เรื่องนี้แหกพล็อตเดิมๆนิดหน่อย ตรงที่ว่าพระเอกทะลุมิติมาเป็นตัวร้ายของเรื่องแบบใครๆก็กลัว แต่ด้วยความที่มันรู้ว่าบททรงนี้ต้องตายหรือแพ้ตัวเอิกของเรื่องนี้แน่ๆ มันเลยต้องทำอะไรซักอย่าง ก็เลยใช้ความฉลาดแกมโกงที่มีเล่นงานทุกคนที่คิดว่าจะขัดขวางความเจริญ
มันแสบสุดๆพระเอกอ่ะ ไม่ผิดหวังในความปั่นแน่นอน
มีมาให้ลองอ่านตอนที่ 1 ดูนะครับ
แล้วไปตามตอนอื่นได้
https://kawebook.co/H5se
ชื่อตอน : เล่มที่ 1 ตอนที่ 1 บุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์นามกู้ฉางเกอ
ตอนที่ 1 บุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์นามกู้ฉางเกอ
“สำนักศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในหกสำนักศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่แห่งดินแดนตงฮวง[1]
นี่น่ะหรือคือโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเจ้า อาศัยอำนาจบารมีรังแกผู้คน วิ่งเต้นประจบสอพลอ
จนถึงกับต้องบีบบังคับผลักดันบุตรสาวของตนลงเข้าสู่กองเพลิงอย่างไร้เมตตา”
“ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกท่านไม่เคยแม้แต่จะถามไถ่สักคำ ว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผู้นั้นให้ความยินยอมหรือไม่ วันนี้ข้าจะมาทวงความยุติธรรมนี้คืนให้กับนางเอง”
“ส่วนฐานะศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนั้น ข้าขอคืนให้พวกท่าน บัดนี้ข้าไม่ต้องการมันอีกต่อไป”
“แต่ขอจงจำเอาไว้ว่า ความอัปยศที่ข้าได้รับในวันนี้ อีกไม่นานข้าเย่เฉิน จะต้องทวงคืนให้สาสมในวันหน้า”
ภายในมหาวิหารอันงดงามตระการตา บรรยากาศภายในแออัดแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
และเสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าอันหล่อเหลาสง่างาม
แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ กำลังยืนกำหมัดแน่น เขาตะโกนออกมาด้วยเสียงอันกราดเกรี้ยวแสดงความโกรธแค้นไม่พอใจ
ชายหนุ่มผู้นี้มีนามว่าเย่เฉิน ซึ่งเป็นศิษย์ภายในของสำนักแห่งนี้
“บังอาจ! เจ้าเป็นแค่ศิษย์ภายในธรรมดาแต่คิดเหิมเกริมต่อต้านท่านเจ้าสำนักเช่นนั้นหรือ หรือเจ้าจะไม่อยากมีชีวิตต่ออีกแล้ว”
เสียงของผู้อาวุโสประจำสำนักซึ่งยืนอยู่ด้านข้างดังขึ้น พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่รังสีออกมา
ใบหน้ากลับเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำด้วยความโกรธ เสียงคำรามของเขาดังกึกก้องไปทั่วมหาวิหาร ราวกับจะดับเสียงเย่เฉินให้จมหายไปในความเงียบ
