วันนี้เราอยาก Log in มาเขียนเรื่องนี้ เผื่อว่าการตัดสินใของเราจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่นะคะ
ปีที่แล้วมีเพื่อนเราคนนึง มาปรึกษาเราว่า จะออกจากงานที่ทำอยู่ดีไหม Condition ของเพื่อนเรามีอย่างเดียวคือเรื่อง "สุขภาพ" นางเคยทำงานอยู่ดีๆ แล้ววูบไปเลย ดีที่ไม่ล้ม ไม่เส้นเลือดในสมองแตก ... เคสของเพื่อนเรา เราก็เคยถามตัวเองว่าถ้าเป็นเรา จะบาลานซ์สุขภาพตัวเอง กับหน้างานลักษณะนี้ยังไง เราได้เล่าเรื่องราวการตัดสินใจของเราก่อนออกจากงานประจำมาทำธุรกิจส่วนตัว เพื่อนเราโทรไปยืนยันลาออกเลย
สิ่งที่เราเป็นก่อนจะ Conclude ให้เพื่อนฟังในวันนั้น
เราเองทำงานมาตั้งแต่เด็ก ไม่กลัวเลยความยากลำบาก อยู่กับความจน ความลำบากมาจนไม่เคยได้สัมผัสคำว่าเงินเหลือมันเป็นยังไง
เคยคิดนะ ว่าเรียนจบมาแล้วจะหาเงินให้พ่อให้แม่ เค้าจะได้ไม่ต้องทำงาน เค้าจะได้สบาย สุดท้ายสิ่งที่ได้คือ การขออออๆๆๆ ไม่รู้จบ ให้เท่าไหร่เหมือนเอาเงินไปเทลงคลอง ลงมาช่วยดูงบการเงินให้ที่บ้าน มีแต่อาลาวาดใส่ ไม่ฟัง ไม่มีการวางแผน กลายเป็นว่าช่วยใช้หนี้เท่าไหร่ก็ไม่หมด แล้วก็ยังหาเรื่องมาเพิ่มไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งการพนัน การเสี่ยงโชค
จากเงินเดือนที่เราหาได้ เอาให้เขา จนวันหนึ่งเรามีครอบครัวของตัวเอง เราหาให้ไม่ทัน เราก็ไปหยิบยืมออกมาจากบัตรกดเงินสด บัตรเครดิต วงเงินเกือบล้าน ทุกวันนี้ยังใช้ไม่หมด มีใครช่วยเราสักบาทไหม ก็ไม่มี ทั้งช่วยออกค่าโฆษณาให้กับธุรกิจหมดไปเป็นสองสามแสน แล้วก็ค่าใช้จ่ายในบ้านที่ไม่เคยนับว่าให้เท่าไหร่ มาหนักกับเรื่องที่ทำงานอีก ทำให้เราต้องเลือกตัดสินใจจุดใหญ่ๆ ของชีวิตเลย
.
.
เราเคยทำงานบริษัทมหาชนที่นึง วาดฝันกับบริษัทนี้มากว่าจะตั้งใจทำงาน จะได้มีเงินเดือนดีๆ สวัสดิการดีๆ คนในครอบครัวฝากชีวิตไว้กับเราได้ ทำอยู่ 4 ปี บริษํทมีปัญหา ซึ่งเรารู้หมดอ่ะ เพราะดันไปอยู่ในวงที่ไม่ควรจะรู้ หัวหน้าแผนกยักยอกเงินบริษัทเป็นล้าน รับคนใหม่มาก็อีหรอบเดิมหลัก 10 ล้าน ไม่มีใครรู้ว่าลุงเราเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท เพราะเราใช้คนละนามสกุล แล้วเราก็ไม่เคยเขียนบอก HR ตั้งแต่แรก สมัครเข้ามาแบบไม่มีเส้นสาย เพราะอยากทำงานด้านสายนี้จริงๆ และบริษัทก็มีชื่อเสียง แล้วก็กลัวว่า วันหนึ่งถ้าหากเราทำตัวไม่ดี เขาจะว่าไปถึงลุง มีอะไรก็เล่าให้ลุงฟังหมด (วันที่ลุงจะเกษียณตัวเองแกก็ไปถอนหุ้นออกมาหมดทั้งตระกูล)
.
