คือ อจ ไม่ค่อยชมคนมากนัก มีหลายคนเก่งคิด เป็นมันสมอง บางคนเก่งทำ เน้น execute บางคนเก่งประสานงาน collaboration บางคนเก่ง marketing (พวกนักการเมือง ชอยเอาหน้า ผลาญเงิน ไม่ได้เรียกเก่งนะ เรียกขี้โกงหน้าด้าน)
แต่ .... คุณแต๋ม นี่เก่ง ทุกอย่าง ผมยังหาจุดอ่อนไมเจอนะ (อืม หรือ แกอาจจะเถียงไม่ทันหรือเปล่า พูดเนิบ ๆ แต่นั่นอาจเป็นจุดแข็งก็ได้)
เอาว่า มาเรียนรู้ร่วมกัน ผ่านวิธีคิด ดันข้าวไทยในจุด ที่ดิ่งต่ำ คู่แข่งรอบด้าน กันนะครับ
ความเก่งที่ชัดที่สุดของคุณศุภจี
1) มองเกมเป็น “ระบบใหญ่” ไม่ได้แก้ปัญหาแบบจุดเดียว (Systems Thinker ระดับสูง)
สิ่งที่ชัดมากคือเธอมองอุตสาหกรรมข้าว ตั้งแต่ชั้นพันธุกรรม → ฟาร์ม → มาตรฐานการผลิต → Branding → ตลาดโลก → ผู้บริโภค
ไม่ใช่แค่พูดว่า “ต้องเพิ่มผลผลิต” หรือ “ต้องทำตลาด” แบบผิวเผิน
แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมทั้งระบบ
ทำให้ไทยไม่ต้องไปแข่ง quantity กับอินเดีย เวียดนามอีกต่อไป
นี่คือโทนความคิดของ “รัฐมนตรีที่ทำงานแบบ CEO”
ซึ่งหาได้ยากในระบบราชการไทย
2) เปลี่ยนโจทย์ตั้งต้นจาก “ปลูกอะไรดี?” → “ตลาดโลกต้องการอะไร?”
อจ เรียก Need driven strategy ตามหลัก Biodesign ของ standford
นี่คือ mindset แบบ market-back (เหมือน Apple, Nestle, หรือ Toyota)
– ศึกษา global demand
– เชื่อมกับสายพันธุ์ที่มีศักยภาพ
– แล้วค่อยสร้างสินค้าให้ตรงความต้องการจริง
นี่คือการเปลี่ยนไทยจาก supply-driven agriculture → demand-driven agriculture
ถือเป็น การยกระดับวิธีคิดของประเทศในเชิงแข่งขัน
โคตร innovation mindset
3) สร้าง Positioning ใหม่ระดับประเทศได้อย่างเฉียบคม (“ข้าวประณีต”)
ข้าวประณีต คือ ชื่อเรียก Branding ข้าวใหม่ทเน้นคุณภาพข้าว ไม่เน้นปริมาณมากที่คุณภาพห่วย
นี่คือ movement ที่คมมาก:
ไม่แข่งมวลรวม
ไม่แข่งราคาถูก
ไม่แข่งปริมาณ
แต่ไปสร้าง หมวดสินค้า (category) ใหม่เลย
เหมือนที่ญี่ปุ่นสร้างคำว่า “Wagyu” / “Matcha” / “Sake Grade”
คำว่า ข้าวประณีต
= Category Creation
= Branding ระดับชาติ
นี่คือการตลาดเชิงกลยุทธ์ที่ฉลาดมาก เพราะ
ราคาถีบขึ้นทันที
ไม่ต้องไปแข่ง commodity
บอกเล่า story ได้
สร้าง premium segment เหมือน Speciality Coffee
เป็น “มุมคมที่ทำให้ไทยกลับมาเป็นผู้นำ โดยไม่ต้องชนะด้วยปริมาณ” หลายประเทศ เช่น แฟชั่น ของ ฝรั่งเศษก็ทำ สาเกญี่ปุ่นก็ทำ ไวน์ ก็ทำ
อยู่ ข้าว ไทย cool hi grad เฉยเลย
ประณีต brand อื้อ หือ
4) คุณแต๋ม มองเห็น “คุณค่าที่จับต้องได้” มากกว่า “ปริมาณที่ไร้คุณค่า”
คุณศุภจีพูดชัด:
ไทยมีพันธุ์ข้าว 5,000 สายพันธุ์ แต่ผลิตจริงแค่ไม่กี่ชนิด
