ถึงเวลาคนไทยต้องรู้จัก ‘มาตรา 12’ สิทธิการตาย-วาระสุดท้ายของชีวิต

จำเป็นอย่างไร? ทำไมทุกคนควรรู้จักมาตรา 12 ของพ.รบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 มาตราเดียวที่กำหนดประเด็นสิทธิการตาย- ในวาระสุดท้ายของชีวิต
บนเวทีเปลี่ยนมุมมองของ สช. ครั้งที่ 18 พ.ศ.2568 ได้หยิบยกประเด็นที่สังคมไทย ‘พูดถึงน้อย’ นั่นคือ ‘สิทธิการตาย’ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ แต่น้อยคนที่อยากจะพูดถึงสิทธินี้
 

โพสต์ทูเดย์ จึงอยากจะชวนทุกคนมาเปิดมุมมอง เตรียมพร้อม และทำความเข้าใจ ‘สิทธิ’ สำคัญของชีวิตเรื่องนี้ จากเวทีดังกล่าว
 

 

งานวิจัยพบยื้อชีวิต หรือปล่อยให้จากไปอย่างสงบ ระยะเวลาไม่ได้แตกต่างกัน
 

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า นับเป็นเวลากว่า 18 ปีที่ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ได้ให้สิทธิไว้ในมาตรา 12 ที่ประชาชนสามารถทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ยังคงมีความท้าทายที่ประชาชนใช้สิทธินี้อยู่น้อยมาก ซึ่งพบว่ามาจากปัญหาการรับรู้ ทั้งในฝั่งของสังคม ของโรงพยาบาล รวมไปถึงของบุคลากรที่ให้การดูแลผู้ป่วยเอง
 

นพ.สุเทพ กล่าวว่า ในเรื่องการรับรู้ของสังคม ไม่ใช่เรื่องง่ายนักในการที่จะพูดคุยเรื่องความตาย เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคติความเชื่อ วัฒนธรรม ศาสนา ประเพณี หรือบางคนแม้รับรู้แล้ว ก็อาจไม่รู้วิธีว่าต้องทำอย่างไร ในขณะที่โรงพยาบาล หรือแพทย์ ก็อาจยังติดกับการทำงานในการรักษาโรค ที่มุ่งไปที่อวัยวะ หรือร่างกาย หรือแม้ทางผู้ป่วยจะมีการระบุเจตนาฯ แล้ว หากโรงพยาบาลไม่มีระบบตรวจสอบรับรองที่ชัดเจน ยังไม่มีความแน่ชัด ก็จะต้องให้การรักษาไปอย่างเต็มที่ก่อนเช่นกัน
 

“มีงานวิจัยที่พบว่า การที่เรายื้อผู้ป่วยระยะสุดท้ายเต็มที่ ใส่เครื่องช่วยหายใจต่างๆ กับการที่ปล่อยให้เขาจากไปอย่างสงบ ความจริงแล้วระยะเวลาการเสียชีวิตไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่ในแง่สุขภาวะหรือคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยกลับมีความแตกต่างกันมาก เพราะการยื้อชีวิตในไอซียู ผู้ป่วยอาจต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ต่างจากการกลับไปอยู่อย่างสงบร่วมกับคนที่บ้าน” นพ.สุเทพ กล่าว
 

ด้าน นางจุฑามาศ โมฬี ที่ปรึกษา สช. กล่าวว่า มาตรา 12 นับเป็นกฎหมายฉบับเดียวที่มีการบัญญัติสิทธิการแสดงเจตนาในวาระสุดท้ายให้กับประชาชน ซึ่งสามารถมองความสำคัญได้ 3 ระดับ คือ
ในระดับบุคคลหรือผู้ป่วย จะช่วยให้สามารถแสดงเจตนาความต้องการของตนเองได้ เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วทุกคนที่เกิดมาย่อมต้องการที่จะจากไปอย่างมีความสุข
ในระดับครอบครัว หากมีคนในครอบครัวได้แสดงเจตนาฯ เอาไว้ เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจบนทางสองแพร่ง มาตรานี้ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาทำให้ครอบครัวไม่ต้องรู้สึกผิดได้
ในระดับประเทศ ก็สามารถช่วยลดต้นทุนการรักษาในระบบบริการสุขภาพ จากการที่จะต้องใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีไปกับการยื้อชีวิตอย่างเต็มที่ได้
 

