้กระทำผิดเพียงอย่างเดียว เราควรหันมามองที่เหยื่อว่ามีความเปราะบางตรงไหน ความเปราะบางของเหยื่อมีหลายแบบมากเลยนะคะ เช่น เป็นเพศหญิง เป็นเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือผู้ที่มีสภาพจิตใจที่เปราะบางมากๆ เช่น เพิ่งล้มละลาย เพิ่งตกงาน เป็นโรคซึมเศร้า หรือเป็นหนี้

6. เหยื่อที่มีสภาพจิตใจเปราะบางจะมีความเสี่ยงที่จะถูกชักจูงหรือโน้มน้าวได้ง่ายกว่าคนทั่วไปมากเลยค่ะ เพราะสภาพจิตใจของพวกเขาอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าคนปกติ ทำให้เชื่อคนง่ายและอาจจะไหลไปตามการชักจูงของผู้กระทำผิดได้ง่ายขึ้น อาจารย์ตฤณท่านเล่าว่า จริงๆ แล้วท่านไม่ได้ตั้งใจจะเข้าสู่ศาสตร์อาชญาวิทยาตั้งแต่แรก แต่เหมือนเป็นการจับพลัดจับผลูมากกว่าค่ะ ท่านชอบดูหนังตำรวจจับผู้ร้าย ชอบหนังฮีโร่มาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ไม่ได้รู้ตัวว่าสิ่งที่สนใจนี้คืออาชญาวิทยา

7. อาจารย์ตฤณท่านเติบโตมาในครอบครัวตำรวจค่ะ ทำให้คุ้นเคยกับการยิงปืน การสอบสวน การสืบสวน และการสังเกตสิ่งต่างๆ มาตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งคุณปู่และคุณพ่อของท่านก็เป็นตำรวจ พอมีคนถามตอนเด็กว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ท่านก็จะตอบว่าอยากเป็นตำรวจ เพราะเป็นอาชีพที่เห็นอยู่ในสายตาตลอด และดูเท่ดีจากการดูหนัง ซึ่งหลังจากเรียนจบปริญญาตรี ท่านก็ได้เป็นตำรวจจริงๆ ตามความตั้งใจเลยค่ะ

8. ตอนเด็กๆ อาจารย์ตฤณไม่ใช่เด็กที่เกเร แต่เป็นเด็กที่ ซน มากๆ ค่ะ ชอบเล่นนอกห้องเรียน ชอบเล่นแมลง เล่นด้วงชนกัน ซึ่งเป็นวิถีชีวิตแบบบ้านนอกเพราะท่านโตที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบวิชาการในห้องเรียนเท่าไหร่ แต่ท่านเป็นคนหัวดี มีความจำดี แต่ไม่ขยัน เพราะชอบเล่นมากกว่า อย่างไรก็ตาม จุดแข็งที่ท่านมีคือความชอบเรียนรู้ ชอบสังเกต และชอบตั้งคำถามแปลกๆ อยู่เสมอค่ะ

9. ความชอบตั้งคำถามของอาจารย์ตฤณเริ่มมาตั้งแต่เด็กๆ เลยนะคะ คำถามที่ท่านตั้งบ่อยๆ คือ ทำไมเราต้องตัดหางลูกหมา คำถามนี้แสดงให้เห็นมุมมองที่มองข้ามความสวยงามของผู้เลี้ยงไปสู่สิทธิและธรรมชาติของสัตว์ ท่านมองว่าการตัดหางสุนัขบางสายพันธุ์เพื่อความสวยงามตามความต้องการของผู้เลี้ยงนั้น เป็นการพรากสิทธิ์อะไรไปจากสุนัขหรือเปล่า คำถามแนวนี้สะท้อนให้เห็นว่าท่านชอบคิดในเชิงปรัชญาและพยายามหาเหตุผลที่ซับซ้อนมากกว่าแค่คำตอบที่ผิวเผินมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ

10. แม้แต่คำถามยากๆ ที่ตั้งขึ้นในวัยเด็ก บางครั้งพ่อแม่ก็ไม่สามารถตอบได้ทั้งหมด แต่เมื่อท่านเติบโตขึ้นและเข้าเรียนในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา สาขาวิจัย ก็ทำให้ท่านเริ่มมีแหล่งความรู้และช่องทางในการหาคำตอบได้มากขึ้นค่ะ เดิมทีท่านคิดว่าการเรียนสายสังคมจะช่วยให้หนีเรื่องตัวเลขได้ เพราะท่านไม่ชอบเลขและวิทยาศาสตร์ แต่กลับกลายเป็นว่าการเรียนวิจัยต้องเรียนสถิติและตัวเลขด้วย ทำให้ท่านยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดคาดไปเลยนะคะ

11. อาจารย์ตฤณเลือกที่จะเป็นนักวิจัยแนวเชิงคุณภาพค่ะ นั่นหมายความว่าท่านไม่ได้เน้นการเก็บตัวเลขหรือสถิติเพื่อหาคำตอบ แต่จะใช้วิธีการสอบถาม สัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดของกรณีศึกษาแต่ละราย ครั้งแรกที่ท่านได้เข้าเก็บข้อมูลภาคสนามตอนเรียนปริญญาตรีคือการเข้าไปสัมภาษณ์ผู้ต้องขังที่เรือนจำจังหวัดอ่างทอง การพูดคุยกับผู้ต้องขัง ผู้ป่วยจิตเวช หรือผู้ที่สังคมมองว่าเป็นคนชายขอบและคนเบี่ยงเบน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ท่านสนใจศาสตร์นี้อย่างลึกซึ้งเลยค่ะ

12. โลกหลังลูกกรงหรือเรือนจำ เป็นโลกที่น้อยคนนักจะได้เข้าถึงอย่างแท้จริง ในฐานะนักวิจัยสังคมวิทยา อาจารย์จะไม่ได้ถามแค่ว่าชีวิตหลังเรือนจำต่างจากข้างนอกอย่างไร แต่จะมองลึกไปถึงว่าทำไมชีวิตของพวกเขาถึงเบี่ยงเบนจนเข้าสู่การกระทำความผิด ท่านติดตามชีวิตกรณีศึกษาประมาณ 8 คน เป็นเวลากว่าครึ่งปี และสัมภาษณ์ซ้ำๆ หลายครั้ง เพื่อถอดรูปแบบความคิดออกมาว่าพวกเขาเติบโตมาแบบไหน ทำไมจึงทำแบบนั้น ซึ่งกระบวนการนี้เป็นการถอดบทเรียนจากชีวิตจริงของพวกเขาตั้งแต่ต้นทางเลยค่ะ

13. การเข้าถึงข้อมูลจากผู้ต้องขังไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ เพราะพวกเขาไม่ใช่คนที่เราคุยด้วยได้ตั้งแต่แรก อาจารย์ต้องพยายามละลายพฤติกรรม ชวนคุยหลายครั้ง เพื่อให้ผู้ต้องขังรู้สึกสบายใจและเปิดใจเล่าเรื่องราวของตัวเองออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด บางคนที่มีโลกส่วนตัวสูงก็จะรักษาระยะห่างกับผู้ให้ข้อมูล นอกจากนี้ เรื่องที่พวกเขาเล่าบางครั้งก็อาจจะไม่จริง เราต้องสังเกตและแยกแยะด้วยว่าทำไมพวกเขาถึงรู้สึกอึดอัดที่จะเล่าเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องกลับเล่าได้อย่างสบายใจ ซึ่งต้องอาศัยการค้นหาคำตอบทั้งมิติทางจิตใจ สังคม และสภาพแวดล้อมค่ะ

14. หลังจากจบปริญญาตรีและเป็นตำรวจตามความฝันแล้ว อาจารย์ตฤณท่านรับราชการที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลอยู่ประมาณ 6-7 ปี ท่านค้นพบว่าภาพของตำรวจที่ท่านวาดฝันไว้ไม่ตรงกับความเป็นจริงที่เจอในระบบการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องระบบเส้นสาย ระบบความไม่ชอบธรรม และการเมืองในอาชีพตำรวจ ท่านรู้สึกว่าการทำงานควรดูที่เนื้อหาและความสามารถเป็นหลัก ความไม่พอใจเหล่านี้ทำให้ท่านอยากรู้เบื้องหลังของอาชญากรรมมากขึ้น แทนที่จะทำงานตำรวจต่อ จึงตัดสินใจลาออกไปเรียนต่อค่ะ