สถานที่สำคัญแห่งนี้เป็นมหาวิหารของสำนักศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน หนึ่งในหกสำนักศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่แห่งดินแดนตงฮวง
ย่อมไม่ใช่ที่ที่ศิษย์ธรรมดาจะมาบังอาจกระทำตนเยี่ยงนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้ยังเป็นวันสำคัญของพิธีสถาปนาศิษย์เอกแห่งสำนัก ผู้มีอำนาจมากมายจากหลากหลายสำนักใหญ่ต่างได้รับเชิญมาร่วมงาน
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นมาร่วมชมละครตลกฉากหนึ่งร่วมกัน หากไม่ติดที่จะต้องรักษาหน้าตาของสำนักไว้
ผู้อาวุโสท่านนั้นคงจะตบศิษย์น้อยผู้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้ไปนานแล้ว
ภายในมหาวิหาร เหล่าศิษย์ภายในและศิษย์เอกต่างกำลังจับกลุ่มกระซิบกระซาบชี้นิ้วพูดคุยกันเสียงดัง
พร้อมจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าอันแกร่งกล้าด้วยสายตาราวกับมองคนบ้าเสียสติ
“เจ้าเย่เฉินนี่เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร กล้าดีอย่างไรถึงมาพูดเรื่องพวกนี้กลางมหาวิหาร”
“แม้ว่าฝีมือของเขาในหมู่ศิษย์ฝ่ายในจะโดดเด่นอยู่บ้าง ถึงกับเคยได้ยินมาว่ามีผู้อาวุโสท่านหนึ่งอยากรับเขาเป็นศิษย์เอก
แต่ตอนนี้ดูท่าจะไม่มีหวังเสียแล้ว” มีผู้เอ่ยคำพูดเย้ยหยันอย่างอดไม่อยู่
“ข้าเห็นว่าเขาคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้วกระมัง หากทำให้บุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นโกรธขึ้นมา
เกรงว่าทั้งสำนักไท่เสวียนของเราคงจะต้องเดือดร้อนแน่” ศิษย์เอกอีกคนพูดขึ้นด้วยความโกรธขณะเดียวกันก็แอบซ่อนความกังวลไว้ในใจ
หากการกระทำของเย่เฉินเมื่อครู่ทำให้ท่านผู้นั้นไม่พอใจขึ้นมา เกรงว่าผลลัพธ์อาจไม่ใช่แค่สำนักไท่เสวียนที่จะต้องล่มจมเพียงเท่านั้น...
แต่ทั้งแผ่นดินตงฮวงเองก็คงต้องพินาศไปด้วย
ศิษย์เอกผู้นั้นรู้สึกโกรธจนอยากจะลงมือสังหารเย่เฉินด้วยตนเองให้รู้แล้วรู้รอด
ขณะเดียวกัน บรรดาเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์จากตระกูลใหญ่ที่มาร่วมงานในวันนี้ ต่างก็มีท่าทีสนุกสนานกับการชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แน่นอนว่าหลายคนมองดูศิษย์ภายในเย่เฉินราวกับดูตัวตลก
ศิษย์ภายในตัวเล็กๆ มีอะไรให้ทำมากมาย
แต่กลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับท่านเจ้าสำนักไท่เสวียนในเวลานี้
“เจ้ามีนามว่าเย่เฉินใช่หรือไม่ ข้าจำเจ้าได้ เจ้ามาจากเขตเทียนชิง สถานที่เล็กๆ ท่ามกลางการสู้รบในสงครามอาณาจักรนับร้อยครั้ง กระทั่งในวันนี้เจ้ามีโอกาสเข้ามาเป็นศิษย์ของสำนักไท่เสวียนเราได้...”