 

 

Living Will แสดงเจตจำนงวาระสุดท้ายของผู้ป่วย
 

ด้าน พญ.อิสรีย์ ศิริวรรณกุลธร แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลนครพิงค์ และนักเขียน นามปากกา Sammon กล่าวว่า ส่วนตัวมีความสนใจในงานมาตรา 12 และการดูแลประคับประคอง (Palliative Care) โดยจุดเริ่มต้นมาจากกระดาษแผ่นเดียว ในช่วงที่เรียนแพทย์ชั้นปีที่ 3 ซึ่งมีโอกาสได้ดูแลผู้ป่วยรายหนึ่งในไอซียู ที่ถูกใส่ท่อช่วยหายใจและมีการให้ยาอย่างเต็มที่เพื่อยื้อชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด แต่มาวันหนึ่งญาติกลับไปเจอกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในลิ้นชักหัวเตียงผู้ป่วยที่บ้าน ที่เขียนแสดงเจตนาฯ ไว้อย่างละเอียดมาก
ในวันที่ Living will ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย แม้กระทั่งบุคลากรส่วนใหญ่ก็แทบไม่มีใครรู้จักสิทธิดังกล่าว ซึ่งกระดาษแผ่นเดียวนั้นก็ได้กลายเป็นตัวแทนของผู้ป่วยว่าอะไรเป็นสิ่งที่เขาต้องการ และเมื่อลูกหลานได้รับทราบแล้ว ท้ายที่สุดก็สามารถขอให้แพทย์ช่วยทำตามเจตจำนงและบรรลุวัตถุประสงค์ของผู้ป่วย
 

พญ.อิสรีย์ กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวตนได้มองเห็นในสองประเด็น
ประเด็นแรก คือรู้สึกดีที่คนเราสามารถกำหนดสิ่งนี้ได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาตัดสินใจแทน และรู้สึกมีความสุขแทนผู้ป่วยเมื่อสิ่งเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติตาม
อีกประเด็น ก็คิดว่าน่าเสียดาย เพราะผู้ป่วยถูกใส่ท่อช่วยหายใจไปแล้ว เจตนาฯ เพิ่งถูกรับรู้ทีหลัง
 

ดังนั้นการที่ สช. ที่ได้พัฒนาระบบ e-Living will ขึ้นเป็นฐานข้อมูลกลาง จะช่วยให้การตัดสินใจของผู้ป่วยจะอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบของโรงพยาบาล ช่วยให้ทำการสืบค้นได้ โดยที่เราอาจไม่ต้องพบกับเหตุการณ์ที่ไปเจอกระดาษในลิ้นชักหัวเตียงภายหลังอีก
 

“ไม่ว่าวิทยาการทางการแพทย์จะก้าวหน้าแค่ไหน ถึงอย่างไรทุกคนก็จะต้องเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิต เข้าสู่จุดที่เราหมดสติสัมปชัญญะ จะดีกว่าไหมหากเราคิดเผื่อไว้ว่าถึงวันนั้นแล้วเราต้องการอะไร ไม่ต้องรอจนเราเจ็บหนักหรือป่วยจนทำอะไรไม่ได้ ซึ่งการทำ Living will ไม่ได้หมายความว่าเมื่อป่วยแล้วหมอจะไม่รักษา แต่จะถูกใช้ต่อเมื่อหมอประเมินแล้วว่าผู้ป่วยเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งบ่งบอกได้จากตัวโรค บางคนอาจยังมีความกลัว แต่อยากให้ลองคิดเหมือนเวลาเราซื้อประกันภัย ก็ไม่ได้เป็นลางว่าบ้านจะเกิดไฟไหม้ หรือจะต้องเกิดอุบัติเหตุ แต่มันคือการคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ แล้วเตรียมป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้า ดีกว่าปล่อยให้เกิดเหตุแล้วทำอะไรไม่ได้” พญ.อิสรีย์ กล่าว
 

 

