มาเรียและเฆซุส สองสามีภรรยาซึ่งเพิ่งกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่หมาดๆ
หลังจากที่มาเรียให้กำเนิด กาเยตาโน่ ลูกชาย.. ทั้งคู่มีหลายอย่างที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยทั้งเรื่องบ้านและเรื่องลูก
วันนึงขณะไปซื้อของในเมือง เฆซุสเกิดสะดุดตากับโต๊ะแนวหลุยส์ตัวนึงเข้าให้ เขาอยากได้โต๊ะตัวนี้มาตั้งในห้องรับแขกมาก
แม้ว่ามาเรียจะไม่เห็นด้วยกับรูปร่างที่ดูเห่ย และไม่เข้ากับสไตล์ของบ้านเขาเลยสักนิด
แต่ในที่สุดเฆซุสก็ซื้อมาจนได้ มาเรียไม่พอใจอย่างมากกับการที่ต้องเสียเงินซื้อของไร้สาระแบบนี้..
วันยกของเข้าบ้าน มาเรียออกไปซื้อของข้างนอกเนื่องจากว่าพี่ชายของเฆซุสจะมาเยี่ยมหลานพร้อมแฟนสาว
มาเรียให้สามีอยู่เฝ้าลูกชาย ระหว่างที่ตัวเองออกไปซื้อของ.. และเรื่องบางอย่างที่เลวร้ายก็เกิดขึ้น
The Coffee Table (หรือในชื่อสเปนว่า La mesita del comedor) ภาพยนตร์สัญชาติสแปนิช
เขียนบทกำกับและตัดต่อโดย Caye Casas (ดีนะที่ยังไม่ได้เล่นเองด้วย)
เรื่องราวสั่นประสาทที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนึงหลังการมาของเฟอร์นิเจอร์หน้าตาประหลาด
ที่พอเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในห้องก็เกิดเรื่องทันที
หน้าหนังบอกว่าเป็นแนวตลกร้าย หรือ Black Comedy ช่วง 20 นาทีแรกของหนังผมก็รู้สึกว่าจะเป็นแบบนั้นล่ะครับ
แต่หลังเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากนั้นอารมณ์หนังเปลี่ยนไปในทันที (อย่างรุนแรง)
มันกลายเป็นหนังระทึกขวัญสั่นประสาทผู้ชมอย่างมาก
คือคนดูจะเฝ้าดูในทุกกริยาอาการของนักแสดงนำที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
ชนิดที่แทบจะไม่กะพริบตาเลยทีเดียว ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป
ผู้กำกับเดินเรื่องภายในระยะเวลาแค่ 89 นาที ดูเหมือนจะสั้นนะครับ แต่ทุกอย่างถ่ายทอดออกมาได้สมบูรณ์
โดยเหตุการณ์ของเรื่องทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวันเดียว จากจุดเริ่มที่ดูแล้วเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ..
ยิ่งช่วง 10 นาทีสุดท้าย มันจะเป็นความโกลาหลอลหม่านที่ยากจะเดาได้จริงๆว่าหนังจะเลือกให้ปลายทางจบแบบใด
ถ้าพิมพ์อะไรไปสักนิดมันจะกลายเป็นการสปอยล์ในทันที บอกไม่ได้เลยจริงๆ
แต่เอาเป็นว่านอกจากสะเทือนขวัญแล้ว ความดราม่าก็ท่วมท้นและนำเสนอคู่กันไปได้เป็นอย่างดี ..
ซึ่งคนที่แบกรับทุกอย่างตลอดเรื่องก็คือเฆซุส สามีผู้ที่อยู่ในสภาพเหมือนโดนภรรยากดขี่ตลอดเวลา
แม้ว่าเจ้าตัวจะดูเหมือนคนใจเย็นอารมณ์ดี แต่การที่ถูกกดอะไรไว้นานๆ มันก็เหมือนกับภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ
พร้อมที่จะระเบิดออกมาได้เสมอ ทุกเวลา
ชีวิตคู่นี่เป็นเรื่องที่ต้องเห็นอกเห็นใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายนะครับ จะให้ใครฝ่ายใดฝ่ายนึงปรับตัวมันไม่ใช่
ทั้งเป็นทั้งคู่น่ะล่ะที่ต้องพยายามเข้าหากันและกัน เรื่องบางอย่างที่ละได้ปล่อยได้ ก็อย่าเก็บเอาทุกอย่างมาเป็นเรื่องให้มันบานปลาย
เพราะชีวิตนับจากนี้ที่เราต้องอยู่ด้วยกันทุกวันมันจะเป็นเหมือนการผจญภัยทั้งสิ้นและการที่เราจับมือกันไว้ให้แน่น
สิ่งนี่ล่ะที่มันจะเอาชนะปัญหาทุกอย่างให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
อ้าว แล้วที่บ่นๆมา มันไปเกี่ยวอะไรกับเจ้าโต๊ะตัวนี้ด้วยล่ะ ก็ผมบอกว่าบอกไม่ได้
โต๊ะที่ว่ามันจะอะไรยังไงนั่นคือสิ่งที่คุณต้องไปหาคำตอบเอาเอง ผมบอกได้แค่ว่าสำหรับผม .. นี่คือหนังเศร้าครับ
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== The Coffee Table (2022) เรื่องสยองของโต๊ะกาแฟ.. ==
มาเรียและเฆซุส สองสามีภรรยาซึ่งเพิ่งกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่หมาดๆ
หลังจากที่มาเรียให้กำเนิด กาเยตาโน่ ลูกชาย.. ทั้งคู่มีหลายอย่างที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยทั้งเรื่องบ้านและเรื่องลูก
วันนึงขณะไปซื้อของในเมือง เฆซุสเกิดสะดุดตากับโต๊ะแนวหลุยส์ตัวนึงเข้าให้ เขาอยากได้โต๊ะตัวนี้มาตั้งในห้องรับแขกมาก
แม้ว่ามาเรียจะไม่เห็นด้วยกับรูปร่างที่ดูเห่ย และไม่เข้ากับสไตล์ของบ้านเขาเลยสักนิด
แต่ในที่สุดเฆซุสก็ซื้อมาจนได้ มาเรียไม่พอใจอย่างมากกับการที่ต้องเสียเงินซื้อของไร้สาระแบบนี้..