ปรากฎทำมา ปีที่ 3 บริษัทเริ่มไม่ไหว ปลดคนเก่าออก 60% หัวหน้าก็เกิดความเครียดที่ต้องจิ้มพนักงานออก บางแผนกก็ได้รับคำสั่งให้มากดดัน Phycho ลูกน้องให้ออก มีวันนึงเราจำได้เลย เราด่า "ผอ. การตลาดเลย คุณทำงานแบบนี้คุณทำงานเป็นหรือเปล่า?" วันนั้นเขาให้เราทำเรื่องที่หลอกลวงคนอื่น เราไม่ทำ มันเสียชื่อเรา แล้วเขาไม่โอเค เอาเราไปฟ้องทุกคนเท่าที่เขาฟ้องได้ เราโดยเรียกไปคุย คนที่คุยกับเรา พูดว่า "น้อง พี่จะบอกให้นะ ทุกวันนั้นบริษัทเรามันจะมาทำงานคงคุณภาพแบบเดิมไม่ได้แล้ว เราต้องลดต้นทุน พี่จะเปรียบเทียบให้ฟัง ก็เหมือนกับเมื่อก่อนเราทำแกงขาย สมมติว่าเป็นแกงเขียวหวาน วันนี้เราก็แค่ต้องเปลี่ยนวัตถุดิบ อาจจะต้องลดอะไรบางอย่าง.. บลาๆๆ"
แล้วเขาก็ถามเราว่า ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปได้ จะพูดแบบนั้นกับพี่การตลาดคนนั้นไหม
เราตอบแบบไม่ต้องคิดเยอะเลย "เขาสมควรโดนแล้วค่ะ"
เราลาออกแบบสวยๆ ไปหางานใหม่ เงินเดือนขึ้นเท่าตัว
ผ่านมา 4 ปี บุคคลที่ 3 ที่เรากล่าวถึงในบริษัทแรกที่เล่านี้ ถูกให้ออกแบบไม่ดีทุกคน รวมถึงเจ้าของบริษัทเองที่ต้องออกจากฐานะ CEO แบบสวยๆ คนที่ไม่ได้รู้เนื้อข้างใน จะมองว่าโดนนายทุนฮุบ .. แต่เราคนทำงาน แม้ทำงานปลายทางเป็นลูกน้องตัวเล็กๆ กินเงินเดือน 15,000 บ. กล้าพูดเลย มันเห็นทั้งระบบ ทั้งการเบิกนอก ออกใน ..การปกปิดอะไรบางอย่าง..การฮั้วกับลูกค้าเพื่อโยกค่าใช้จ่ายบางอย่างออก รวมถึงความไม่มีวิสัยทัศน์ของการผลิตคอนเทนต์ขององค์กร
แล้วคือเราเคยโดนเรียกไปปรับตำแหน่ง ได้สัมภาษณ์กับผู้อำนวยการฝ่ายคนใหม่ล่าสุดที่ถูกซื้อตัวมาอย่างภาคภูมิ ถ้าพูดชื่อไป รู้จักกันค่อนประเทศ
วันนั้นจำได้เลย วันสัมภาษณ์ เขาให้เรารอ 2 ชั่วโมง คำแรกที่พูดกับเราคือ "คุณรู้ไหม ผมเป็นใคร" เขาไม่รู้ว่า เราเป็นเพื่อนกับแฟนของภรรยาหุ้นส่วนบริษัทเก่าเขาที่เพิ่งเจ๊งไป ในเมื่อเขาไม่รู้ตัวเองเป็นใคร เราก็รื้อฟื้นให้หมด เขาแทบไล่เราออกจากห้อง แต่ด้วยมารยาท ที่เจ้าของบริษัทเป็นคนนัดเขากับเรา เขายื่นขนมมาให้เราชิ้นนึง เพราะคงรู้ว่าคนในห้องรอเขามานานมาก แล้ว

