สารคดีประวัติศาสตร์ AH-1 Cobra อสรพิษผู้บุกเบิกเฮลิคอปเตอร์โจมตี

Bell AH-1 Cobra เป็นอากาศยานปีกหมุนที่สร้างประวัติศาสตร์ เพราะเป็นเฮลิคอปเตอร์ลำแรกของโลกที่ถูกออกแบบและสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการ รบและโจมตีโดยเฉพาะ ตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ใช่การดัดแปลงจากเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง ความเพรียวบางและอำนาจการยิงของมันในสงครามเวียดนามได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของสงครามภาคพื้นดินไปตลอดกาล และแม้เวลาจะผ่านไปเกือบหกสิบปี จิตวิญญาณของ Cobra ยังคงอยู่ในการประจำการในฐานะ AH-1Z Viper ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จของการออกแบบพื้นฐาน
การถือกำเนิดของ Cobra มาจาก ความจำเป็นเร่งด่วน ในสงครามเวียดนาม เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง Bell UH-1 Huey กลายเป็น "ม้างาน" ที่ขาดไม่ได้ แต่ก็เป็นเป้าหมายที่เปราะบางอย่างยิ่งต่อการโจมตีจากภาคพื้นดิน การดัดแปลง Huey ให้เป็น "กันชิป" เพื่อติดอาวุธนั้นไม่เพียงพอต่อสมรภูมิ เพราะสมรรถนะและความคล่องตัวลดลง ในขณะที่โครงการพัฒนาเฮลิคอปเตอร์โจมตีที่ซับซ้อนกว่าอย่าง AH-56 Cheyenne ก็ประสบปัญหาความล่าช้า บริษัท Bell จึงได้นำเสนอ Model 209 ซึ่งเป็น "โซลูชันเฉพาะหน้า" ที่ชาญฉลาด โดยนำระบบส่งกำลังและโรเตอร์ที่พิสูจน์แล้วจาก Huey มาใช้ร่วมกับลำตัวเครื่องบินใหม่ทั้งหมด ซึ่งช่วยลดเวลาและความเสี่ยงในการพัฒนาได้อย่างมหาศาล
2. การปฏิวัติการออกแบบและบทพิสูจน์ในสมรภูมิ (3.0 & 4.0)
การออกแบบของ AH-1G Cobra รุ่นแรก ถือเป็นการปฏิวัติแนวคิดในยุคนั้น โดยมีลักษณะเด่นคือ ลำตัวที่เพรียวบางมาก (กว้างเพียง 91 ซม.) ทำให้ยากต่อการถูกยิงจากภาคพื้นดิน และใช้ ห้องนักบินแบบเรียงซ้อน (Tandem) ซึ่งทำให้ลำตัวแคบและมอบทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยมให้กับพลปืนที่อยู่ด้านหน้า Cobra ยังติดตั้ง ปีกสั้น (Stub Wings) ที่เป็นจุดติดตั้งอาวุธนานาชนิด โดยมีระบบอาวุธหลักคือป้อมปืนใต้คาง XM28 (ปืนกล Minigun 7.62 มม. และเครื่องยิงลูกระเบิด 40 มม.)