วันยกของเข้าบ้าน มาเรียออกไปซื้อของข้างนอกเนื่องจากว่าพี่ชายของเฆซุสจะมาเยี่ยมหลานพร้อมแฟนสาว
มาเรียให้สามีอยู่เฝ้าลูกชาย ระหว่างที่ตัวเองออกไปซื้อของ.. และเรื่องบางอย่างที่เลวร้ายก็เกิดขึ้น
The Coffee Table (หรือในชื่อสเปนว่า La mesita del comedor) ภาพยนตร์สัญชาติสแปนิช
เขียนบทกำกับและตัดต่อโดย Caye Casas (ดีนะที่ยังไม่ได้เล่นเองด้วย)
เรื่องราวสั่นประสาทที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนึงหลังการมาของเฟอร์นิเจอร์หน้าตาประหลาด
ที่พอเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในห้องก็เกิดเรื่องทันที
หน้าหนังบอกว่าเป็นแนวตลกร้าย หรือ Black Comedy ช่วง 20 นาทีแรกของหนังผมก็รู้สึกว่าจะเป็นแบบนั้นล่ะครับ
แต่หลังเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากนั้นอารมณ์หนังเปลี่ยนไปในทันที (อย่างรุนแรง)
มันกลายเป็นหนังระทึกขวัญสั่นประสาทผู้ชมอย่างมาก
คือคนดูจะเฝ้าดูในทุกกริยาอาการของนักแสดงนำที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
ชนิดที่แทบจะไม่กะพริบตาเลยทีเดียว ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป
ผู้กำกับเดินเรื่องภายในระยะเวลาแค่ 89 นาที ดูเหมือนจะสั้นนะครับ แต่ทุกอย่างถ่ายทอดออกมาได้สมบูรณ์
โดยเหตุการณ์ของเรื่องทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวันเดียว จากจุดเริ่มที่ดูแล้วเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ..
ยิ่งช่วง 10 นาทีสุดท้าย มันจะเป็นความโกลาหลอลหม่านที่ยากจะเดาได้จริงๆว่าหนังจะเลือกให้ปลายทางจบแบบใด
ถ้าพิมพ์อะไรไปสักนิดมันจะกลายเป็นการสปอยล์ในทันที บอกไม่ได้เลยจริงๆ
แต่เอาเป็นว่านอกจากสะเทือนขวัญแล้ว ความดราม่าก็ท่วมท้นและนำเสนอคู่กันไปได้เป็นอย่างดี ..
ซึ่งคนที่แบกรับทุกอย่างตลอดเรื่องก็คือเฆซุส สามีผู้ที่อยู่ในสภาพเหมือนโดนภรรยากดขี่ตลอดเวลา
แม้ว่าเจ้าตัวจะดูเหมือนคนใจเย็นอารมณ์ดี แต่การที่ถูกกดอะไรไว้นานๆ มันก็เหมือนกับภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ
พร้อมที่จะระเบิดออกมาได้เสมอ ทุกเวลา
ชีวิตคู่นี่เป็นเรื่องที่ต้องเห็นอกเห็นใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายนะครับ จะให้ใครฝ่ายใดฝ่ายนึงปรับตัวมันไม่ใช่
ทั้งเป็นทั้งคู่น่ะล่ะที่ต้องพยายามเข้าหากันและกัน เรื่องบางอย่างที่ละได้ปล่อยได้ ก็อย่าเก็บเอาทุกอย่างมาเป็นเรื่องให้มันบานปลาย
เพราะชีวิตนับจากนี้ที่เราต้องอยู่ด้วยกันทุกวันมันจะเป็นเหมือนการผจญภัยทั้งสิ้นและการที่เราจับมือกันไว้ให้แน่น
สิ่งนี่ล่ะที่มันจะเอาชนะปัญหาทุกอย่างให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
อ้าว แล้วที่บ่นๆมา มันไปเกี่ยวอะไรกับเจ้าโต๊ะตัวนี้ด้วยล่ะ ก็ผมบอกว่าบอกไม่ได้
โต๊ะที่ว่ามันจะอะไรยังไงนั่นคือสิ่งที่คุณต้องไปหาคำตอบเอาเอง ผมบอกได้แค่ว่าสำหรับผม .. นี่คือหนังเศร้าครับ
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===