“แต่ตอนนี้ เจ้ากลับมาบอกกับข้าว่า เจ้าต้องการจะสละฐานะศิษย์ของสำนักไท่เสวียนงั้นหรือ”
และในขณะนั้นเอง เสียงทรงอำนาจดังก้องจากกลางมหาวิหาร ชายวัยกลางคนผู้สง่างามที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดกล่าวขึ้น
แววตาของเขาส่องประกายสีทองราวกับทะลุทะลวงจิตใจผู้คน ลมหายใจที่สะท้อนความแข็งแกร่งลึกล้ำดุจห้วงมหาสมุทรเผยออกมาอย่างไม่ต้องพยายาม ก่อให้เกิดบรรยากาศที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง ร่างกายที่แผ่กระแสแห่งพลังนั้นล้วนอบอวลด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์
อำนาจอันน่าสะพรึงกลัวของเขาแผ่ออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยวาจาใดๆ ก็ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นเพียงแค่ได้สบตา
เป็นที่ชัดเจนว่าชายผู้นี้คือยอดฝีมือขั้นสูงสุด
เขาคือผู้นำแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนคนปัจจุบัน
ทันทีที่เอ่ยปาก เสียงทั้งหมดในมหาวิหารก็ดับลง
เหล่าผู้มาร่วมงานจากขุมอำนาจและตระกูลต่างๆ ก็ต่างพากันเงียบเสียง
ฮึ่ม! เย่เฉินสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามที่กดดันลงมา เหงื่อกาฬเริ่มไหลซึมลงจากหน้าผากของเขา
ทว่าตอนนี้เขาไม่มีท่าทีที่จะยอมถอยหลังง่ายๆ อีกทั้งยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
“ท่านเจ้าสำนัก ข้าก็แค่อยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น ท่านเองก็คงไม่ยินยอมปล่อยให้นางตกลงไปในนรกทั้งเป็นต่อหน้าต่อตาใช่หรือไม่...” คำพูดของเย่เฉินเต็มไปด้วยความหนักแน่น เปี่ยมไปด้วยความเที่ยงธรรม
ในขณะที่เอ่ยพูด ดวงตาของเขาก็เผลอมองไปทางหญิงสาวผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหน้าโดยไม่ทันรู้ตัว
นางเป็นหญิงงามรูปโฉมหมดจด วงหน้าประณีตงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้
ดวงตาคู่นั้นสดใสประดุจสายธารในฤดูใบไม้ร่วง อีกคิ้วเรียวยาวดั่งเส้นคิ้วไกลลิบของขุนเขา
ทั้งเส้นผมล้วนเรียบลื่นราวกับเส้นไหม เผยให้เห็นใบหน้าอันขาวใสดุจหยกขาว เปล่งประกายงดงามเจิดจรัส
นางสวมอาภรณ์สีขาวปลิวไสว ดั่งเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์ แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความสง่าและเงียบสงบ
ความสง่างามเหนือมนุษย์เช่นนี้ยากที่จะบรรยายออกมาได้อย่างแท้จริง
ราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ที่พลัดตกลงมายังโลกมนุษย์โดยไม่ตั้งใจ
แม้จะเผชิญกับเหตุการณ์วุ่นวายภายในมหาวิหาร สีหน้าของนางก็ยังคงสงบและเรียบเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ
"ตกลงไปในนรกงั้นหรือ ช่างบังอาจนัก..." เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเจ้าสำนักไท่เสวียนก็พลันแฝงไปด้วยความโกรธขึ้งขึ้นทันที
และในขณะเดียวกัน ผู้คนในที่นั้นก็เริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น บางคนก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ บางคนแสดงสีหน้าที่แฝงแววเย้ยหยัน