ในสงครามเวียดนาม Cobra คือ ตัวเปลี่ยนเกม ที่สำคัญ มันทำภารกิจหลักสองอย่างคือ:
1.ภารกิจคุ้มกัน (Escort): ปกป้องขบวนเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง Huey จากการซุ่มโจมตี
2.ภารกิจสนับสนุนการยิง (Fire Support): ทำหน้าที่เป็นปืนใหญ่บินได้แก่ทหารภาคพื้นดิน ยุทธวิธีที่สร้างชื่อเสียงที่สุดคือ "ทีมล่า-สังหาร" (Hunter-Killer Team) โดยให้ Cobra บินคู่กับเฮลิคอปเตอร์สอดแนม OH-6A Loach เพื่อล่อให้ข้าศึกเปิดเผยตำแหน่ง ก่อนที่ Cobra จะพุ่งเข้าโจมตีด้วยอำนาจการยิงอันหนักหน่วงทันที ความสำเร็จนี้ได้ตอกย้ำถึงคุณค่าของเฮลิคอปเตอร์โจมตีโดยเฉพาะ
3. วิวัฒนาการที่แตกต่าง: Cobra สองสายพันธุ์ (5.0)
หลังสงครามเวียดนามสิ้นสุดลง Cobra ได้ถูกพัฒนาแยกออกเป็นสองสายพันธุ์หลัก เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน:
Cobra ของกองทัพบกสหรัฐฯ (U.S. Army): เน้นการเผชิญหน้ากับกองทัพรถถังของกลุ่มวอร์ซอในยุโรปเป็นหลัก นำไปสู่การพัฒนารุ่น AH-1Q และต่อมาคือ AH-1F ซึ่งถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการต่อต้านยานเกราะ โดยติดตั้ง ขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถีด้วยสาย TOW เข้าไป
Sea Cobra ของนาวิกโยธินสหรัฐฯ (U.S. Marine Corps - USMC): เน้นการปฏิบัติการยกพลขึ้นบกและบินเหนือน้ำทะเล ซึ่งต้องการความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือที่สูงกว่า นาวิกโยธินจึงพัฒนารุ่น AH-1J Sea Cobra ซึ่งเป็น Cobra รุ่นแรกที่ใช้ เครื่องยนต์คู่ (Twin-engine) เพื่อความซ้ำซ้อนของระบบ นอกจากนี้ยังเปลี่ยนอาวุธปืนหลักเป็น ปืนใหญ่ 20 มม. ที่มีอำนาจทำลายล้างเป้าหมายที่หลากหลายกว่า
4. ยุคทองของ Super Cobra และการเกิดใหม่เป็น Viper (6.0 & 7.0)
เส้นทางการพัฒนาของนาวิกโยธินก้าวหน้าสู่ AH-1W Super Cobra ซึ่งเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ General Electric T700 ที่ ทรงพลังขึ้นถึง 67% ทำให้ความสามารถในการบรรทุกอาวุธเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล มันสามารถติดตั้งขีปนาวุธสำคัญต่างๆ ได้ เช่น Hellfire (ต่อต้านรถถัง) และ AIM-9 Sidewinder (ต่อสู้อากาศยาน) Super Cobra พิสูจน์ตนเองใน สงครามอ่าวเปอร์เซีย (1991) ในปฏิบัติการพายุทะเลทราย โดยเฉพาะใน ยุทธการที่คาฟจิ ซึ่งมันทำลายรถถังและยานเกราะไปกว่า 200 คันโดยไม่มีการสูญเสียตัวเอง
ต่อมา นาวิกโยธินได้ริเริ่ม โครงการอัปเกรด H-1 เพื่อนำ AH-1W ไปสร้างใหม่ (remanufacture) ให้เป็น AH-1Z Viper ที่ทันสมัย โครงการนี้มีเป้าหมายหลักคือการสร้าง "ความเหมือนกันของชิ้นส่วน" (Commonality) ระหว่าง Viper และ UH-1Y Venom เพื่อลดต้นทุนการบำรุงรักษาและการฝึกอบรม การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนจากโรเตอร์ 2 ใบพัดเป็น ระบบโรเตอร์หลัก 4 ใบพัด ที่ทำจากคอมโพสิต ซึ่งเพิ่มสมรรถนะและความทนทานอย่างมาก พร้อมกับการอัปเกรดเป็น ห้องนักบินดิจิทัล (Glass Cockpit) และโดมเซ็นเซอร์ "Hawkeye" ที่ทำให้ Viper กลายเป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีที่ล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพในทุกสภาพอากาศ
5. หัวใจของเครื่องจักรและมรดกที่ทิ้งไว้ (8.0 & 9.0)
เบื้องหลังเครื่องจักรสังหารลำนี้คือ นักบิน Cobra/Viper แห่งนาวิกโยธินสหรัฐฯ พวกเขามีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ต่อภารกิจสูงสุดคือการ "สนับสนุนคนบนพื้นดิน" (support the grunt) และต้องอาศัยทักษะที่สูงมากในการควบคุมอากาศยานที่ถูกเปรียบว่า "เหมือนกับการขี่มอเตอร์ไซค์ในสามมิติ" ความสำเร็จของภารกิจขึ้นอยู่กับความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างนักบินทั้งสองในห้องนักบิน
สารคดีประวัติศาสตร์ AH-1 Cobra อสรพิษผู้บุกเบิกเฮลิคอปเตอร์โจมตี
Bell AH-1 Cobra เป็นอากาศยานปีกหมุนที่สร้างประวัติศาสตร์ เพราะเป็นเฮลิคอปเตอร์ลำแรกของโลกที่ถูกออกแบบและสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการ รบและโจมตีโดยเฉพาะ ตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ใช่การดัดแปลงจากเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง ความเพรียวบางและอำนาจการยิงของมันในสงครามเวียดนามได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของสงครามภาคพื้นดินไปตลอดกาล และแม้เวลาจะผ่านไปเกือบหกสิบปี จิตวิญญาณของ Cobra ยังคงอยู่ในการประจำการในฐานะ AH-1Z Viper ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จของการออกแบบพื้นฐาน
การถือกำเนิดของ Cobra มาจาก ความจำเป็นเร่งด่วน ในสงครามเวียดนาม เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง Bell UH-1 Huey กลายเป็น "ม้างาน" ที่ขาดไม่ได้ แต่ก็เป็นเป้าหมายที่เปราะบางอย่างยิ่งต่อการโจมตีจากภาคพื้นดิน การดัดแปลง Huey ให้เป็น "กันชิป" เพื่อติดอาวุธนั้นไม่เพียงพอต่อสมรภูมิ เพราะสมรรถนะและความคล่องตัวลดลง ในขณะที่โครงการพัฒนาเฮลิคอปเตอร์โจมตีที่ซับซ้อนกว่าอย่าง AH-56 Cheyenne ก็ประสบปัญหาความล่าช้า บริษัท Bell จึงได้นำเสนอ Model 209 ซึ่งเป็น "โซลูชันเฉพาะหน้า" ที่ชาญฉลาด โดยนำระบบส่งกำลังและโรเตอร์ที่พิสูจน์แล้วจาก Huey มาใช้ร่วมกับลำตัวเครื่องบินใหม่ทั้งหมด ซึ่งช่วยลดเวลาและความเสี่ยงในการพัฒนาได้อย่างมหาศาล
2. การปฏิวัติการออกแบบและบทพิสูจน์ในสมรภูมิ (3.0 & 4.0)
การออกแบบของ AH-1G Cobra รุ่นแรก ถือเป็นการปฏิวัติแนวคิดในยุคนั้น โดยมีลักษณะเด่นคือ ลำตัวที่เพรียวบางมาก (กว้างเพียง 91 ซม.) ทำให้ยากต่อการถูกยิงจากภาคพื้นดิน และใช้ ห้องนักบินแบบเรียงซ้อน (Tandem) ซึ่งทำให้ลำตัวแคบและมอบทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยมให้กับพลปืนที่อยู่ด้านหน้า Cobra ยังติดตั้ง ปีกสั้น (Stub Wings) ที่เป็นจุดติดตั้งอาวุธนานาชนิด โดยมีระบบอาวุธหลักคือป้อมปืนใต้คาง XM28 (ปืนกล Minigun 7.62 มม. และเครื่องยิงลูกระเบิด 40 มม.)
