ตอนที่ 22 ยุคทองของญี่ปุ่น ค.ศ.1980-1989

ในเวลานั้น ไม่มีประเทศไหนจะมาแรงไปกว่า “ญี่ปุ่น”อีกแล้ว จากประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยใช้กองทัพสร้างจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ไปทั่วทวีปเอเชียแล้วต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

บัดนี้ ประเทศหมู่เกาะแห่งนี้ก้าวขึ้นมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้มาในฐานะมหาอํานาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้คือสินค้าส่งออกสําคัญของญี่ปุ่นที่ออกไปตีตลาดทั่วโลก และส่งผลให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

คุณภาพสินค้าที่มีประสิทธิภาพสูง คงทน ในราคาที่ถูกกว่าประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ ผู้บริโภคในหลายประเทศจึงเลือกที่จะนําเข้าสินค้าสัญชาติญี่ปุ่น
จนต้องขาดดุลการค้าให้แก่ประเทศนี้ในปริมาณมหาศาล

ซึ่งผู้ขาดดุลรายใหญ่ที่สุดก็คือ สหรัฐอเมริกา...

เรื่องนี้ได้นํามาสู่ข้อตกลงพลาซ่า (Plaza Accord) ที่นครนิวยอร์ก ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1985
เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของอังกฤษ เยอรมนีตะวันตก ฝรั่งเศสและญี่ปุ่น
ซึ่งล้วนได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกา
ได้แถลงข้อตกลงร่วมกันเพื่อลดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับสกุลเงินของตน

เพื่อช่วยลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐอเมริกา
ผลของข้อตกลงนี้จะทําให้ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งขึ้นเกือบ 2 เท่าในทันทีในปี ค.ศ. 1985 เงิน 242 เยน มีค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ

ในปี ค.ศ. 1986 เงิน 153 เยน มีค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ

สหรัฐอเมริกาคาดหวังว่า สินค้าส่งออกจากประเทศของตนจะมีราคาถูกลง ส่วนสินค้าที่นําเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าญี่ปุ่น จะมีราคาแพงขึ้น แต่ผลที่ตามมากลับตรงกันข้าม ญี่ปุ่นหันมาปรับการบริหารให้คล่องตัวและใช้กลยุทธ์ลดต้นทุนการผลิต ด้วยการโยกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศ
ที่มีค่าแรงถูกกว่าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และ
ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น

ประเทศเหล่านี้ได้รับทั้งเทคโนโลยี และเงินทุน เพื่อปรับปรุงการผลิต และคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ขณะที่ญี่ปุ่นก็ได้รับแรงงานราคาถูก และฐานลูกค้าใหม่จำนวนมหาศาลที่จะซื้อสินค้าสัญชาติญี่ปุ่นที่ผลิตออกมาราคาอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น และสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีเงินเยนเป็นฐานมีราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์

สำนักงานวางแผนเศรษฐกิจญี่ปุ่นคำนวณว่าราคาที่ดินในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเล็กกว่าสหรัฐอเมริกาเกือบ 30 เท่า มีมูลค่าสูงเป็น 4 เท่า ของราคาที่ดินในสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศ นอกจากนั้น บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ต่างแห่กันออกไปซื้อกิจการ และ
อสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ บริษัท Sony เข้าซื้อกิจการของบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ Columbia Pictures กลุ่ม Mitsubishi เข้าซื้ออาคารใหญ่ใจกลางนครนิวยอร์กอย่าง Rockefeller
Center แม้แต่บุคคลที่รวยที่สุดในโลกในปี ค.ศ. 1987 ก็เป็นชาวญี่ปุ่นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นามว่า Yoshiaki Tsutsumi
ชาวญี่ปุ่นมีจำนวนเพียงครึ่งเดียวของชาวอเมริกัน แต่มีขนาด GDP เกือบ 2 ใน 3 ของสหรัฐอเมริกา

ประเทศที่มีขนาด GDP มากที่สุดในปี ค.ศ. 1989 เมื่อเทียบเป็นมูลค่าในปีค.ศ. 2018
สหรัฐอเมริกา 363.3 ล้านล้านบาท
ญี่ปุ่น 195.9 ล้านล้านบาท
สหภาพโซเวียต 129.9 ล้านล้านบาท
เยอรมนีตะวันตก 80.7 ล้านล้านบาท
ฝรั่งเศส 66.2 ล้านล้านบาท

เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ก็เริ่มเบ่งบานในทศวรรษนี้เช่นกัน

บริษัท Microsoft ซึ่งก่อตั้งในทศวรรษที่แล้วได้ออก Windows 1.0 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ในปี ค.ศ. 1985 และ “เมาส์” ซึ่งเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับผู้ใช้งาน ก็ถือกำเนิดขึ้นจากสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ดในปี ค.ศ. 1986 และได้ปล่อยเช่าเทคโนโลยีนี้ให้กับบริษัท Apple บริษัทที่ก่อตั้งในทศวรรษนี้ ส่วนใหญ่จึงเป็นบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี

Adobe ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1982
John Warnock และคู่หู Charles Geschke ซึ่งเคยทำงานอยู่ในบริษัท Xerox มาก่อน ได้ลาออกจากบริษัทเก่าเพื่อมาก่อตั้งบริษัท Adobe Systems
เพื่อพัฒนา Adobe PostScript โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยแปลงรูปแบบคำสั่งจากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องพิมพ์