 

e-Living Will คืออะไร
 

สำหรับ e – Living will คือหนังสือแสดงเจตนาฯ แบบอิเล็กทรอนิกส์ พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 หมวดที่ 1 สิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพ มาตรา 12 กำหนดว่า บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียง เพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ และการจัดทำแบบอิเลกทรอนิกส์ (e – Living Will) สามารถทำได้ตามพ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2562
 

สำหรับ e-Living Will ผู้ประสงค์จะทำสามารถเข้าไปทำได้ในระบบ   https://e-livingwill.nationalhealth.or.th   และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือโรงพยาบาลสามารถเข้าถึง e-Living Will ที่เราทำได้อย่างสะดวก แม้ในขณะนั้นผู้แสดงเจตจำนงจะไม่มีสติสัมปชัญญะแล้วก็ตาม
 


 

 

ขั้นตอนการใช้งานระบบ e-Living Will
 

การเข้าสู่ระบบและการสร้างบัญชี
1. เข้าสู่ระบบ e-Living Will ลงชื่อเข้าใช้งาน
2. สำหรับผู้ที่ยังไม่มีบัญชีใช้งาน ให้กดปุ่มสร้างบัญชีผู้ใช้งานใหม่
3. การยืนยันตัวตนและการสร้างบัญชีสามารถทำได้ 2 วิธี:
ผ่านแอปพลิเคชัน ThaID  
หากไม่มีแอปพลิเคชัน ThaID สามารถกรอกข้อมูลและกำหนดรหัสผ่านบัญชีผู้ใช้งานได้
4. เลือกเมนูสร้างหนังสือแสดงเจตนา
 

การสร้าง/แนบหนังสือแสดงเจตนา
ระบบมีทางเลือกหลัก 2 รูปแบบสำหรับการจัดการหนังสือแสดงเจตนา

รูปแบบที่ 1  แนบไฟล์หนังสือแสดงเจตนาที่ทำไว้แล้ว (สำหรับผู้ที่มีหนังสือแสดงเจตนาอยู่แล้ว)  หลังจากแนบไฟล์ ท่านจะต้อง รอผู้ดูแลระบบตรวจสอบความครบถ้วน ของหนังสือแสดงเจตนา  ผู้ดูแลระบบจะแจ้งผลการตรวจสอบทางอีเมลก่อน จึงจะดำเนินการอนุมัติและประกาศใช้หนังสือแสดงเจตนาของท่านต่อไป

รูปแบบที่ 2  สร้างผ่าน e-Living Will form (สำหรับผู้ที่ยังไม่มีหนังสือแสดงเจตนา)
1. กดปุ่ม "แบบที่ 2 สร้างผ่าน e-Living Will form"
2. ดำเนินการกรอกเนื้อหาของหนังสือทั้ง 3 ส่วนตามลำดับ
ส่วนที่ 1  กรอก ข้อมูลส่วนบุคคล ของผู้แสดงเจตนา
ส่วนที่ 2  ทำความเข้าใจและพิจารณาตอบ การแสดงเจตนาในวาระสุดท้ายของชีวิต ทีละข้อจนครบทุกข้อ
ส่วนที่ 3  กรอกข้อมูล ผู้ตัดสินใจแทน ที่ท่านมอบหมาย ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่เข้าใจความต้องการครั้งสุดท้ายของเรามากที่สุด จำนวน 1 ท่าน เพื่อช่วยตัดสินใจแทนในกรณีที่ไม่สามารถสื่อสารได้
3. เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จสิ้น สามารถกดปุ่ม "บันทึกร่าง" เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และสามารถแก้ไขข้อมูลได้
4. เมื่อตรวจสอบเรียบร้อย ให้กดปุ่ม "บันทึกและประกาศใช้"
5. เมื่อกดปุ่มบันทึกและประกาศใช้ จะปรากฏหน้าจอว่า ท่านได้ประกาศหนังสือแสดงเจตนาเรียบร้อยแล้ว กดปุ่ม "ยืนยัน"
6. หนังสือจะถูก พรีวิวเป็นเอกสารให้ท่านทางอีเมลทันที ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างหนังสือแสดงเจตนา
 


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่