นี่คือการชี้ให้เห็นว่า ทรัพย์สินที่แท้จริงของประเทศยังไม่ได้ถูกใช้เลย
และเสนอวิธี unlock value ผ่าน:
flavor profile
unique terroir
ความหลากหลายพันธุ์
รสชาติที่แตกต่าง
การเล่าเรื่อง
การจับคู่กับ food culture
ข้าวเฉพาะบุคคล (Personalized food)
คือมองข้าวไม่ใช่ “grain”
แต่เป็น สินค้าวัฒนธรรม
แบบเดียวกับไวน์หรือกาแฟ
ข้าว กลายเป็นไวน์ ขั้นดี ในแคส้นชื่อ ประเทศไทย น้ำ ดิน นี่คือ asset กินข้าวที่อื่น ไม่เหมือนดินแดนสุวรรณภูมิ
5) นำหลัก “Inclusive Growth” มาผูกกับเกษตรกร
ไม่ใช่การยกระดับอุตสาหกรรมแบบ top-down
แต่ทำ 3 อย่างควบคู่:
1. สร้างชุมชนต้นแบบ 200 ชุมชน
2. แบ่งเกษตรกรเป็น Tier เพื่อให้การสนับสนุนเหมาะสม
3. เริ่มให้ทดลองในพื้นที่เล็ก ๆ ก่อน scale
นี่เป็นการทำงานแบบ evidence-driven และ behavioral-based
ทำให้เกษตรกร “เชื่อเพราะเห็นผลจริง”
นี่คือจุดที่สะท้อนภาวะผู้นำแบบ human-centric
นี่เรียก sustainability ความยั่งยืน ท่านทราบว่า มา 4 เดือนทำไง ให้สร้างระบบ ได้ เป็น การ run แบบ automation
6) สื่อสารชัด กระชับ แต่ลึก และมี storytelling เชิงกลยุทธ์
บทสัมภาษณ์ของเธอมีโครงสร้างแบบผู้นำเชิงกลยุทธ์:
ปัญหา (Global landscape)
ช่องว่าง (Gap ของไทย)
ความจริงที่ไม่อยากยอมรับ (productivity ต่ำกว่าเวียดนามเท่าตัว)
ข้อเท็จจริงที่เอาไปต่อได้ (5000 สายพันธุ์ที่ยังไม่ได้ใช้)
ทางออก (ข้าวประณีต)
Execution plan (Tier, community prototype)
Outcome (ชาวนามีชีวิตดีขึ้น)
คือครบทั้ง narrative–logic–impact
และให้ภาพอนาคตที่ชัดมาก
= New Rice Economy
ใครฟังแกไม่รู้เรื่อง รบกวนไปตรวจหู ไม่ก็ตรวจสมอง
7) เป็น “bridge” ระหว่างภาครัฐ–เอกชน–เกษตรกร
เธอพูดชัดว่า:
ข้าวไทยต้องเล่าเรื่อง ต้องจับคู่ธุรกิจกับเชฟ โรงแรม modern trade ต้องสร้างช่องทางพิเศษในร้านค้า
และ ต้องขับเคลื่อนร่วมกับ RiceHub และ TDeD
เธอไม่ได้ทำงานแบบกระทรวงเดียว
แต่ทำงานแบบ ecosystem builder
นี่คือผู้นำเชิง collaborative ไม่ใช่ราชการแบบ silo
อจ ทึ่ง
ไม่ค่อยทึ่งใคร ที่ครบเคื้อง
ขอ สรุป “ความเก่ง” ของคุณศุภจีในประโยคเดียว
เธอคือผู้นำที่คิดแบบระบบใหญ่ มองตลาดโลกเป็นตัวตั้ง ใช้ Branding เป็นอาวุธ สร้างหมวดสินค้าใหม่ให้ประเทศ และผูกทุกอย่างเข้ากับคุณภาพชีวิตของคนตัวเล็กที่สุดใน ecosystem
นี่ไม่ใช่การพูดนโยบาย
แต่เป็น การออกแบบเศรษฐกิจใหม่ของข้าวไทยทั้งระบบ
นิยามแบบสั้นที่สุด 5 คำ
Strategic
Systemic
Market-Back
Brand-Driven
Human-Centered
อ้อ อีกเรื่อง ท่านทำจริง ทำโคตรเร็ว มีสติ ไม่สนใจ เล่นตุกติกการเมือง มาเพิ่อ พัฒนาจริงๆ
อันนี้ เรียนจากคนเก่ง จะได้ เก่งตามนะครับ
