ถ้าถามว่าอะไรเป็นเหมือน “กระดูกสันหลัง” ของ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา คําตอบมีอยู่ 2 อย่าง ก็คือ
1. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
2. น้ำมัน
เพื่อที่จะวางตัวให้อยู่ในฐานะผู้นําทางเศรษฐกิจ และการเงินของโลก สหรัฐอเมริกาจําเป็นต้องกําหนดราคาทั้งสองสิ่งนี้ให้นิ่ง และมีเสถียรภาพ
นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบียบการเงินโลกใหม่ภายใต้ระบบ Bretton Woods ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นผู้กําหนด
ทําให้ ดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นสกุลเงินหลักของโลก และเป็นสกุลเงินเดียวที่มีทองคําหนุนหลัง
แต่ในช่วงปี ค.ศ. 1963 - ค.ศ. 1969 สหรัฐอเมริกาได้มีการพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ในการทําสงครามเวียดนามและสร้างสวัสดิการให้แก่ประชาชน
โดยไม่ได้ตระหนักถึงปริมาณทองคําสํารองที่ไม่เพียงพอจึงส่งผลให้เงินเฟ้อสูง และขาดดุลงบประมาณอย่างมหาศาล บรรดาประเทศต่างๆ เริ่มขาดความเชื่อมั่นในอัตแลกเปลี่ยนของดอลลาร์สหรัฐต่อทองคํา เมื่อภาวะเงินเฟ้อเข้าขั้นรุนแรง ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน จึงได้ประกาศยกเลิกรับแลกดอลลาร์สหรัฐกับทองคํา ในปี ค.ศ. 1971
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจคิดว่าดอลลาร์สหรัฐต้องหมดค่า และคนจะกลับไปยึดทองคําเป็นสื่อกลางของโลกนี้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่อย่างนั้น
นับตั้งแต่นั้นมาทองคําก็ได้ “จบการทําหน้าที่” เป็นตัวค้ําประกันเงินตราระหว่างประเทศ โดยสมบูรณ์
โดยสิ่งที่เป็นหลักค้ําประกัน หนุนหลังแทนทองคํานั้นคือ “เงินสํารอง ระหว่างประเทศ” โดยที่ เงินสํารองระหว่างประเทศ เกือบทุกประเทศ ก็จะมีเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือ พันธบัตรรัฐบาล ของสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก
เมื่อจัดการควบคุมค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องควบคุมให้มีเสถียรภาพคือ น้ํามัน
ภูมิภาคที่เป็นแหล่งทรัพยากรน้ํามันสําคัญของโลกก็คือ “ตะวันออกกลาง” หลายประเทศในภูมิภาคนี้มีแหล่งน้ํามันดิบสํารองปริมาณมหาศาล และได้ รวมตัวกันก่อตั้งองค์การผู้ส่งออกน้ํามัน หรือเรียกว่า โอเปก (OPEC) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960
องค์การนี้มีส่วนสําคัญในการกําหนดปริมาณการผลิต และราคาน้ํามันโลก ประชากรส่วนใหญ่ของภูมิภาคตะวันออกกลางมีเชื้อสายอาหรับ และ
นับถือศาสนาอิสลาม แต่การถือกําาเนิดของประเทศซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวยิวนามว่า
“อิสราเอล” หลังจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มประเทศอาหรับที่อยู่โดยรอบจนนํามาสู่ความขัดแย้งหลายต่อหลายครั้ง
เนื่องจากประเทศอิสราเอล มีสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรที่สําคัญ เมื่อเกิดสงคราม Yom Kippur ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1973 กลุ่มประเทศอาหรับ นําโดยอียิปต์และซีเรีย โจมตีอิสราเอลในวันสําคัญทางศาสนาของชาวยิว สหรัฐอเมริกาเลือกที่จะให้ความช่วยเหลือแก่อิสราเอล กลุ่มประเทศ OPEC รวมไปถึงอียิปต์และซีเรีย จึงประกาศงดการส่งออกน้ำมันให้กับประเทศสหรัฐอเมริกาโดยเด็ดขาด (Oil Embargo) อีกทั้งยังลดกําลังการผลิตน้ํามัน และประกาศขึ้นราคาน้ำมัน ส่งผลให้ราคาน้ํามันในตลาดโลกถีบตัวสูงขึ้นถึง 4 เท่าตัว จนเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงตามมา
อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา
ปี ค.ศ. 1973 อยู่ที่ระดับ 6.2%
ปี ค.ศ. 1974 อยู่ที่ระดับ 11.0%
ปี ค.ศ. 1975 อยู่ที่ระดับ 9.1%
ในขณะนั้นกําลังการผลิตน้ํามันของสหรัฐอเมริกาได้ผ่านช่วงจุดสูงสุดไปแล้วไม่สามารถเพิ่มกําลังการผลิตได้อีก ทําให้เกิดสภาวะขาดแคลนน้ํามัน จนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องประกาศ นโยบายการประหยัดพลังงาน เช่น จํากัดความเร็วบนทางหลวง
อุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพิงพลังงานในการผลิตอย่างมาก เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก ก็เกิดวิกฤติอย่างหนัก
เรื่องนี้นํามาสู่วิกฤติเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 1973 เมื่อตลาดหุ้นทั่วโลกต่างพากันปรับตัวลดลง
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลงกว่า 45% นับว่าเป็นการปรับตัวลดลงหนักที่สุดนับตั้งแต่เผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ Great
Depression ในช่วงปี ค.ศ. 1930
แต่ปัญหาด้านราคาน้ํามันที่สูงขึ้น ก็เปิดโอกาสให้บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติ ญี่ปุ่น ทั้ง Toyota, Honda และ Nissan ซึ่งใช้น้ํามันน้อยกว่า เริ่มเข้าไป ตีตลาดทั้งในสหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศทั่วโลก
อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ ทําให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลานี้จนในที่สุดญี่ปุ่นได้กลายเป็นมหาอํานาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก แซงหน้าทั้งเยอรมนีตะวันตกและสหภาพโซเวียตในขณะนั้น สหภาพโซเวียตเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนผลผลิตทาง การเกษตร เนื่องจากระบบการจัดการชลประทานที่ล้มเหลว และการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรกรรม ในขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมก็ถดถอยเนื่องจากภาวะเสื่อมของเครื่องจักรในโรงงาน
ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตกําลังเริ่มสั่นคลอน ทําให้รัฐบาลต้องลดงบประมาณในการสํารวจอวกาศมาใช้ในการฟื้นฟู
เศรษฐกิจที่ย่ำแย่
ประเทศที่มีขนาด GDP มากที่สุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1979 เมื่อเทียบ เป็นมูลค่าในปี ค.ศ. 2018
สหรัฐอเมริกา 278.8 ล้านล้านบาท
ญี่ปุ่น 113.7 ล้านล้านบาท
สหภาพโซเวียต 109.7 ล้านล้านบาท
เยอรมนีตะวันตก 93.5 ล้านล้านบาท
ฝรั่งเศส 66.3 ล้านล้านบาท
แม้ท้ายที่สุด ข้อตกลงค่ายเดวิด (Camp David Accords) ในปี ค.ศ. 1978 จะคืนความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับอียิปต์ และลดความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางลง แต่วิกฤติน้ำมันที่เกิดขึ้น ก็ก่อให้เกิดการแสวงหาแหล่งน้ำมันจากแห่งอื่น
นอกจากภูมิภาคนี้ ทั้งแคนาดา อะแลสกาของสหรัฐอเมริกา และไซบีเรียของสหภาพโซเวียต
รวมไปถึงการพัฒนาพลังงานทางเลือกอื่นนอกจากน้ำมัน เช่น พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์
ในขณะที่อุตสาหกรรมน้ำมัน และยานยนต์ได้รับผลกระทบอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีกลับเจริญเติบโต ในทศวรรษนี้ มีบริษัทด้านเทคโนโลยีถือกำเนิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะในฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา
Microsoft ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1975 เมื่อบริษัท Micro Instrumentation and Telemetry Systems (MITS) กำลังจะออกคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นใหม่ แต่ยังไม่สามารถวางขายได้
