ถ้าเราไห้ความร่วมมือกัน จัดตั้งกลุ่มผู้ส่งออกข้าว ไห้เหมือนกับผู้ส่งออกน้ำมัน ผลดีก็จะอยู่กับประเทศที่ปลูกข้าวส่งออก

ไปอ่านเจอในเว็ป เว็ปนึงเกี่ยวกับ โก้โก้ ล้นตลาด พอกเค้ามีกลุ่มผู้ส่งออกโก้โก้คอยดูแล

ผมจึงตั้งคำถามว่าเรากับอีกหลายๆประเทศที่ส่งออกข้าว จะจับมือกัน จัดตั้งกลุ่ม ส่งออกข้าวเหมือนกับน้ำมันใด้ป่าว

คำตอบ

ความพยายามในการจัดตั้งกลุ่มประเทศผู้ส่งออกข้าว (OPEC ข้าว)
แนวคิดเรื่องการที่ไทยจะจับมือกับประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ เพื่อควบคุมราคาและปริมาณการส่งออกอย่างชัดเจนนั้น เคยมีความพยายามผลักดันมาแล้วหลายครั้งในอดีต โดยมักถูกเรียกว่า "OPEC ข้าว" หรือ "OREC" (Organization of the Rice Exporting Countries) เพื่อเลียนแบบกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC)
ประวัติและความพยายามที่สำคัญ
• ปี 2545: กระทรวงพาณิชย์เคยริเริ่มแนวคิดนี้เป็นครั้งแรก เนื่องจากราคาข้าวตกต่ำอย่างมาก โดยได้มีการจัดประชุมกับผู้ส่งออกข้าว 4 ประเทศ ได้แก่ จีน อินเดีย ปากีสถาน และ เวียดนาม เป้าหมายคือการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีว่าด้วยความร่วมมือการค้าข้าว เพื่อกำหนดราคากลางและหยุดการตัดราคา ซึ่งคาดการณ์ว่าจะทำให้ราคาข้าวไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 30% อย่างไรก็ตาม การประชุมครั้งนี้ไม่มีความคืบหน้ามากนักและไม่ประสบความสำเร็จในการจัดตั้งองค์กร
• ปี 2551: มีความพยายามอีกครั้งภายใต้ชื่อ OREC โดยได้มีการเจรจากับประเทศในกลุ่มเพื่อนบ้าน ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และ เวียดนาม โดยไทยในขณะนั้นเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก
🛑 เหตุผลที่โครงการยังไม่บรรลุผลสำเร็จ
การจัดตั้งกลุ่มคล้าย OPEC สำหรับข้าวมีความซับซ้อนและยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่แตกต่างจากน้ำมัน:
1. ข้าวเป็นสินค้าเพื่อความมั่นคงทางอาหาร: ข้าวเป็นอาหารหลักของประชากรโลกกว่า 3.5 พันล้านคน ทำให้ประเทศส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการมีข้าวเพียงพอสำหรับการบริโภคภายในประเทศก่อนการส่งออก
2. ความหลากหลายของชนิดข้าว: ข้าวมีหลายชนิด (เช่น ข้าวขาว ข้าวหอมมะลิ ข้าวนึ่ง) ซึ่งแต่ละชนิดมีตลาดและราคาที่แตกต่างกัน ทำให้การกำหนดราคาและปริมาณส่งออกร่วมกันทำได้ยาก
3. ความร่วมมือที่ไม่ยั่งยืน: ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก (เช่น อินเดีย เวียดนาม ไทย) มีการแข่งขันกันสูง และมีเป้าหมายเชิงนโยบายที่แตกต่างกัน ทำให้การรักษาความร่วมมือในการจำกัดปริมาณหรือกำหนดราคาในระยะยาวเป็นเรื่องที่ท้าทาย
แนวทางปัจจุบัน
ปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงมุ่งเน้นการทำงานร่วมกับประเทศคู่ค้าผ่านเวทีการประชุมและข้อตกลงทวิภาคีเพื่อ รักษาและขยายตลาดส่งออก โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพและสายพันธุ์ข้าวให้เป็นสินค้า "Value Exporter" มากกว่า "Mass Exporter" เช่น การเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (ข้าวอินทรีย์ ข้าว GI) และการเจรจาการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (G2G)
วิดีโอนี้เป็นการหารือของกระทรวงพาณิชย์และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเกี่ยวกับการรับมือตลาดโลกที่ผันผวน ซึ่งรวมถึงความพยายามในการเจาะตลาดใหม่ๆ

คำถาม
มีแนวทางไหนบ้าง เช่น แบ่งปริมานการส่งออก หรือ วิธีที่ทำไห้ทุกประเทศที่ส่งออกยอมรับ เหมือน กลุ่มของน้ำมัน