ไม่อร่อยเลย เราคายทิ้งใส่ทิชชู่ แล้วขอลองชิมอีกชิ้นว่ามันกินได้ไหม แล้วเขาถามว่า "ผมเพิ่งเคยเห็นคุณคนแรกที่กล้าขอเพิ่มอีกชิ้น" เราลองหยิบมากัด แล้ววางคืน บอกว่า "พี่ซื้อมาได้ยังไง มันไม่อร่อย" แล้วก็เดินออกจากห้องไป
ที่เล่ามานี้จะบอกว่าวันนั้น

เสียเวลาชีวิตเรามาก เกือบ 3 ชั่วโมง
แต่มันทำให้เราเข้าใจว่าบริษัท

เลือกคนไม่มีวิสัยทัศน์แบบนี้มาบริหาร ขนาดบริษัทเก่าของตัวเองยังมีเรื่องกับหุ้นส่วนจนต้องเลิก แล้วจะมาบริหารอะไรกับบริษัทมหาชน ซึ่งสุดท้ายแล้วหน่วยงานนี้ยังไม่ทันได้เปิดตัว พี่คนนี้ก็โดนให้ออกแบบส่งจดหมายแจ้งร่อนไปทั้งบริษัท จนทุกวันนี้สิ้นชื่อในวงการไปแล้ว ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน
ตั้งแต่วันแรกของการทำงาน (ถ้านับเฉพาะงานที่ใช้ปริญญาเบิกทาง ไม่รวมงาน JOB ที่เคยทำเลี้ยงชีพ) เราคิดเสมอว่าวันนึงจะต้องมีธุรกิจของตัวเองแบบเลี้ยงตัวได้ เลี้ยงครอบครัวได้ เราก็พยายามนำประสบการณ์จากสิ่งที่เจอในชีวิตมา Adapt กับทุกช่วงเวลาของชีวิต เผื่อวันหนึ่งมันจะกลายเป็นอาชีพที่เราฝากชีวิตไว้ได้
เราก็ไปเปิดร้าน จดทะเบียนพาณิชย์ไว้ก่อน คือจองชี่อไว้
แล้วพอดีว่าเราได้งานประจำที่ใหม่ เป็นบริษัทเล็กๆ ที่เราก็ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เราได้เรียนรู้ทักษะนี้
ในความขอบคุณมากมาย แต่ก็มีสิ่งที่เราแตกหักกับบริษัทเล็กๆ นี้ คือมีบริษัทที่ใหญ่กว่าในระดับมหาชน ลอกงานของเราไปเปิดเผย ซึ่งทางสายงานนี้เราสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ 100% แต่สิ่งที่บริษัทจัดการคือ เมื่อจัดการกับบริษัทใหญ่ไม่ได้ ก็มาจัดการกับพนักงานของตัวเอง (งงไหม?) คือ HR เรียกคุยเลยนะ ให้ไปย้อนดูสัญญาจ้างว่า สิ่งที่เราสร้างสรรค์ภายใต้ชื่อบริษัท ถือเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท 100% ซึ่งบริษัทตัดสินใจไม่ฟ้องไม่เอาเรื่อง เพื่อต่อรองให้บริษัทมหาชนแห่งนั้นมาจ้างบริษัทเรา
ไอ้เราแบบ..อิหยั๋งว่ะอ้าย!
สันดานเดิมมันยังไปลอกงานคนอื่น แล้วคิดว่าเขาสิมาจ้างอ้ายบ่!
