https://www.hfocus.org/content/2025/12/36248
นพ.ภีศเดช สัมมานันท์ เลขานุการ สมาพันธ์แพทย์ โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป นพ.ยุทธนา ป้องโสม นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข
สถาบัน Quacquarelli Symonds คือ สถาบันจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของสหราชอาณาจักร รายงานผล QS World University Rankings เพื่อจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก ทั้งในระดับมหาวิทยาลัย ระดับกลุ่มวิชา ระดับรายวิชาหรือคณะ ประจำทุกปี รวมถึงคณะแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ในประเทศไทยได้รับการจัดอันดับด้วย และมีอันดับลดลงอย่างต่อเนื่อง
วิธีการจัดอันดับคณะแพทยศาสตร์ในระบบ QS World University Rankings มีหลักเกณฑ์การให้คะแนน 5 ประการ คือ
Academic reputation ความคิดเห็นจากนักวิชาการทั่วโลกเกี่ยวกับคุณภาพการสอนและงานวิจัย
Employer reputation ความคิดเห็นจากผู้จ้างงานทั่วโลกเกี่ยวกับบัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ของสถาบันใดมีความสามารถสูงและต้องการให้มาร่วมงาน
Research citations per paper วัดคุณภาพของงานวิจัย โดยดูจากค่าเฉลี่ยการถูกอ้างอิงต่องานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์นั้น 1 ชิ้น
H-index วัดทั้งปริมาณและคุณภาพของงานวิจัย โดยดูจากจำนวนครั้งที่ถูกอ้างอิงทั้งหมดของงานวิจัยทุกรายการของคณะแพทยศาสตร์นั้น
International Research Network ประเมินความร่วมมือทางงานวิจัยกับสถาบันต่างประเทศ
โดยคณะที่ได้รับคะแนนสูงจะได้รับการจัดอันดับต้นๆ คณะที่ได้รับคะแนนน้อยจะได้รับการจัดอันดับท้ายๆ และ คณะแพทยศาสตร์ที่มีข้อมูลหรือคะแนนไม่มากพอไม่นำมาจัดอันดับ
ผลการจัดอันดับปี พ.ศ. 2568 พบว่าคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและรามาธิบดี ถูกประเมินร่วมกัน) ได้อันดับที่ 148, คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อันดับที่ 205, คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ได้อันดับที่ 308, คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น ได้อันดับที่ 412, คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ ได้อันดับที่ 517 และ คณะแพทยศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้อันดับที่ 778 จากทั้งหมด 848 อันดับ โดยคณะแพทยศาสตร์อื่นของไทยไม่ได้รับการจัดอันดับ
ผลการจัดอันดับของคณะแพทยศาสตร์ของไทยทุกคณะได้รับการจัดอันดับลดลงต่อเนื่องทุกปี ยกตัวอย่างเช่น คณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล ได้รับอันดับที่ 62 จาก 399 อันดับ ในปี พ.ศ. 2558, อันดับที่ 110 จาก 600 อันดับ ในปี พ.ศ. 2563 และ อันดับที่ 148 ในปี พ.ศ. 2568

แม้เสมือนอันดับของคณะแพทยศาสตร์ของไทยลดลงเนื่องจากมีคณะแพทยศาสตร์ทั่วโลกถูกนำเข้าร่วมจัดอันดับมากขึ้น แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคณะแพทยศาสตร์ของประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชียด้วยกัน พบว่าคณะแพทยศาสตร์ที่เคยได้อันดับต่ำกว่าคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล ได้รับการเลื่อนอันดับขึ้นมาใกล้เคียงหรือสูงกว่าคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล เป็นจำนวนมากขึ้นทุกปี ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ The Chinese University of Hong Kong, คณะแพทยศาสตร์ Peking University ของประเทศจีน, คณะแพทยศาสตร์ Yonsei University ของประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงคณะแพทยศาสตร์หลายคณะในประเทศ ญี่ปุ่น อินเดีย ซาอุดิอาระเบีย แม้แต่คณะแพทยศาสตร์ของประเทศเลบานอน ประเทศที่อยู่ในภาวะความขัดแย้งทางทหารกับประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน ก็พบว่าคณะแพทยศาสตร์ที่เคยได้อันดับต่ำกว่าคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล ได้รับการเลื่อนอันดับสูงกว่าคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล เช่นกัน ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ Nanyang Technological University ของประเทศสิงคโปร์, คณะแพทยศาสตร์ Universiti Malaya ของประเทศมาเลเซีย แสดงให้เห็นถึงการพัฒนามาตรฐานของคณะแพทยศาสตร์ประเทศอื่นๆ ที่มีความก้าวหน้ามากกว่าคณะแพทยศาสตร์ของไทย