ที่แท้แล้วคำพูดที่เย่เฉินเอ่ยทั้งหมด ก็เป็นเพียงเพราะเขาไม่อาจทนเห็นหญิงสาวผู้ที่ตนแอบชื่นชมมายาวนานถูกท่านเจ้าสำนักส่งไปหาชายอื่น จึงเกิดโกรธและไม่พอใจขึ้นมา
แม้จะมีศิษย์หนุ่มหลายคนที่รู้สึกอิจฉาริษยาเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงออกอย่างชัดเจนเช่นเย่เฉิน
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทุกคนก็ฉลาดเกินกว่าจะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้
ก็ในเมื่อ...ตัวตนของชายหนุ่มผู้นั้น ช่างยิ่งใหญ่เสียจนแม้แต่ท่านเจ้าสำนักเองยังต้องแสดงความเคารพยำเกรง มิกล้าทำอะไรโดยปราศจากความเคารพแม้แต่น้อย
และในตอนนี้เอง สายตาหลายคู่ในห้องโถงต่างก็หันจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหลังท่านเจ้าสำนัก
ซึ่งกำลังนั่งดื่มชาอย่างสงบเสงี่ยม ราวกับไม่สนใจเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มผู้นั้นก็คือ...กู้ฉางเกอ! ------------------------[1] ดินแดนตงฮวง หมายถึง ดินแดนตะวันออก

แนะนำนิยายจีนยึดครองใต้หล้าด้วยระบบมารร้ายแห่งโชคชะตา ชอบพระเอกร้ายๆมาทางนี้เลย
มันแสบสุดๆพระเอกอ่ะ ไม่ผิดหวังในความปั่นแน่นอน
มีมาให้ลองอ่านตอนที่ 1 ดูนะครับ
แล้วไปตามตอนอื่นได้ https://kawebook.co/H5se
ชื่อตอน : เล่มที่ 1 ตอนที่ 1 บุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์นามกู้ฉางเกอ
ตอนที่ 1 บุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์นามกู้ฉางเกอ
“สำนักศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในหกสำนักศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่แห่งดินแดนตงฮวง[1]
นี่น่ะหรือคือโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเจ้า อาศัยอำนาจบารมีรังแกผู้คน วิ่งเต้นประจบสอพลอ
จนถึงกับต้องบีบบังคับผลักดันบุตรสาวของตนลงเข้าสู่กองเพลิงอย่างไร้เมตตา”
“ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกท่านไม่เคยแม้แต่จะถามไถ่สักคำ ว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผู้นั้นให้ความยินยอมหรือไม่ วันนี้ข้าจะมาทวงความยุติธรรมนี้คืนให้กับนางเอง”
“ส่วนฐานะศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนั้น ข้าขอคืนให้พวกท่าน บัดนี้ข้าไม่ต้องการมันอีกต่อไป”
“แต่ขอจงจำเอาไว้ว่า ความอัปยศที่ข้าได้รับในวันนี้ อีกไม่นานข้าเย่เฉิน จะต้องทวงคืนให้สาสมในวันหน้า”
ภายในมหาวิหารอันงดงามตระการตา บรรยากาศภายในแออัดแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
และเสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าอันหล่อเหลาสง่างาม
แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ กำลังยืนกำหมัดแน่น เขาตะโกนออกมาด้วยเสียงอันกราดเกรี้ยวแสดงความโกรธแค้นไม่พอใจ
ชายหนุ่มผู้นี้มีนามว่าเย่เฉิน ซึ่งเป็นศิษย์ภายในของสำนักแห่งนี้
“บังอาจ! เจ้าเป็นแค่ศิษย์ภายในธรรมดาแต่คิดเหิมเกริมต่อต้านท่านเจ้าสำนักเช่นนั้นหรือ หรือเจ้าจะไม่อยากมีชีวิตต่ออีกแล้ว”