15. การตัดสินใจไปเรียนต่อของท่านเป็นการเปลี่ยนสายอย่างชัดเจน โดยเลือกเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์ สาขาอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม ที่ประเทศอังกฤษ ทั้งที่ตอนเด็กท่านบอกว่าไม่ชอบวิชาการเลย แต่พอเป็นสิ่งที่อยากรู้จริงๆ ก็ทำให้ท่านเต็มใจที่จะเรียน ท่านค้นพบตัวเองว่าชอบวิชานี้มากๆ ตอนอยู่ที่อังกฤษ และที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้านี้คำว่า นักอาชญาวิทยา แทบไม่มีใครรู้จักในไทยเลย

16. ศาสตร์อาชญาวิทยาในต่างประเทศนั้นมีความก้าวหน้าและเป็นที่ยอมรับมานานมากแล้วค่ะ ต้นกำเนิดย้อนไปถึงศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นยุคแรกๆ ที่เริ่มทำความเข้าใจอาชญากรในมิติของวิทยาศาสตร์ ในอดีตมีการใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการศึกษาอาชญากร เช่น การวัดรอบศีรษะ วัดร่างกาย หรือดูสภาพเส้นขนและเส้นผม เพื่อดูว่ามีความแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างไร นี่คือการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของตัวอาชญากรที่เริ่มมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เลยค่ะ

17. การไปเรียนปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษทำให้ท่านได้เปิดหูเปิดตาและได้รับมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับงานตำรวจ ราชทัณฑ์ และผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยาที่แตกต่างจากไทย สิ่งที่น่าตื่นเต้นอย่างหนึ่งในวิธีการเรียนรู้ของที่นั่นคือ การนำนักโทษจริงๆ มาสอนในห้องเรียน เพื่อเล่าเรื่องราวภายในเรือนจำ แถมอาจารย์บางท่านที่สอนยังมีรอยสักเต็มตัว แต่กลับได้รับความเคารพจากคุณค่าของสิ่งที่ทำ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก

18. ประสบการณ์ที่อังกฤษสอนให้อาจารย์ตฤณได้เห็นคุณค่าของตัวบุคคลและอัตลักษณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสภาพที่เราเห็นภายนอก คือการให้คุณค่าที่ตัวบุคคลนั้นเป็น (what you are) ไม่ใช่ที่รูปลักษณ์ (what you look like) ท่านมองว่าไม่จำเป็นต้องแต่งตัวใส่สูทผูกไทด์ถึงจะเป็นอาจารย์ นี่จึงเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญมากที่ทำให้ท่านได้เห็นคุณค่าของตัวตนที่แท้จริงของผู้คน

19. หลังจากกลับจากเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ ท่านกลับมาเป็นตำรวจอีกประมาณ 2 ปี เพื่อชดใช้เวลาลา ก่อนที่จะลาออกเพื่อมาเรียนต่อปริญญาเอกที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระหว่างที่เรียนเอก ท่านก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางของการเป็นนักอาชญาวิทยาเต็มตัว ท่านรู้สึกว่าตัวเองน่าจะเหมาะกับงานสายสอนหนังสือมากกว่า ก่อนจะมาเป็นอาจารย์เต็มตัว ท่านเคยเป็นอาจารย์พิเศษ และเคยทำงานเป็นผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจที่สถานทูตอิตาลี โดยได้ทำงานสอบสวนร่วมกับตำรวจสากลอยู่ 2 ปีด้วยค่ะ

20. ความซับซ้อนของอาชญากรรมในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามยุคสมัยและเทคโนโลยี เมื่อความสามารถของเจ้าหน้าที่ดีขึ้น มิจฉาชีพก็ต้องพลิกแพลงและใช้กลเม็ดใหม่ๆ อยู่เสมอ หากใช้แผนเดิมๆ ก็จะถูกจับได้ง่าย นี่จึงเป็นเหตุผลที่อาชญาวิทยาเข้ามามีบทบาทในการช่วยตอบคำถามและคลี่คลายปมเหล่านี้ เพื่อให้ประชาชน เจ้าหน้าที่ และสังคมเข้าใจถึงอาชญากรรมที่เกิดขึ้นได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นค่ะ

CR https://www.facebook.com/share/1FpseeVVt1/?mibextid=wwXIfr
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่