คำตอบ

การจัดตั้งกลุ่มประเทศผู้ส่งออกข้าวคล้าย OPEC (ที่เรียกว่า OPEC ข้าว หรือ OREC) ให้ประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องมีกลไกควบคุมอุปทาน และการตกลงที่ทุกประเทศยอมรับได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมากเมื่อเทียบกับน้ำมัน
💡 แนวทางที่สามารถใช้ควบคุมราคาและปริมาณการส่งออกข้าว
แนวทางหลักที่กลุ่มค้าสินค้าโภคภัณฑ์ขนาดใหญ่อย่าง OPEC ใช้ และที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับข้าวได้ มีดังนี้:
1. การกำหนดโควตาการผลิต/ส่งออก (Quota System)
• หลักการ: เป็นกลไกหลักของ OPEC โดยประเทศสมาชิกตกลงที่จะจำกัดปริมาณการผลิต (หรือการส่งออก) ของตนเองให้อยู่ในระดับที่กำหนด เพื่อลดอุปทานในตลาดโลก และผลักดันให้ราคาสูงขึ้น
• แนวทางสำหรับข้าว:
• การแบ่งปริมาณส่งออก: ประเทศผู้ส่งออกหลัก เช่น อินเดีย เวียดนาม และไทย ต้องตกลงกันว่าจะจำกัดปริมาณการส่งออกข้าวในแต่ละปี/ไตรมาส โดยอาจแบ่งโควตาตามศักยภาพการผลิต กำลังสำรอง และส่วนแบ่งตลาดในอดีต
• การบริหารจัดการสต็อก: ประเทศสมาชิกควรตกลงที่จะบริหารจัดการสต็อกข้าวสำรองร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในการแทรกแซงตลาด (ปล่อยสต็อกเมื่อราคาสูงเกินไป หรือดึงสต็อกออกจากตลาดเมื่อราคาน้ำมันต่ำ)
2. การสร้างกลไกการยอมรับและการบังคับใช้
สิ่งที่ทำให้ OPEC ประสบความสำเร็จคือสมาชิกหลักอย่างซาอุดีอาระเบียมี ส่วนแบ่งตลาดและกำลังสำรอง ที่สูงมาก ทำให้สามารถเป็น "ผู้ผลิตส่วนเกิน (Swing Producer)" ที่ยอมลดหรือเพิ่มการผลิตเพื่อรักษาราคาให้อยู่ในเป้าหมาย
• ความเป็นผู้นำ (Dominance): ในกรณีของข้าว ประเทศที่ควบคุมตลาดมากที่สุดคือ อินเดีย (ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดสูงมาก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศที่บริโภคภายในประเทศสูงและมีนโยบายเพื่อความมั่นคงทางอาหารที่ซับซ้อน) หากไม่มีประเทศใดที่ยินดีสวมบทบาทผู้นำในการลด/เพิ่มปริมาณส่งออกอย่างต่อเนื่องเพื่อประโยชน์ของกลุ่มโดยรวม การรวมกลุ่มก็ยากที่จะยั่งยืน
• การควบคุมคุณภาพ: กำหนดมาตรฐานและระบบการรับรองคุณภาพข้าวร่วมกันเพื่อสร้างความแตกต่างและรักษาราคาของข้าวพรีเมียม (เช่น ข้าวหอมมะลิ) ซึ่งช่วยให้ประเทศสามารถแข่งขันด้วยคุณภาพแทนการตัดราคา
3. การสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืนผ่านเป้าหมายร่วมกัน
• เป้าหมายราคาที่เป็นธรรม: กำหนด "กรอบราคายุติธรรม" ที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ผลิต (เพื่อให้ได้รายได้ที่มั่นคง) และผู้บริโภค (เพื่อให้มีอุปทานที่เพียงพอและสม่ำเสมอ)
• ความมั่นคงทางอาหาร: เน้นย้ำว่าการรวมกลุ่มไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อผูกขาดหรือบีบราคา แต่เพื่อ สร้างเสถียรภาพ และ ความมั่นคงทางอาหาร ให้แก่โลก โดยการันตีอุปทานที่สม่ำเสมอ แลกกับการได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม
🚧 ความท้าทายหลักที่แตกต่างจาก OPEC
• ข้าวเป็นอาหารหลัก: การจำกัดการส่งออกข้าวจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารทั่วโลกโดยตรง ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวทางการเมืองสูง ต่างจากน้ำมันที่สามารถหาพลังงานทดแทนได้
• จำนวนผู้ผลิตที่มีอิทธิพล: ตลาดน้ำมันถูกควบคุมโดย OPEC/OPEC+ ที่มีส่วนแบ่งการผลิตมากกว่า 40% และปริมาณสำรองถึง 79% สำหรับข้าว แม้ว่าผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างอินเดีย เวียดนาม และไทย จะมีส่วนแบ่งรวมกันสูง แต่การบริโภคภายในประเทศก็มีนัยสำคัญ และยังมีการแข่งขันจากประเทศอื่น ๆ ทำให้การควบคุมอุปทานทำได้ยากกว่า
วิดีโอนี้จะพาไปดูการบริหารจัดการตลาดข้าวของรัฐบาลไทยเพื่อรับมือกับผลผลิตข้าวนาปีที่กำลังจะออกสู่ตลาด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการดูแลเสถียรภาพราคาข้าวในประเทศ