เพราะติดปัญหาเรื่องซอฟต์แวร์ที่จะทำให้ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ง่าย คู่หู พอล อัลเลน และ บิลล์ เกตส์ จึงได้เสนอโปรแกรม BASIC เพื่อใช้แก้ไข
ปัญหานี้จนท้ายที่สุด บริษัท MITS ได้เลือกใช้โปรแกรมนี้และนับเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลกนับตั้งแต่นั้นมา
ที่น่าสนใจคือ Microsoft ได้ก้าวมาเป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่สุดในโลกปัจจุบันและบริษัทที่ใหญ่ไมแพ้กันก็เกิดขึ้นไล่เลี่ยกันในช่วงเวลานั้น
บริษัทนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ทุกคนรู้จักกันดีในชื่อบริษัท Apple
Apple ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1976
คู่หู สตีฟ จอบส์ และ สตีฟ วอซเนียก ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Apple โดยมีสินค้าชิ้นแรก คือ แผงวงจรคอมพิวเตอร์ ที่ วอซเนียก ประดิษฐ์ขึ้นและถูกตั้งชื่อในภายหลังว่า Apple I (Apple one)
Apple I เป็นคอมพิวเตอร์ที่ดูเทอะทะ น่ากลัว และดูไม่น่าใช้เลยสำหรับสายตาของคนทั่วไป
จอบส์ จึงวางแผนขาย Apple I และนำเงินมาเป็นทุนในการสร้าง Apple II ซึ่งจอบส์ได้เข้ามามีส่วนช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์จนทำให้ Apple II กลายเป็นคอมพิวเตอร์ที่สวย สะอาดตาและทำให้คนที่ไม่ได้บ้าเทคโนโลยีก็รู้สึกอยากลองซื้อไว้ใช้สักเครื่องและการออกแบบผลิตภัณฑ์ของ สตีฟ จอบส์ ได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น iPhone นวัตกรรมเปลี่ยนโลกที่ทุกคนรู้จักกัน
Oracle ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1977 โดยรับโปรเจกต์รวบรวมฐานข้อมูลมหาศาลให้ CIA ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ แลร์รี เอลลิสัน ได้ก่อตั้งบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ สำหรับวางแผนข้อมูลและทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร หรือที่เรียกกันว่า ERP (Enterprise Resource Planning) จนในที่สุด Oracle ได้กลายเป็นซอฟต์แวร์ที่องค์กรทั่วโลกนิยมใช้งาน ประชากรโลกเพิ่มขึ้นจนถึง 4,000 ล้านคน ในช่วงกลางทศวรรษนี้
โดยประเทศที่มีประชากรมากที่สุด 5 อันดับแรกในปี ค.ศ. 1979 ได้แก่
สาธารณรัฐประชาชนจีน 969.0 ล้านคน
อินเดีย 664.0 ล้านคน
สหภาพโซเวียต 263.8 ล้านคน
สหรัฐอเมริกา 225.1 ล้านคน
อินโดนีเซีย 143.5 ล้านคน
ความกังวลว่า หากมีประชากรเพิ่มขึ้นมาก จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจจีนที่บอบช้ำอยู่แล้ว าแย่ลงไปอีก
ทำให้รัฐบาลจีนภายใต้ผู้นำคนใหม่ เติ้งเสี่ยวผิง ประกาศนโยบายลูกคนเดียว ในปี ค.ศ. 1978 เพื่อควบคุมจำนวนประชากรให้เหมาะสมและในปีเดียวกันนั้นเอง รัฐบาลก็ได้เริ่มทำการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน ด้วยนโยบาย 4 ทันสมัย คือการพัฒนาเศรษฐกิจ 4 เรื่อง ได้แก่ การเกษตร อุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ
“ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดํา ขอเพียงจับหนูได้ ก็ถือเป็นแมวที่ดี”วาทะของผู้นําเติ้ง เสี่ยวผิง สื่อถึงความต้องการให้ประเทศจีน พัฒนาให้ ทันสมัยอย่างรวดเร็วที่สุดไม่ว่าจะดําเนินด้วยนโยบายเศรษฐกิจในรูปแบบใดจนเกิดเป็นการดําเนินนโยบายเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งผนวกระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี ให้เข้ากับการที่รัฐยังมีบทบาทในการควบคุมการพัฒนาทาง เศรษฐกิจ จนกลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้ ระบบเศรษฐกิจที่จะพลิกโฉมประเทศจีน จากประเทศยากจนล้าหลัง ให้กลายเป็นมังกรที่พร้อมจะสั่นสะเทือนโลกทั้งใบ..