เสียงของผู้อาวุโสประจำสำนักซึ่งยืนอยู่ด้านข้างดังขึ้น พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่รังสีออกมา
ใบหน้ากลับเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำด้วยความโกรธ เสียงคำรามของเขาดังกึกก้องไปทั่วมหาวิหาร ราวกับจะดับเสียงเย่เฉินให้จมหายไปในความเงียบ
สถานที่สำคัญแห่งนี้เป็นมหาวิหารของสำนักศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน หนึ่งในหกสำนักศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่แห่งดินแดนตงฮวง
ย่อมไม่ใช่ที่ที่ศิษย์ธรรมดาจะมาบังอาจกระทำตนเยี่ยงนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้ยังเป็นวันสำคัญของพิธีสถาปนาศิษย์เอกแห่งสำนัก ผู้มีอำนาจมากมายจากหลากหลายสำนักใหญ่ต่างได้รับเชิญมาร่วมงาน
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นมาร่วมชมละครตลกฉากหนึ่งร่วมกัน หากไม่ติดที่จะต้องรักษาหน้าตาของสำนักไว้
ผู้อาวุโสท่านนั้นคงจะตบศิษย์น้อยผู้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้ไปนานแล้ว
ภายในมหาวิหาร เหล่าศิษย์ภายในและศิษย์เอกต่างกำลังจับกลุ่มกระซิบกระซาบชี้นิ้วพูดคุยกันเสียงดัง
พร้อมจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าอันแกร่งกล้าด้วยสายตาราวกับมองคนบ้าเสียสติ
“เจ้าเย่เฉินนี่เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร กล้าดีอย่างไรถึงมาพูดเรื่องพวกนี้กลางมหาวิหาร”
“แม้ว่าฝีมือของเขาในหมู่ศิษย์ฝ่ายในจะโดดเด่นอยู่บ้าง ถึงกับเคยได้ยินมาว่ามีผู้อาวุโสท่านหนึ่งอยากรับเขาเป็นศิษย์เอก
แต่ตอนนี้ดูท่าจะไม่มีหวังเสียแล้ว” มีผู้เอ่ยคำพูดเย้ยหยันอย่างอดไม่อยู่
“ข้าเห็นว่าเขาคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้วกระมัง หากทำให้บุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นโกรธขึ้นมา
เกรงว่าทั้งสำนักไท่เสวียนของเราคงจะต้องเดือดร้อนแน่” ศิษย์เอกอีกคนพูดขึ้นด้วยความโกรธขณะเดียวกันก็แอบซ่อนความกังวลไว้ในใจ
หากการกระทำของเย่เฉินเมื่อครู่ทำให้ท่านผู้นั้นไม่พอใจขึ้นมา เกรงว่าผลลัพธ์อาจไม่ใช่แค่สำนักไท่เสวียนที่จะต้องล่มจมเพียงเท่านั้น...
แต่ทั้งแผ่นดินตงฮวงเองก็คงต้องพินาศไปด้วย
ศิษย์เอกผู้นั้นรู้สึกโกรธจนอยากจะลงมือสังหารเย่เฉินด้วยตนเองให้รู้แล้วรู้รอด
ขณะเดียวกัน บรรดาเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์จากตระกูลใหญ่ที่มาร่วมงานในวันนี้ ต่างก็มีท่าทีสนุกสนานกับการชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แน่นอนว่าหลายคนมองดูศิษย์ภายในเย่เฉินราวกับดูตัวตลก
ศิษย์ภายในตัวเล็กๆ มีอะไรให้ทำมากมาย
แต่กลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับท่านเจ้าสำนักไท่เสวียนในเวลานี้
“เจ้ามีนามว่าเย่เฉินใช่หรือไม่ ข้าจำเจ้าได้ เจ้ามาจากเขตเทียนชิง สถานที่เล็กๆ ท่ามกลางการสู้รบในสงครามอาณาจักรนับร้อยครั้ง กระทั่งในวันนี้เจ้ามีโอกาสเข้ามาเป็นศิษย์ของสำนักไท่เสวียนเราได้...”