ในสงครามเวียดนาม Cobra คือ ตัวเปลี่ยนเกม ที่สำคัญ มันทำภารกิจหลักสองอย่างคือ:
1.ภารกิจคุ้มกัน (Escort): ปกป้องขบวนเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง Huey จากการซุ่มโจมตี
2.ภารกิจสนับสนุนการยิง (Fire Support): ทำหน้าที่เป็นปืนใหญ่บินได้แก่ทหารภาคพื้นดิน ยุทธวิธีที่สร้างชื่อเสียงที่สุดคือ "ทีมล่า-สังหาร" (Hunter-Killer Team) โดยให้ Cobra บินคู่กับเฮลิคอปเตอร์สอดแนม OH-6A Loach เพื่อล่อให้ข้าศึกเปิดเผยตำแหน่ง ก่อนที่ Cobra จะพุ่งเข้าโจมตีด้วยอำนาจการยิงอันหนักหน่วงทันที ความสำเร็จนี้ได้ตอกย้ำถึงคุณค่าของเฮลิคอปเตอร์โจมตีโดยเฉพาะ
3. วิวัฒนาการที่แตกต่าง: Cobra สองสายพันธุ์ (5.0)
หลังสงครามเวียดนามสิ้นสุดลง Cobra ได้ถูกพัฒนาแยกออกเป็นสองสายพันธุ์หลัก เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน:
Cobra ของกองทัพบกสหรัฐฯ (U.S. Army): เน้นการเผชิญหน้ากับกองทัพรถถังของกลุ่มวอร์ซอในยุโรปเป็นหลัก นำไปสู่การพัฒนารุ่น AH-1Q และต่อมาคือ AH-1F ซึ่งถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการต่อต้านยานเกราะ โดยติดตั้ง ขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถีด้วยสาย TOW เข้าไป
Sea Cobra ของนาวิกโยธินสหรัฐฯ (U.S. Marine Corps - USMC): เน้นการปฏิบัติการยกพลขึ้นบกและบินเหนือน้ำทะเล ซึ่งต้องการความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือที่สูงกว่า นาวิกโยธินจึงพัฒนารุ่น AH-1J Sea Cobra ซึ่งเป็น Cobra รุ่นแรกที่ใช้ เครื่องยนต์คู่ (Twin-engine) เพื่อความซ้ำซ้อนของระบบ นอกจากนี้ยังเปลี่ยนอาวุธปืนหลักเป็น ปืนใหญ่ 20 มม. ที่มีอำนาจทำลายล้างเป้าหมายที่หลากหลายกว่า
4. ยุคทองของ Super Cobra และการเกิดใหม่เป็น Viper (6.0 & 7.0)
เส้นทางการพัฒนาของนาวิกโยธินก้าวหน้าสู่ AH-1W Super Cobra ซึ่งเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ General Electric T700 ที่ ทรงพลังขึ้นถึง 67% ทำให้ความสามารถในการบรรทุกอาวุธเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล มันสามารถติดตั้งขีปนาวุธสำคัญต่างๆ ได้ เช่น Hellfire (ต่อต้านรถถัง) และ AIM-9 Sidewinder (ต่อสู้อากาศยาน) Super Cobra พิสูจน์ตนเองใน สงครามอ่าวเปอร์เซีย (1991) ในปฏิบัติการพายุทะเลทราย โดยเฉพาะใน ยุทธการที่คาฟจิ ซึ่งมันทำลายรถถังและยานเกราะไปกว่า 200 คันโดยไม่มีการสูญเสียตัวเอง
ต่อมา นาวิกโยธินได้ริเริ่ม โครงการอัปเกรด H-1 เพื่อนำ AH-1W ไปสร้างใหม่ (remanufacture) ให้เป็น AH-1Z Viper ที่ทันสมัย โครงการนี้มีเป้าหมายหลักคือการสร้าง "ความเหมือนกันของชิ้นส่วน" (Commonality) ระหว่าง Viper และ UH-1Y Venom เพื่อลดต้นทุนการบำรุงรักษาและการฝึกอบรม การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนจากโรเตอร์ 2 ใบพัดเป็น ระบบโรเตอร์หลัก 4 ใบพัด ที่ทำจากคอมโพสิต ซึ่งเพิ่มสมรรถนะและความทนทานอย่างมาก พร้อมกับการอัปเกรดเป็น ห้องนักบินดิจิทัล (Glass Cockpit) และโดมเซ็นเซอร์ "Hawkeye" ที่ทำให้ Viper กลายเป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีที่ล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพในทุกสภาพอากาศ
5. หัวใจของเครื่องจักรและมรดกที่ทิ้งไว้ (8.0 & 9.0)
เบื้องหลังเครื่องจักรสังหารลำนี้คือ นักบิน Cobra/Viper แห่งนาวิกโยธินสหรัฐฯ พวกเขามีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ต่อภารกิจสูงสุดคือการ "สนับสนุนคนบนพื้นดิน" (support the grunt) และต้องอาศัยทักษะที่สูงมากในการควบคุมอากาศยานที่ถูกเปรียบว่า "เหมือนกับการขี่มอเตอร์ไซค์ในสามมิติ" ความสำเร็จของภารกิจขึ้นอยู่กับความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างนักบินทั้งสองในห้องนักบิน