และหากพิจารณาว่าระบบการจัดอันดับของ QS World University Rankings ประเมินจากผลงานทางวิชาการเป็นส่วนใหญ่ ไม่ตรงกับบริบทของคณะแพทยศาสตร์ของไทยที่เน้นการผลิตแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาลมากกว่าการสร้างผลงานวิชาการ ก็อาจพิจารณาเฉพาะหลักเกณฑ์ Employer reputation เท่านั้น เนื่องจากผู้จ้างงานส่วนใหญ่ ได้แก่เจ้าของหรือผู้บริหารสถานพยาบาล ย่อมต้องการจ้างแพทย์ที่มีคุณภาพในการรักษาพยาบาลไปปฏิบัติงานให้กับสถานพยาบาลของตน
ก็ยังพบว่าคณะแพทยศาสตร์ของไทยที่ได้รับการจัดอันดันต้นๆ ได้คะแนน Employer reputation ลดลงต่อเนื่องเช่นกัน โดยคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดลได้ 74.2 คะแนน ในปี พ.ศ. 2558, ได้ 66.4 คะแนน ในปี พ.ศ. 2563 และ ได้ 59.4 คะแนน ในปี พ.ศ. 2568
แม้ปัจจุบันคุณภาพของแพทย์ของประเทศไทยยังได้รับความชื่นชมทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ สามารถให้การดูแลรักษาผู้ป่วยชาวไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งมีชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามารับการรักษาในประเทศไทยจำนวนมาก กระทั่งประเทศไทยจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ขึ้น
แต่การที่แพทย์ไทยจะตอบสนองนโยบายด้านสาธารณสุข และสามารถพัฒนาประเทศไทยให้เป็น Medical Hub แพทย์ไทยควรต้องมีคุณภาพเทียบเท่าประเทศชั้นนำทางการแพทย์อื่นๆ ผู้เกี่ยวข้องกับการควบคุมดูแลการผลิตแพทย์ ได้แก่ แพทยสภา กระทรวงสาธารณสุข และคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ จึงควรวิเคราะห์หาสาเหตุว่าเหตุใดคณะแพทยศาสตร์ของไทยจึงได้รับการจัดอันดับลดลงต่อเนื่องและปรับปรุงแก้ไข ทั้งให้ความสำคัญกับมาตรฐานการผลิต เพื่อให้คณะแพทยศาสตร์ของไทยสามารถคงการผลิตแพทย์ที่มีคุณภาพในการรักษาพยาบาลในมาตรฐานระดับสูง ยังควรพัฒนาให้คณะแพทยศาสตร์สามารถสร้างสรรค์ผลงานด้านงานวิชาการอันเป็นที่ยอมรับ เพื่อประโยชน์ต่อวงการแพทย์และสาธารณสุขของไทยและนานาชาติ
คณะแพทยศาสตร์ไทยอันดับลดลงต่อเนื่อง สะท้อนคุณภาพแพทย์..!?
https://www.hfocus.org/content/2025/12/36248
นพ.ภีศเดช สัมมานันท์ เลขานุการ สมาพันธ์แพทย์ โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป นพ.ยุทธนา ป้องโสม นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข
สถาบัน Quacquarelli Symonds คือ สถาบันจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของสหราชอาณาจักร รายงานผล QS World University Rankings เพื่อจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก ทั้งในระดับมหาวิทยาลัย ระดับกลุ่มวิชา ระดับรายวิชาหรือคณะ ประจำทุกปี รวมถึงคณะแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ในประเทศไทยได้รับการจัดอันดับด้วย และมีอันดับลดลงอย่างต่อเนื่อง
วิธีการจัดอันดับคณะแพทยศาสตร์ในระบบ QS World University Rankings มีหลักเกณฑ์การให้คะแนน 5 ประการ คือ
Academic reputation ความคิดเห็นจากนักวิชาการทั่วโลกเกี่ยวกับคุณภาพการสอนและงานวิจัย
Employer reputation ความคิดเห็นจากผู้จ้างงานทั่วโลกเกี่ยวกับบัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ของสถาบันใดมีความสามารถสูงและต้องการให้มาร่วมงาน
Research citations per paper วัดคุณภาพของงานวิจัย โดยดูจากค่าเฉลี่ยการถูกอ้างอิงต่องานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์นั้น 1 ชิ้น
H-index วัดทั้งปริมาณและคุณภาพของงานวิจัย โดยดูจากจำนวนครั้งที่ถูกอ้างอิงทั้งหมดของงานวิจัยทุกรายการของคณะแพทยศาสตร์นั้น
International Research Network ประเมินความร่วมมือทางงานวิจัยกับสถาบันต่างประเทศ
โดยคณะที่ได้รับคะแนนสูงจะได้รับการจัดอันดับต้นๆ คณะที่ได้รับคะแนนน้อยจะได้รับการจัดอันดับท้ายๆ และ คณะแพทยศาสตร์ที่มีข้อมูลหรือคะแนนไม่มากพอไม่นำมาจัดอันดับ