“แต่ตอนนี้ เจ้ากลับมาบอกกับข้าว่า เจ้าต้องการจะสละฐานะศิษย์ของสำนักไท่เสวียนงั้นหรือ”
และในขณะนั้นเอง เสียงทรงอำนาจดังก้องจากกลางมหาวิหาร ชายวัยกลางคนผู้สง่างามที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดกล่าวขึ้น
แววตาของเขาส่องประกายสีทองราวกับทะลุทะลวงจิตใจผู้คน ลมหายใจที่สะท้อนความแข็งแกร่งลึกล้ำดุจห้วงมหาสมุทรเผยออกมาอย่างไม่ต้องพยายาม ก่อให้เกิดบรรยากาศที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง ร่างกายที่แผ่กระแสแห่งพลังนั้นล้วนอบอวลด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์
อำนาจอันน่าสะพรึงกลัวของเขาแผ่ออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยวาจาใดๆ ก็ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นเพียงแค่ได้สบตา
เป็นที่ชัดเจนว่าชายผู้นี้คือยอดฝีมือขั้นสูงสุด
เขาคือผู้นำแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนคนปัจจุบัน
ทันทีที่เอ่ยปาก เสียงทั้งหมดในมหาวิหารก็ดับลง
เหล่าผู้มาร่วมงานจากขุมอำนาจและตระกูลต่างๆ ก็ต่างพากันเงียบเสียง
ฮึ่ม! เย่เฉินสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามที่กดดันลงมา เหงื่อกาฬเริ่มไหลซึมลงจากหน้าผากของเขา
ทว่าตอนนี้เขาไม่มีท่าทีที่จะยอมถอยหลังง่ายๆ อีกทั้งยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
“ท่านเจ้าสำนัก ข้าก็แค่อยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น ท่านเองก็คงไม่ยินยอมปล่อยให้นางตกลงไปในนรกทั้งเป็นต่อหน้าต่อตาใช่หรือไม่...” คำพูดของเย่เฉินเต็มไปด้วยความหนักแน่น เปี่ยมไปด้วยความเที่ยงธรรม
ในขณะที่เอ่ยพูด ดวงตาของเขาก็เผลอมองไปทางหญิงสาวผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหน้าโดยไม่ทันรู้ตัว
นางเป็นหญิงงามรูปโฉมหมดจด วงหน้าประณีตงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้
ดวงตาคู่นั้นสดใสประดุจสายธารในฤดูใบไม้ร่วง อีกคิ้วเรียวยาวดั่งเส้นคิ้วไกลลิบของขุนเขา
ทั้งเส้นผมล้วนเรียบลื่นราวกับเส้นไหม เผยให้เห็นใบหน้าอันขาวใสดุจหยกขาว เปล่งประกายงดงามเจิดจรัส
นางสวมอาภรณ์สีขาวปลิวไสว ดั่งเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์ แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความสง่าและเงียบสงบ
ความสง่างามเหนือมนุษย์เช่นนี้ยากที่จะบรรยายออกมาได้อย่างแท้จริง
ราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ที่พลัดตกลงมายังโลกมนุษย์โดยไม่ตั้งใจ
แม้จะเผชิญกับเหตุการณ์วุ่นวายภายในมหาวิหาร สีหน้าของนางก็ยังคงสงบและเรียบเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ
"ตกลงไปในนรกงั้นหรือ ช่างบังอาจนัก..." เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเจ้าสำนักไท่เสวียนก็พลันแฝงไปด้วยความโกรธขึ้งขึ้นทันที
และในขณะเดียวกัน ผู้คนในที่นั้นก็เริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น บางคนก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ บางคนแสดงสีหน้าที่แฝงแววเย้ยหยัน
ที่แท้แล้วคำพูดที่เย่เฉินเอ่ยทั้งหมด ก็เป็นเพียงเพราะเขาไม่อาจทนเห็นหญิงสาวผู้ที่ตนแอบชื่นชมมายาวนานถูกท่านเจ้าสำนักส่งไปหาชายอื่น จึงเกิดโกรธและไม่พอใจขึ้นมา
แม้จะมีศิษย์หนุ่มหลายคนที่รู้สึกอิจฉาริษยาเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงออกอย่างชัดเจนเช่นเย่เฉิน
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทุกคนก็ฉลาดเกินกว่าจะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้
ก็ในเมื่อ...ตัวตนของชายหนุ่มผู้นั้น ช่างยิ่งใหญ่เสียจนแม้แต่ท่านเจ้าสำนักเองยังต้องแสดงความเคารพยำเกรง มิกล้าทำอะไรโดยปราศจากความเคารพแม้แต่น้อย
และในตอนนี้เอง สายตาหลายคู่ในห้องโถงต่างก็หันจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหลังท่านเจ้าสำนัก
ซึ่งกำลังนั่งดื่มชาอย่างสงบเสงี่ยม ราวกับไม่สนใจเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มผู้นั้นก็คือ...กู้ฉางเกอ! ------------------------[1] ดินแดนตงฮวง หมายถึง ดินแดนตะวันออก