คำถาม
มีผลดีอย่างไรบ้างถ้าสามารถจัดตั้งได้

คำตอบ
การจัดตั้งกลุ่มประเทศผู้ส่งออกข้าวที่สามารถควบคุมปริมาณและราคาได้จริง (คล้าย OPEC ข้าว) จะนำมาซึ่ง ผลดีอย่างมหาศาล ต่อประเทศผู้ส่งออกข้าวหลักอย่างไทย เวียดนาม อินเดีย และประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ โดยเฉพาะในด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเกษตร
✅ ผลดีหลักของการจัดตั้ง OPEC ข้าว
1. 💰 เพิ่มเสถียรภาพและยกระดับราคาส่งออก
* ยุติการตัดราคา: การมีข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดปริมาณส่งออกจะช่วยขจัดปัญหาการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงระหว่างประเทศผู้ส่งออก (เช่น ไทย อินเดีย เวียดนาม) ซึ่งมักทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
* รายได้มั่นคงขึ้น: เมื่อราคาส่งออกมีเสถียรภาพและอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ประเทศผู้ส่งออกจะได้รับรายได้ที่เป็นธรรมและมั่นคงจากการส่งออกมากขึ้น ซึ่งช่วยลดความผันผวนของรายได้เข้าประเทศ
2. 👨‍🌾 ประโยชน์ต่อเกษตรกรและภาคการเกษตร
* ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร: รายได้ที่มั่นคงและสูงขึ้นจากราคาส่งออกที่ดี จะส่งผลโดยตรงต่อราคาข้าวที่ขายได้ในประเทศ ทำให้เกษตรกรมีกำไรมากขึ้น มีแรงจูงใจในการผลิต และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
* วางแผนการผลิตได้ง่ายขึ้น: เมื่อตลาดมีความแน่นอน เกษตรกรและรัฐบาลสามารถวางแผนการเพาะปลูกและนโยบายการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในการขาดทุนหรือการเกิดอุปทานล้นตลาด
3. 📈 เพิ่มอำนาจต่อรองในเวทีโลก
* อำนาจผูกขาดอุปทาน: การรวมกลุ่มกันของประเทศที่ครองส่วนแบ่งการส่งออกข้าวส่วนใหญ่ของโลก จะทำให้มีอำนาจต่อรองที่สูงมากกับประเทศผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ (เช่น จีน, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย) ในการเจรจาต่อรองข้อตกลงทางการค้าและราคาส่งมอบ
* การแทรกแซงตลาดที่มีประสิทธิภาพ: กลุ่มจะสามารถใช้กลไกการบริหารจัดการสต็อกข้าวสำรองร่วมกันในการแทรกแซงตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาช่วงราคาให้อยู่ในระดับที่ตกลงกันไว้
4. 🔬 ส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาคุณภาพ
* ยกระดับคุณภาพสินค้า: เมื่อราคามีเสถียรภาพแล้ว ประเทศสมาชิกอาจเปลี่ยนไปแข่งขันกันด้วย คุณภาพและมูลค่าเพิ่ม แทนการตัดราคา (เช่น การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวพรีเมียม ข้าวอินทรีย์ ข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง)
* การวิจัยและพัฒนา (R&D): รายได้ที่เพิ่มขึ้นสามารถนำไปลงทุนในการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) หรือการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเกษตรได้อย่างยั่งยืน
> กล่าวโดยสรุป: หากสามารถจัดตั้ง OPEC ข้าวได้สำเร็จ ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนตลาดข้าวโลกจาก "ตลาดผู้ซื้อ" ที่ผู้ซื้อมีอำนาจต่อรองสูง ให้กลายเป็น "ตลาดผู้ขาย" ที่ผู้ผลิตสามารถกำหนดราคาที่เป็นธรรมต่อตนเองได้มากขึ้น
>
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่