ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสถานการณ์ของญี่ปุ่นเริ่มย่ำแย่ลงเรื่อยๆ กองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นได้พัฒนาอาวุธที่น่าสยดสยองและแสดงถึงความสิ้นหวังอย่างสุดโต่ง นั่นคือ ตอร์ปิโดมนุษย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไคเทน (Kaiten)
.
1. ความสิ้นหวังในสมรภูมิ
หลังจากยุทธนาวีที่มิดเวย์และยุทธนาวีที่เลย์เต กองทัพเรือญี่ปุ่นสูญเสียเรือรบและนักบินไปเป็นจำนวนมาก พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับกองเรือฝ่ายสัมพันธมิตรที่มีจำนวนเหนือกว่าอย่างท่วมท้น
ด้วยความพยายามที่จะสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเรือรบฝ่ายสัมพันธมิตร ญี่ปุ่นจึงหันมาใช้อาวุธที่มีแนวคิดแบบ "พลีชีพ" (Suicide Weapon) ซึ่งรวมถึงหน่วยคามิคาเซะ (Kamikaze) และไคเทน
.
2. ไคเทน: ตอร์ปิโดมนุษย์
ไคเทนคือ ตอร์ปิโด Type 93 (Long Lance) ขนาดใหญ่ที่ถูกดัดแปลงให้มี ห้องพลขับอยู่ภายใน
พลขับ (ซึ่งเป็นทหารหนุ่มที่สมัครใจ) จะนั่งอยู่ภายในตอร์ปิโด และควบคุมมันด้วยตนเองให้พุ่งชนเรือรบของศัตรู
ไคเทนบรรจุหัวรบขนาดใหญ่มาก (ประมาณ 1,550 กิโลกรัมของระเบิด) ซึ่งมีพลังทำลายล้างสูงกว่าตอร์ปิโดปกติหลายเท่า
จุดประสงค์คือการพุ่งชนเรือบรรทุกเครื่องบิน หรือเรือประจัญบานของฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อสร้างความเสียหายถึงขั้นจมเรือได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
.
3. การใช้งานและผลลัพธ์
พลขับได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มข้น และถูกสอนให้เชื่อว่าการเสียสละตนเองเพื่อจักรพรรดิและประเทศชาติคือเกียรติยศสูงสุด
ไคเทนถูกนำไปใช้งานในช่วงปลายปี 1944 และ 1945 โดยมักจะถูกปล่อยจากเรือดำน้ำขนาดใหญ่ที่บรรทุกพวกมันไปใกล้เป้าหมาย
แม้ว่าจะมีพลขับไคเทนเสียชีวิตกว่า 100 คน และมีการโจมตีเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ไคเทนก็ประสบความสำเร็จในการจมเรือรบฝ่ายสัมพันธมิตรขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ลำ (ส่วนใหญ่เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดเล็กและเรือพิฆาต) การโจมตีส่วนใหญ่มักจะพลาดเป้า หรือถูกตรวจจับและทำลายก่อน
.
ไคเทนเป็นสัญลักษณ์ของความสิ้นหวังอย่างสุดโต่งของญี่ปุ่นในช่วงท้ายสงคราม ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างจำกัดเมื่อเทียบกับการเสียชีวิตของนักบิน
เรื่องราวของไคเทนสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงและแนวคิดที่แตกต่างกันของสงคราม รวมถึงความสิ้นหวังที่ผลักดันให้เกิดการเสียสละอันน่าเศร้าครับ
ขอขอบคุณเพจตู้หนังสือเก่าเล่าเรื่องจากเฟซบุ๊คที่อนุญาตให้เผยแพร่ข้อมูลนะครับ
ตู้หนังสือเก่าเล่าเรื่อง
🌊 ตอร์ปิโดพลีชีพของญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2: ไคเทน (Kaiten - Human Torpedoes)
.
1. ความสิ้นหวังในสมรภูมิ
หลังจากยุทธนาวีที่มิดเวย์และยุทธนาวีที่เลย์เต กองทัพเรือญี่ปุ่นสูญเสียเรือรบและนักบินไปเป็นจำนวนมาก พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับกองเรือฝ่ายสัมพันธมิตรที่มีจำนวนเหนือกว่าอย่างท่วมท้น
ด้วยความพยายามที่จะสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเรือรบฝ่ายสัมพันธมิตร ญี่ปุ่นจึงหันมาใช้อาวุธที่มีแนวคิดแบบ "พลีชีพ" (Suicide Weapon) ซึ่งรวมถึงหน่วยคามิคาเซะ (Kamikaze) และไคเทน
.
2. ไคเทน: ตอร์ปิโดมนุษย์
ไคเทนคือ ตอร์ปิโด Type 93 (Long Lance) ขนาดใหญ่ที่ถูกดัดแปลงให้มี ห้องพลขับอยู่ภายใน
พลขับ (ซึ่งเป็นทหารหนุ่มที่สมัครใจ) จะนั่งอยู่ภายในตอร์ปิโด และควบคุมมันด้วยตนเองให้พุ่งชนเรือรบของศัตรู
ไคเทนบรรจุหัวรบขนาดใหญ่มาก (ประมาณ 1,550 กิโลกรัมของระเบิด) ซึ่งมีพลังทำลายล้างสูงกว่าตอร์ปิโดปกติหลายเท่า
จุดประสงค์คือการพุ่งชนเรือบรรทุกเครื่องบิน หรือเรือประจัญบานของฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อสร้างความเสียหายถึงขั้นจมเรือได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
.
3. การใช้งานและผลลัพธ์
พลขับได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มข้น และถูกสอนให้เชื่อว่าการเสียสละตนเองเพื่อจักรพรรดิและประเทศชาติคือเกียรติยศสูงสุด
ไคเทนถูกนำไปใช้งานในช่วงปลายปี 1944 และ 1945 โดยมักจะถูกปล่อยจากเรือดำน้ำขนาดใหญ่ที่บรรทุกพวกมันไปใกล้เป้าหมาย
แม้ว่าจะมีพลขับไคเทนเสียชีวิตกว่า 100 คน และมีการโจมตีเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ไคเทนก็ประสบความสำเร็จในการจมเรือรบฝ่ายสัมพันธมิตรขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ลำ (ส่วนใหญ่เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดเล็กและเรือพิฆาต) การโจมตีส่วนใหญ่มักจะพลาดเป้า หรือถูกตรวจจับและทำลายก่อน
.
ไคเทนเป็นสัญลักษณ์ของความสิ้นหวังอย่างสุดโต่งของญี่ปุ่นในช่วงท้ายสงคราม ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างจำกัดเมื่อเทียบกับการเสียชีวิตของนักบิน
เรื่องราวของไคเทนสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงและแนวคิดที่แตกต่างกันของสงคราม รวมถึงความสิ้นหวังที่ผลักดันให้เกิดการเสียสละอันน่าเศร้าครับ
ขอขอบคุณเพจตู้หนังสือเก่าเล่าเรื่องจากเฟซบุ๊คที่อนุญาตให้เผยแพร่ข้อมูลนะครับ
ตู้หนังสือเก่าเล่าเรื่อง