คือวันที่เรียกไปคุยกันระหว่างบริษัทนั้นกับบริษัทที่เราเคยทำงาน (เอาทนายไปด้วย) สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ คนรวยเขาคิดกันแบบนี้หรอ? เราได้เจอหมดเลยนะ ผู้บริหารบริษัทมหาชนนั้น เขาเป็นฝรั่ง เข้ามาแค่ขอโทษ แค่นั้น เขาบอกว่าจะคาดโทษพนักงานคนนั้นที่ลอกงานเรา แล้วจะลบงานนั้นออกจากสื่อ
สุดท้ายมันก็จบแบบนี้ที่เราคิด คือเจรจาแล้วจบๆ กันไป ทั้งที่บริษัทเราสามารถเรียกค่าเสียหายได้ครึ่งล้าน
เราเข้าใจนะ เจ้าของบริษัทที่เราทำงานอยู่อาจจะมองว่าในระยะยาวอาจจะได้ผลประโยชน์กันมากกว่าการฟ้องครั้งนั้น แต่หลังจากเหตุการณ์นี้จบ มีเจ้าหน้าที่บริษัทมหาชนนั้น ไม่ได้รู้เรื่อง รู้ราว ติดต่อเรามาใหม่ ขอบราเธอร์อะไรสักอย่าง ที่บริษัทเราเสียเปรียบทุกทาง ..ซึ่ง Head เราดันตกลงไงแก แล้วให้เราเป็นคนดีล .. เราทนไม่ไหว พอเลย
แล้วเหตุการณ์แบบนั้นมันเกิดซ้ำๆ ขึ้น เราเลยบอกตัวเองว่า อายุ 26 แล้ว รู้สึกเสียเวลาชีวิตจังเลย
แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่พร้อมเรื่องการเงินที่จะตั้งบริษัทของตัวเอง เราได้งานประจำอีกทีนึงพอดี ..บันเทิงเลย
ที่นี่เป็นที่สุดท้ายที่เราออกมาก่อนจะมาทำธุรกิจของตัวเอง เป็นบริษัทสายงานนี้ น่าจะแห่งสุดท้ายแล้วที่คิดว่ายังเหลืออยู่ ซึ่งมีหลายคนที่เราเคยเจอมาในบริษัทก่อนๆ มารวมตัวกันที่นี่หมดเลย เวลาเจอเราก็พยายาม Say Hi นะ แต่ไม่มีใครทำท่าว่ารู้จักเราเลย (ก็เพราะเราสร้างเรื่องไว้เยอะ เขาคงไม่อยากโดนมองว่ารู้จักกับเรา แต่ก็ไม่เป็นไร แล้วแต่ความสะดวก)
สิ่งที่เราเจอกับที่นี่ เขาให้สวัสดิการดีมาก เงินเดือนก็ดี เราปลดหนี้ปลดสินได้ประมาณนึง แต่มันก็ไม่ได้มีความมั่นคงจีรังในเปลือกของธุรกิจนี้
เรารับไม่ได้กับการทำ content ชี้นำสังคมให้จมลง อยู่กับความงมงาย มันไม่ได้ต่อยอดสิ่งที่เราอยากทำเลยว่าอยากทำ Content พัฒนาองค์ความรู้ให้ประชาชน นอกจากจะไม่ก้าวหน้าแล้ว ยังดึงศักยภาพเราให้ตก เหมือนโดนหลอกใช้ไปวันๆ แล้วบริษัทก็ไม่ได้จ่ายโบนัสให้กับคนรุ่นเก่ารุ่นพ่อรุ่นแม่เรามา 4 ปีแล้ว อีกทั้งให้รีไทร์ออกเรื่อยๆ บอกสังคมสวยๆ ว่าล้างเลือดใหม่ อยากให้มีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน
ก่อนออกมา หัวหน้าฝ่ายที่เรานับถือมาก เขาเป็นคนสอนงานเรา เขาโดนฟ้องหลักล้าน บริษัทต้องจ่าย เพราะเขาไปจ้างคนนอกมาทำงานนึง แล้วคนนอกนั้นไปลอกงานคนอื่นมา แล้วไม่รู้เขาเป็นอะไร เขาระแวง แล้วเอามาลงกับเราหมด อะไรที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา เขาเอามากล่าวโทษเรา ด้วยตำแหน่งของเขาทำให้หัวหน้าของเราฟังแล้วก็มา Phycho เราต่อ การตัดสินใจลาออกครั้งนั้น ไม่นับเรื่องว่าหัวหน้าเอาไอเดียเราไปเสนอผู้บริหารได้รับคำชมชน สุดท้ายเราได้แค่คำขอบคุณ ไม่ให้เครดิตเพราะเป็นแค่ลูกน้อง ตอนนั้นเรามีคำถามกับตัวเองหลายอย่างมาก
ทีนี้ ตอนที่เขาจะกดดันเราให้ออก
หัวหน้าใหญ่ให้ KPI ใหม่เรามาอย่างหนึ่ง พูดสวยๆ ว่าเป็นการปรับตำแหน่ง แต่ใครฟังก็รู้ว่าจะปรับเราออก เขาบอกว่า "3 เดือนต้องทำยอดขายได้ 120,000 บาท"
วันนั้นก็คิดแบบโง่ๆ นะ
120,000 เราทำได้ไม่ถึงเดือน
เราออกเลยวันนั้น
วันที่ออก HR เรียกไปคุยหลายอย่างมาก ยึดโทรศัพท์มือถือ ยืดเครื่องมือสื่อสาร แต่ในห้องมันมีโทรศัพท์บ้านอยู่ ระหว่างคุยๆ กัน (เราก็ไม่ได้เล่าในสิ่งที่เราเจอทั้งหมด เพราะเราถือว่าเราตัดสินใจออกแล้ว จบเวร จบกรรมกัน พี่ๆ ที่ยังไปไหนไม่ได้ ถ้าเราพูดถึงเขาเขาจะอยู่ยังไง อีกอย่างบริษัทอยากเลี้ยงคนแบบนั้นไว้มากกว่าก็เอาไว้เหอะ อยู่กันให้เป็นภาระรุงรังกันต่อไป) เจ้าของบริษัทโทรเข้ามาพอดี เราเลยรู้ว่า นอกจากบริษัทจะไม่จ่ายโบนัสให้พนักงานในปีนั้นแล้ว บริษัทยังขาดทุนหลายร้อยล้านมาหลายปีแล้วด้วย
จากประสบการณ์ที่เราเจอมา
- เรามองว่า หน้างานมันพัฒนาได้ แต่เอาคนที่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัท ทั้งๆ ที่เป็นพนักงานเหมือนกันมาทำงาน มันทำให้องค์กรไม่พัฒนา มัวเสียเวลากับการพะเน้าพะนอตามตำแหน่งกันไป อวยยศกันไป
- แล้วการคอรัปชั่นในองค์กรใหญ่ๆ มันเยอะมาก คนที่ทำพยายามปิด แต่มันก็รู้กันหมด
ที่รับไม่ได้ก็คือ การที่องค์กรใหญ่ๆ ที่ออกสื่อว่าตัวเองทำเพื่อสังคม แต่เนื้อแท้แล้วกำลังเอาเปรียบสังคมบางอย่างอยู่.. คือมันไม่ใช่ไง
.
จากร้านที่เราเคยจดทะเบียนพาณิชย์เอาไว้ เราก็เอามาทำต่อ ปีนี้มันหมดเงื่อนไขสัญญากับบริษัทเดิมแล้วว่าห้ามทำธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งหากเพื่อนๆ ได้มาเห็นกระทู้นี้ ก็ต้องลองบวกลบคูณหารกับความต้องการ ศักยภาพ และฐานะการเงินของตัวเองดูว่ามันจะไปต่อได้ไหม
.