ซึ่งภายหลัง บริษัท Apple ได้ซื้อสิทธิ์ในการใช้งานโปรแกรมนี้ ทำให้บริษัท Adobe เริ่มมีชื่อเสียง และกลายเป็นบริษัทผู้พัฒนาโปรแกรมสำหรับงาน
ออกแบบที่มีผู้ใช้งานทั่วโลก

Dell ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1984

Michael Dell นักศึกษามหาวิทยาลัยผู้สนใจในโลกของคอมพิวเตอร์ เมื่อรวมกับความสามารถทางธุรกิจอันโดดเด่น เขาจึงตัดสินใจพักการเรียนมา
ตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ด้วยเงินทุนเริ่มต้นเพียง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ การทำธุรกิจขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์โดยตรงแก่ลูกค้ามากมาย ส่งผลให้เขารู้ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า จนนำมาสู่คอมพิวเตอร์ของตัวเองเครื่องแรก (Turbo PC) ในปี ค.ศ. 1985

Huawei ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1987

ตามนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจจีนของผู้นำเติ้ง เสี่ยวผิง ได้กำหนดให้เซินเจิ้น หมู่บ้านชาวประมงอันเงียบเหงา ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ตรงข้ามเขตปกครองพิเศษฮ่องกงให้กลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษในปี ค.ศ. 1980 โดยมีการสนับสนุนให้คนในประเทศสร้างธุรกิจของตนเอง

Ren Zhengfei อดีตวิศวกรในกองทัพของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งถูกปลดออกจากตำแหน่ง จึงตัดสินใจเดินทางไปเมืองเซินเจิ้นเพื่อก่อตั้งบริษัท Huawei
ขึ้นมาด้วยทุนแรกเริ่ม 1 แสนบาท พร้อมผู้ร่วมก่อตั้งอีก 6 คน โดยเริ่มต้นธุรกิจจากการซื้อมาขายไป
ภายหลังจึงเปลี่ยนบทบาทกลายมาเป็นผู้ผลิตและติดตั้งระบบโทรคมนาคมและต่อยอดไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดอื่นๆ จนกลายเป็นอาณาจักร
Huawei ในปัจจุบัน

ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1989 ประกอบไปด้วย..

สาธารณรัฐประชาชนจีน 1,110 ล้านคน
อินเดีย 814 ล้านคน
สหภาพโซเวียต 288 ล้านคน
สหรัฐอเมริกา 250 ล้านคน
อินโดนีเซีย 175 ล้านคน

ฝั่งสหภาพโซเวียต ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ซึ่งส่งผลให้ผลิตภาพ (Productivity) ทางเศรษฐกิจตกต่ำเป็นปัญหาเรื้อรังที่มีมานานหลายทศวรรษ ในขณะที่รัฐบาลกลับต้องทุ่มงบไปใช้ทางการทหาร จนแทบไม่มีงบประมาณเหลือมาพัฒนาเศรษฐกิจ ประธานาธิบดีมีฮาอิล กอร์บาชอฟ จึงได้ดําเนินนโยบายเปิด-ปรับ หรือ กลาสนอสต์ (Glasnost) - เปเรสทรอยกา (Perestroika) ซึ่งเป็นนโยบายที่มีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้มีความเป็นทุนนิยมเสรีมากขึ้นและยกเลิกให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรป
ตะวันออก

จนเกิดเป็นกระแสความเคลื่อนไหวของการเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ในหลายประเทศในยุโรปตะวันออก สุดท้าย การล่มสลายของกําแพงเบอร์ลิน ในประเทศเยอรมนีก็เกิดขึ้น ในปี ค.ศ. 1989

ซึ่งเหตุการณ์นี้ นํามาสู่การล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในที่สุด

ส่วนชาวญี่ปุ่นซึ่งกําลังมีความสุขอยู่บนความมั่งคั่ง
ส่วนหนึ่งก็มีที่มาจากนโยบายทางการเงินที่หละหลวม ธนาคารทําการปล่อยกู้ง่าย จนประชาชนต่างรู้สึกว่าเงินเป็นสิ่งที่หาง่าย แม้จะเป็นนโยบายของรัฐบาลที่หวังกระตุ้นการบริโภคให้คึกคัก แต่กลับนํามาสู่การใช้จ่ายเกินตัวของภาคเอกชน
ในขณะที่ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น กลับทําให้เงินทุนไหลออกจากญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งเพื่อไปลงทุน และเพื่อออกไปเก็งกําไรในตลาดเงินระดับโลก ธนาคารกลางญี่ปุ่นจึงจําเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศให้สูงขึ้น โดยหวังจะสกัดการไหลออกของเงิน

แต่เงินก็ยังคงไหลออกไม่หยุดแต่อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น กลับทําให้ประชาชนและบริษัทญี่ปุ่นที่ทําการกู้ยืม เงินไม่สามารถนําระหนี้ได้ หนี้สูญที่เกิดขึ้นทั่วประเทศญี่ปุ่น นํามาสู่การล้มของภาคธุรกิจเอกชน คนว่างงานเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เคยพุ่งสูงก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ

ท้ายที่สุด งานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา โดยไม่มีใครคาดคิดว่าดินแดนแห่งพระอาทิตย์อุทัย จะเดินทางมาสู่ยามอัสดงได้ ภายในเวลาเพียงทศวรรษเดียว..

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่