แต่สําหรับญี่ปุ่น ประเทศที่กําลังสั่นสะเทือนโลกอยู่นั้น ยังไม่รู้ตัวว่า ในอนาคตอันใกล้ ตัวเองกําลังเจอปัญหาครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนจากประเทศที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ให้กลายเป็นประเทศที่สูญหายไปอีก 3 ทศวรรษ
ตอนที่ 21 วิกฤติน้ำมัน ค.ศ.1970-1979
1. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
2. น้ำมัน
เพื่อที่จะวางตัวให้อยู่ในฐานะผู้นําทางเศรษฐกิจ และการเงินของโลก สหรัฐอเมริกาจําเป็นต้องกําหนดราคาทั้งสองสิ่งนี้ให้นิ่ง และมีเสถียรภาพ
นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบียบการเงินโลกใหม่ภายใต้ระบบ Bretton Woods ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นผู้กําหนด
ทําให้ ดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นสกุลเงินหลักของโลก และเป็นสกุลเงินเดียวที่มีทองคําหนุนหลัง
แต่ในช่วงปี ค.ศ. 1963 - ค.ศ. 1969 สหรัฐอเมริกาได้มีการพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ในการทําสงครามเวียดนามและสร้างสวัสดิการให้แก่ประชาชน
โดยไม่ได้ตระหนักถึงปริมาณทองคําสํารองที่ไม่เพียงพอจึงส่งผลให้เงินเฟ้อสูง และขาดดุลงบประมาณอย่างมหาศาล บรรดาประเทศต่างๆ เริ่มขาดความเชื่อมั่นในอัตแลกเปลี่ยนของดอลลาร์สหรัฐต่อทองคํา เมื่อภาวะเงินเฟ้อเข้าขั้นรุนแรง ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน จึงได้ประกาศยกเลิกรับแลกดอลลาร์สหรัฐกับทองคํา ในปี ค.ศ. 1971
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจคิดว่าดอลลาร์สหรัฐต้องหมดค่า และคนจะกลับไปยึดทองคําเป็นสื่อกลางของโลกนี้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่อย่างนั้น
นับตั้งแต่นั้นมาทองคําก็ได้ “จบการทําหน้าที่” เป็นตัวค้ําประกันเงินตราระหว่างประเทศ โดยสมบูรณ์
โดยสิ่งที่เป็นหลักค้ําประกัน หนุนหลังแทนทองคํานั้นคือ “เงินสํารอง ระหว่างประเทศ” โดยที่ เงินสํารองระหว่างประเทศ เกือบทุกประเทศ ก็จะมีเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือ พันธบัตรรัฐบาล ของสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก
เมื่อจัดการควบคุมค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องควบคุมให้มีเสถียรภาพคือ น้ํามัน
ภูมิภาคที่เป็นแหล่งทรัพยากรน้ํามันสําคัญของโลกก็คือ “ตะวันออกกลาง” หลายประเทศในภูมิภาคนี้มีแหล่งน้ํามันดิบสํารองปริมาณมหาศาล และได้ รวมตัวกันก่อตั้งองค์การผู้ส่งออกน้ํามัน หรือเรียกว่า โอเปก (OPEC) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960
องค์การนี้มีส่วนสําคัญในการกําหนดปริมาณการผลิต และราคาน้ํามันโลก ประชากรส่วนใหญ่ของภูมิภาคตะวันออกกลางมีเชื้อสายอาหรับ และ
นับถือศาสนาอิสลาม แต่การถือกําาเนิดของประเทศซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวยิวนามว่า
“อิสราเอล” หลังจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มประเทศอาหรับที่อยู่โดยรอบจนนํามาสู่ความขัดแย้งหลายต่อหลายครั้ง
เนื่องจากประเทศอิสราเอล มีสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรที่สําคัญ เมื่อเกิดสงคราม Yom Kippur ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1973 กลุ่มประเทศอาหรับ นําโดยอียิปต์และซีเรีย โจมตีอิสราเอลในวันสําคัญทางศาสนาของชาวยิว สหรัฐอเมริกาเลือกที่จะให้ความช่วยเหลือแก่อิสราเอล กลุ่มประเทศ OPEC รวมไปถึงอียิปต์และซีเรีย จึงประกาศงดการส่งออกน้ำมันให้กับประเทศสหรัฐอเมริกาโดยเด็ดขาด (Oil Embargo) อีกทั้งยังลดกําลังการผลิตน้ํามัน และประกาศขึ้นราคาน้ำมัน ส่งผลให้ราคาน้ํามันในตลาดโลกถีบตัวสูงขึ้นถึง 4 เท่าตัว จนเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงตามมา
อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา
ปี ค.ศ. 1973 อยู่ที่ระดับ 6.2%
ปี ค.ศ. 1974 อยู่ที่ระดับ 11.0%
ปี ค.ศ. 1975 อยู่ที่ระดับ 9.1%
ในขณะนั้นกําลังการผลิตน้ํามันของสหรัฐอเมริกาได้ผ่านช่วงจุดสูงสุดไปแล้วไม่สามารถเพิ่มกําลังการผลิตได้อีก ทําให้เกิดสภาวะขาดแคลนน้ํามัน จนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องประกาศ นโยบายการประหยัดพลังงาน เช่น จํากัดความเร็วบนทางหลวง
อุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพิงพลังงานในการผลิตอย่างมาก เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก ก็เกิดวิกฤติอย่างหนัก
เรื่องนี้นํามาสู่วิกฤติเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 1973 เมื่อตลาดหุ้นทั่วโลกต่างพากันปรับตัวลดลง
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลงกว่า 45% นับว่าเป็นการปรับตัวลดลงหนักที่สุดนับตั้งแต่เผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ Great
Depression ในช่วงปี ค.ศ. 1930
แต่ปัญหาด้านราคาน้ํามันที่สูงขึ้น ก็เปิดโอกาสให้บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติ ญี่ปุ่น ทั้ง Toyota, Honda และ Nissan ซึ่งใช้น้ํามันน้อยกว่า เริ่มเข้าไป ตีตลาดทั้งในสหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศทั่วโลก
อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ ทําให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลานี้จนในที่สุดญี่ปุ่นได้กลายเป็นมหาอํานาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก แซงหน้าทั้งเยอรมนีตะวันตกและสหภาพโซเวียตในขณะนั้น สหภาพโซเวียตเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนผลผลิตทาง การเกษตร เนื่องจากระบบการจัดการชลประทานที่ล้มเหลว และการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรกรรม ในขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมก็ถดถอยเนื่องจากภาวะเสื่อมของเครื่องจักรในโรงงาน
ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตกําลังเริ่มสั่นคลอน ทําให้รัฐบาลต้องลดงบประมาณในการสํารวจอวกาศมาใช้ในการฟื้นฟู
เศรษฐกิจที่ย่ำแย่
ประเทศที่มีขนาด GDP มากที่สุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1979 เมื่อเทียบ เป็นมูลค่าในปี ค.ศ. 2018
สหรัฐอเมริกา 278.8 ล้านล้านบาท
ญี่ปุ่น 113.7 ล้านล้านบาท
สหภาพโซเวียต 109.7 ล้านล้านบาท
เยอรมนีตะวันตก 93.5 ล้านล้านบาท
ฝรั่งเศส 66.3 ล้านล้านบาท
แม้ท้ายที่สุด ข้อตกลงค่ายเดวิด (Camp David Accords) ในปี ค.ศ. 1978 จะคืนความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับอียิปต์ และลดความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางลง แต่วิกฤติน้ำมันที่เกิดขึ้น ก็ก่อให้เกิดการแสวงหาแหล่งน้ำมันจากแห่งอื่น
นอกจากภูมิภาคนี้ ทั้งแคนาดา อะแลสกาของสหรัฐอเมริกา และไซบีเรียของสหภาพโซเวียต
รวมไปถึงการพัฒนาพลังงานทางเลือกอื่นนอกจากน้ำมัน เช่น พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์
ในขณะที่อุตสาหกรรมน้ำมัน และยานยนต์ได้รับผลกระทบอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีกลับเจริญเติบโต ในทศวรรษนี้ มีบริษัทด้านเทคโนโลยีถือกำเนิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะในฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา
Microsoft ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1975 เมื่อบริษัท Micro Instrumentation and Telemetry Systems (MITS) กำลังจะออกคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นใหม่ แต่ยังไม่สามารถวางขายได้
เพราะติดปัญหาเรื่องซอฟต์แวร์ที่จะทำให้ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ง่าย คู่หู พอล อัลเลน และ บิลล์ เกตส์ จึงได้เสนอโปรแกรม BASIC เพื่อใช้แก้ไข