- อจ สุรัตน์
CR
https://www.facebook.com/share/p/1GuLfJB8Tn/?mibextid=wwXIfr
อจ.หมอ วิเคราะห์คุณศุภจี
แต่ .... คุณแต๋ม นี่เก่ง ทุกอย่าง ผมยังหาจุดอ่อนไมเจอนะ (อืม หรือ แกอาจจะเถียงไม่ทันหรือเปล่า พูดเนิบ ๆ แต่นั่นอาจเป็นจุดแข็งก็ได้)
เอาว่า มาเรียนรู้ร่วมกัน ผ่านวิธีคิด ดันข้าวไทยในจุด ที่ดิ่งต่ำ คู่แข่งรอบด้าน กันนะครับ
ความเก่งที่ชัดที่สุดของคุณศุภจี
1) มองเกมเป็น “ระบบใหญ่” ไม่ได้แก้ปัญหาแบบจุดเดียว (Systems Thinker ระดับสูง)
สิ่งที่ชัดมากคือเธอมองอุตสาหกรรมข้าว ตั้งแต่ชั้นพันธุกรรม → ฟาร์ม → มาตรฐานการผลิต → Branding → ตลาดโลก → ผู้บริโภค
ไม่ใช่แค่พูดว่า “ต้องเพิ่มผลผลิต” หรือ “ต้องทำตลาด” แบบผิวเผิน
แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมทั้งระบบ
ทำให้ไทยไม่ต้องไปแข่ง quantity กับอินเดีย เวียดนามอีกต่อไป
นี่คือโทนความคิดของ “รัฐมนตรีที่ทำงานแบบ CEO”
ซึ่งหาได้ยากในระบบราชการไทย
2) เปลี่ยนโจทย์ตั้งต้นจาก “ปลูกอะไรดี?” → “ตลาดโลกต้องการอะไร?”
อจ เรียก Need driven strategy ตามหลัก Biodesign ของ standford
นี่คือ mindset แบบ market-back (เหมือน Apple, Nestle, หรือ Toyota)
– ศึกษา global demand
– เชื่อมกับสายพันธุ์ที่มีศักยภาพ
– แล้วค่อยสร้างสินค้าให้ตรงความต้องการจริง
นี่คือการเปลี่ยนไทยจาก supply-driven agriculture → demand-driven agriculture
ถือเป็น การยกระดับวิธีคิดของประเทศในเชิงแข่งขัน
โคตร innovation mindset
3) สร้าง Positioning ใหม่ระดับประเทศได้อย่างเฉียบคม (“ข้าวประณีต”)
ข้าวประณีต คือ ชื่อเรียก Branding ข้าวใหม่ทเน้นคุณภาพข้าว ไม่เน้นปริมาณมากที่คุณภาพห่วย
นี่คือ movement ที่คมมาก:
ไม่แข่งมวลรวม
ไม่แข่งราคาถูก
ไม่แข่งปริมาณ
แต่ไปสร้าง หมวดสินค้า (category) ใหม่เลย
เหมือนที่ญี่ปุ่นสร้างคำว่า “Wagyu” / “Matcha” / “Sake Grade”
คำว่า ข้าวประณีต
= Category Creation
= Branding ระดับชาติ
นี่คือการตลาดเชิงกลยุทธ์ที่ฉลาดมาก เพราะ
ราคาถีบขึ้นทันที
ไม่ต้องไปแข่ง commodity
บอกเล่า story ได้
สร้าง premium segment เหมือน Speciality Coffee
เป็น “มุมคมที่ทำให้ไทยกลับมาเป็นผู้นำ โดยไม่ต้องชนะด้วยปริมาณ” หลายประเทศ เช่น แฟชั่น ของ ฝรั่งเศษก็ทำ สาเกญี่ปุ่นก็ทำ ไวน์ ก็ทำ
อยู่ ข้าว ไทย cool hi grad เฉยเลย
ประณีต brand อื้อ หือ
4) คุณแต๋ม มองเห็น “คุณค่าที่จับต้องได้” มากกว่า “ปริมาณที่ไร้คุณค่า”
คุณศุภจีพูดชัด:
ไทยมีพันธุ์ข้าว 5,000 สายพันธุ์ แต่ผลิตจริงแค่ไม่กี่ชนิด
นี่คือการชี้ให้เห็นว่า ทรัพย์สินที่แท้จริงของประเทศยังไม่ได้ถูกใช้เลย
และเสนอวิธี unlock value ผ่าน:
flavor profile
unique terroir
ความหลากหลายพันธุ์
รสชาติที่แตกต่าง
การเล่าเรื่อง
การจับคู่กับ food culture
ข้าวเฉพาะบุคคล (Personalized food)
คือมองข้าวไม่ใช่ “grain”
แต่เป็น สินค้าวัฒนธรรม
แบบเดียวกับไวน์หรือกาแฟ
ข้าว กลายเป็นไวน์ ขั้นดี ในแคส้นชื่อ ประเทศไทย น้ำ ดิน นี่คือ asset กินข้าวที่อื่น ไม่เหมือนดินแดนสุวรรณภูมิ
5) นำหลัก “Inclusive Growth” มาผูกกับเกษตรกร
ไม่ใช่การยกระดับอุตสาหกรรมแบบ top-down
แต่ทำ 3 อย่างควบคู่:
1. สร้างชุมชนต้นแบบ 200 ชุมชน
2. แบ่งเกษตรกรเป็น Tier เพื่อให้การสนับสนุนเหมาะสม
3. เริ่มให้ทดลองในพื้นที่เล็ก ๆ ก่อน scale
นี่เป็นการทำงานแบบ evidence-driven และ behavioral-based
ทำให้เกษตรกร “เชื่อเพราะเห็นผลจริง”
นี่คือจุดที่สะท้อนภาวะผู้นำแบบ human-centric
นี่เรียก sustainability ความยั่งยืน ท่านทราบว่า มา 4 เดือนทำไง ให้สร้างระบบ ได้ เป็น การ run แบบ automation
6) สื่อสารชัด กระชับ แต่ลึก และมี storytelling เชิงกลยุทธ์
บทสัมภาษณ์ของเธอมีโครงสร้างแบบผู้นำเชิงกลยุทธ์:
ปัญหา (Global landscape)
ช่องว่าง (Gap ของไทย)
ความจริงที่ไม่อยากยอมรับ (productivity ต่ำกว่าเวียดนามเท่าตัว)
ข้อเท็จจริงที่เอาไปต่อได้ (5000 สายพันธุ์ที่ยังไม่ได้ใช้)
ทางออก (ข้าวประณีต)
Execution plan (Tier, community prototype)
Outcome (ชาวนามีชีวิตดีขึ้น)
คือครบทั้ง narrative–logic–impact
และให้ภาพอนาคตที่ชัดมาก
= New Rice Economy
ใครฟังแกไม่รู้เรื่อง รบกวนไปตรวจหู ไม่ก็ตรวจสมอง
7) เป็น “bridge” ระหว่างภาครัฐ–เอกชน–เกษตรกร
เธอพูดชัดว่า:
ข้าวไทยต้องเล่าเรื่อง ต้องจับคู่ธุรกิจกับเชฟ โรงแรม modern trade ต้องสร้างช่องทางพิเศษในร้านค้า
และ ต้องขับเคลื่อนร่วมกับ RiceHub และ TDeD
เธอไม่ได้ทำงานแบบกระทรวงเดียว
แต่ทำงานแบบ ecosystem builder
นี่คือผู้นำเชิง collaborative ไม่ใช่ราชการแบบ silo
อจ ทึ่ง
ไม่ค่อยทึ่งใคร ที่ครบเคื้อง
ขอ สรุป “ความเก่ง” ของคุณศุภจีในประโยคเดียว
เธอคือผู้นำที่คิดแบบระบบใหญ่ มองตลาดโลกเป็นตัวตั้ง ใช้ Branding เป็นอาวุธ สร้างหมวดสินค้าใหม่ให้ประเทศ และผูกทุกอย่างเข้ากับคุณภาพชีวิตของคนตัวเล็กที่สุดใน ecosystem
นี่ไม่ใช่การพูดนโยบาย
แต่เป็น การออกแบบเศรษฐกิจใหม่ของข้าวไทยทั้งระบบ
นิยามแบบสั้นที่สุด 5 คำ
Strategic
Systemic
Market-Back
Brand-Driven
Human-Centered
อ้อ อีกเรื่อง ท่านทำจริง ทำโคตรเร็ว มีสติ ไม่สนใจ เล่นตุกติกการเมือง มาเพิ่อ พัฒนาจริงๆ
อันนี้ เรียนจากคนเก่ง จะได้ เก่งตามนะครับ
- อจ สุรัตน์
CR https://www.facebook.com/share/p/1GuLfJB8Tn/?mibextid=wwXIfr