ผลการจัดอันดับปี พ.ศ. 2568 พบว่าคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและรามาธิบดี ถูกประเมินร่วมกัน) ได้อันดับที่ 148, คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อันดับที่ 205, คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ได้อันดับที่ 308, คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น ได้อันดับที่ 412, คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ ได้อันดับที่ 517 และ คณะแพทยศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้อันดับที่ 778 จากทั้งหมด 848 อันดับ โดยคณะแพทยศาสตร์อื่นของไทยไม่ได้รับการจัดอันดับ
ผลการจัดอันดับของคณะแพทยศาสตร์ของไทยทุกคณะได้รับการจัดอันดับลดลงต่อเนื่องทุกปี ยกตัวอย่างเช่น คณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล ได้รับอันดับที่ 62 จาก 399 อันดับ ในปี พ.ศ. 2558, อันดับที่ 110 จาก 600 อันดับ ในปี พ.ศ. 2563 และ อันดับที่ 148 ในปี พ.ศ. 2568
แม้เสมือนอันดับของคณะแพทยศาสตร์ของไทยลดลงเนื่องจากมีคณะแพทยศาสตร์ทั่วโลกถูกนำเข้าร่วมจัดอันดับมากขึ้น แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคณะแพทยศาสตร์ของประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชียด้วยกัน พบว่าคณะแพทยศาสตร์ที่เคยได้อันดับต่ำกว่าคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล ได้รับการเลื่อนอันดับขึ้นมาใกล้เคียงหรือสูงกว่าคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล เป็นจำนวนมากขึ้นทุกปี ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ The Chinese University of Hong Kong, คณะแพทยศาสตร์ Peking University ของประเทศจีน, คณะแพทยศาสตร์ Yonsei University ของประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงคณะแพทยศาสตร์หลายคณะในประเทศ ญี่ปุ่น อินเดีย ซาอุดิอาระเบีย แม้แต่คณะแพทยศาสตร์ของประเทศเลบานอน ประเทศที่อยู่ในภาวะความขัดแย้งทางทหารกับประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน ก็พบว่าคณะแพทยศาสตร์ที่เคยได้อันดับต่ำกว่าคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล ได้รับการเลื่อนอันดับสูงกว่าคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล เช่นกัน ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ Nanyang Technological University ของประเทศสิงคโปร์, คณะแพทยศาสตร์ Universiti Malaya ของประเทศมาเลเซีย แสดงให้เห็นถึงการพัฒนามาตรฐานของคณะแพทยศาสตร์ประเทศอื่นๆ ที่มีความก้าวหน้ามากกว่าคณะแพทยศาสตร์ของไทย
และหากพิจารณาว่าระบบการจัดอันดับของ QS World University Rankings ประเมินจากผลงานทางวิชาการเป็นส่วนใหญ่ ไม่ตรงกับบริบทของคณะแพทยศาสตร์ของไทยที่เน้นการผลิตแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาลมากกว่าการสร้างผลงานวิชาการ ก็อาจพิจารณาเฉพาะหลักเกณฑ์ Employer reputation เท่านั้น เนื่องจากผู้จ้างงานส่วนใหญ่ ได้แก่เจ้าของหรือผู้บริหารสถานพยาบาล ย่อมต้องการจ้างแพทย์ที่มีคุณภาพในการรักษาพยาบาลไปปฏิบัติงานให้กับสถานพยาบาลของตน
ก็ยังพบว่าคณะแพทยศาสตร์ของไทยที่ได้รับการจัดอันดันต้นๆ ได้คะแนน Employer reputation ลดลงต่อเนื่องเช่นกัน โดยคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดลได้ 74.2 คะแนน ในปี พ.ศ. 2558, ได้ 66.4 คะแนน ในปี พ.ศ. 2563 และ ได้ 59.4 คะแนน ในปี พ.ศ. 2568
แม้ปัจจุบันคุณภาพของแพทย์ของประเทศไทยยังได้รับความชื่นชมทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ สามารถให้การดูแลรักษาผู้ป่วยชาวไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งมีชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามารับการรักษาในประเทศไทยจำนวนมาก กระทั่งประเทศไทยจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ขึ้น
แต่การที่แพทย์ไทยจะตอบสนองนโยบายด้านสาธารณสุข และสามารถพัฒนาประเทศไทยให้เป็น Medical Hub แพทย์ไทยควรต้องมีคุณภาพเทียบเท่าประเทศชั้นนำทางการแพทย์อื่นๆ ผู้เกี่ยวข้องกับการควบคุมดูแลการผลิตแพทย์ ได้แก่ แพทยสภา กระทรวงสาธารณสุข และคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ จึงควรวิเคราะห์หาสาเหตุว่าเหตุใดคณะแพทยศาสตร์ของไทยจึงได้รับการจัดอันดับลดลงต่อเนื่องและปรับปรุงแก้ไข ทั้งให้ความสำคัญกับมาตรฐานการผลิต เพื่อให้คณะแพทยศาสตร์ของไทยสามารถคงการผลิตแพทย์ที่มีคุณภาพในการรักษาพยาบาลในมาตรฐานระดับสูง ยังควรพัฒนาให้คณะแพทยศาสตร์สามารถสร้างสรรค์ผลงานด้านงานวิชาการอันเป็นที่ยอมรับ เพื่อประโยชน์ต่อวงการแพทย์และสาธารณสุขของไทยและนานาชาติ