ปัญหานี้จนท้ายที่สุด บริษัท MITS ได้เลือกใช้โปรแกรมนี้และนับเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลกนับตั้งแต่นั้นมา
ที่น่าสนใจคือ Microsoft ได้ก้าวมาเป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่สุดในโลกปัจจุบันและบริษัทที่ใหญ่ไมแพ้กันก็เกิดขึ้นไล่เลี่ยกันในช่วงเวลานั้น
บริษัทนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ทุกคนรู้จักกันดีในชื่อบริษัท Apple
Apple ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1976
คู่หู สตีฟ จอบส์ และ สตีฟ วอซเนียก ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Apple โดยมีสินค้าชิ้นแรก คือ แผงวงจรคอมพิวเตอร์ ที่ วอซเนียก ประดิษฐ์ขึ้นและถูกตั้งชื่อในภายหลังว่า Apple I (Apple one)
Apple I เป็นคอมพิวเตอร์ที่ดูเทอะทะ น่ากลัว และดูไม่น่าใช้เลยสำหรับสายตาของคนทั่วไป
จอบส์ จึงวางแผนขาย Apple I และนำเงินมาเป็นทุนในการสร้าง Apple II ซึ่งจอบส์ได้เข้ามามีส่วนช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์จนทำให้ Apple II กลายเป็นคอมพิวเตอร์ที่สวย สะอาดตาและทำให้คนที่ไม่ได้บ้าเทคโนโลยีก็รู้สึกอยากลองซื้อไว้ใช้สักเครื่องและการออกแบบผลิตภัณฑ์ของ สตีฟ จอบส์ ได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น iPhone นวัตกรรมเปลี่ยนโลกที่ทุกคนรู้จักกัน
Oracle ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1977 โดยรับโปรเจกต์รวบรวมฐานข้อมูลมหาศาลให้ CIA ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ แลร์รี เอลลิสัน ได้ก่อตั้งบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ สำหรับวางแผนข้อมูลและทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร หรือที่เรียกกันว่า ERP (Enterprise Resource Planning) จนในที่สุด Oracle ได้กลายเป็นซอฟต์แวร์ที่องค์กรทั่วโลกนิยมใช้งาน ประชากรโลกเพิ่มขึ้นจนถึง 4,000 ล้านคน ในช่วงกลางทศวรรษนี้
โดยประเทศที่มีประชากรมากที่สุด 5 อันดับแรกในปี ค.ศ. 1979 ได้แก่
สาธารณรัฐประชาชนจีน 969.0 ล้านคน
อินเดีย 664.0 ล้านคน
สหภาพโซเวียต 263.8 ล้านคน
สหรัฐอเมริกา 225.1 ล้านคน
อินโดนีเซีย 143.5 ล้านคน
ความกังวลว่า หากมีประชากรเพิ่มขึ้นมาก จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจจีนที่บอบช้ำอยู่แล้ว าแย่ลงไปอีก
ทำให้รัฐบาลจีนภายใต้ผู้นำคนใหม่ เติ้งเสี่ยวผิง ประกาศนโยบายลูกคนเดียว ในปี ค.ศ. 1978 เพื่อควบคุมจำนวนประชากรให้เหมาะสมและในปีเดียวกันนั้นเอง รัฐบาลก็ได้เริ่มทำการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน ด้วยนโยบาย 4 ทันสมัย คือการพัฒนาเศรษฐกิจ 4 เรื่อง ได้แก่ การเกษตร อุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ
“ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดํา ขอเพียงจับหนูได้ ก็ถือเป็นแมวที่ดี”วาทะของผู้นําเติ้ง เสี่ยวผิง สื่อถึงความต้องการให้ประเทศจีน พัฒนาให้ ทันสมัยอย่างรวดเร็วที่สุดไม่ว่าจะดําเนินด้วยนโยบายเศรษฐกิจในรูปแบบใดจนเกิดเป็นการดําเนินนโยบายเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งผนวกระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี ให้เข้ากับการที่รัฐยังมีบทบาทในการควบคุมการพัฒนาทาง เศรษฐกิจ จนกลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้ ระบบเศรษฐกิจที่จะพลิกโฉมประเทศจีน จากประเทศยากจนล้าหลัง ให้กลายเป็นมังกรที่พร้อมจะสั่นสะเทือนโลกทั้งใบ..
แต่สําหรับญี่ปุ่น ประเทศที่กําลังสั่นสะเทือนโลกอยู่นั้น ยังไม่รู้ตัวว่า ในอนาคตอันใกล้ ตัวเองกําลังเจอปัญหาครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนจากประเทศที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ให้กลายเป็นประเทศที่สูญหายไปอีก 3 ทศวรรษ