น้อยองค์กรมากที่จะสวยงาม แต่ถ้าคนที่เป็นพนักงานส่วนมาก มีทัศนคติที่ดีในภาพรวม องค์กรมันก็น่าจะเปลี่ยนกฎ เปลี่ยน Culture ได้แหละ
แต่ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนที่ตัวเองล่ะ
ลาออกจากงานประจำ มาทำธุรกิจส่วนตัว เพื่อนบ้านคิดว่าอยู่บ้านเฉยๆ
ปีที่แล้วมีเพื่อนเราคนนึง มาปรึกษาเราว่า จะออกจากงานที่ทำอยู่ดีไหม Condition ของเพื่อนเรามีอย่างเดียวคือเรื่อง "สุขภาพ" นางเคยทำงานอยู่ดีๆ แล้ววูบไปเลย ดีที่ไม่ล้ม ไม่เส้นเลือดในสมองแตก ... เคสของเพื่อนเรา เราก็เคยถามตัวเองว่าถ้าเป็นเรา จะบาลานซ์สุขภาพตัวเอง กับหน้างานลักษณะนี้ยังไง เราได้เล่าเรื่องราวการตัดสินใจของเราก่อนออกจากงานประจำมาทำธุรกิจส่วนตัว เพื่อนเราโทรไปยืนยันลาออกเลย
สิ่งที่เราเป็นก่อนจะ Conclude ให้เพื่อนฟังในวันนั้น
เราเองทำงานมาตั้งแต่เด็ก ไม่กลัวเลยความยากลำบาก อยู่กับความจน ความลำบากมาจนไม่เคยได้สัมผัสคำว่าเงินเหลือมันเป็นยังไง
เคยคิดนะ ว่าเรียนจบมาแล้วจะหาเงินให้พ่อให้แม่ เค้าจะได้ไม่ต้องทำงาน เค้าจะได้สบาย สุดท้ายสิ่งที่ได้คือ การขออออๆๆๆ ไม่รู้จบ ให้เท่าไหร่เหมือนเอาเงินไปเทลงคลอง ลงมาช่วยดูงบการเงินให้ที่บ้าน มีแต่อาลาวาดใส่ ไม่ฟัง ไม่มีการวางแผน กลายเป็นว่าช่วยใช้หนี้เท่าไหร่ก็ไม่หมด แล้วก็ยังหาเรื่องมาเพิ่มไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งการพนัน การเสี่ยงโชค
จากเงินเดือนที่เราหาได้ เอาให้เขา จนวันหนึ่งเรามีครอบครัวของตัวเอง เราหาให้ไม่ทัน เราก็ไปหยิบยืมออกมาจากบัตรกดเงินสด บัตรเครดิต วงเงินเกือบล้าน ทุกวันนี้ยังใช้ไม่หมด มีใครช่วยเราสักบาทไหม ก็ไม่มี ทั้งช่วยออกค่าโฆษณาให้กับธุรกิจหมดไปเป็นสองสามแสน แล้วก็ค่าใช้จ่ายในบ้านที่ไม่เคยนับว่าให้เท่าไหร่ มาหนักกับเรื่องที่ทำงานอีก ทำให้เราต้องเลือกตัดสินใจจุดใหญ่ๆ ของชีวิตเลย
.
.
เราเคยทำงานบริษัทมหาชนที่นึง วาดฝันกับบริษัทนี้มากว่าจะตั้งใจทำงาน จะได้มีเงินเดือนดีๆ สวัสดิการดีๆ คนในครอบครัวฝากชีวิตไว้กับเราได้ ทำอยู่ 4 ปี บริษํทมีปัญหา ซึ่งเรารู้หมดอ่ะ เพราะดันไปอยู่ในวงที่ไม่ควรจะรู้ หัวหน้าแผนกยักยอกเงินบริษัทเป็นล้าน รับคนใหม่มาก็อีหรอบเดิมหลัก 10 ล้าน ไม่มีใครรู้ว่าลุงเราเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท เพราะเราใช้คนละนามสกุล แล้วเราก็ไม่เคยเขียนบอก HR ตั้งแต่แรก สมัครเข้ามาแบบไม่มีเส้นสาย เพราะอยากทำงานด้านสายนี้จริงๆ และบริษัทก็มีชื่อเสียง แล้วก็กลัวว่า วันหนึ่งถ้าหากเราทำตัวไม่ดี เขาจะว่าไปถึงลุง มีอะไรก็เล่าให้ลุงฟังหมด (วันที่ลุงจะเกษียณตัวเองแกก็ไปถอนหุ้นออกมาหมดทั้งตระกูล)
.
ปรากฎทำมา ปีที่ 3 บริษัทเริ่มไม่ไหว ปลดคนเก่าออก 60% หัวหน้าก็เกิดความเครียดที่ต้องจิ้มพนักงานออก บางแผนกก็ได้รับคำสั่งให้มากดดัน Phycho ลูกน้องให้ออก มีวันนึงเราจำได้เลย เราด่า "ผอ. การตลาดเลย คุณทำงานแบบนี้คุณทำงานเป็นหรือเปล่า?" วันนั้นเขาให้เราทำเรื่องที่หลอกลวงคนอื่น เราไม่ทำ มันเสียชื่อเรา แล้วเขาไม่โอเค เอาเราไปฟ้องทุกคนเท่าที่เขาฟ้องได้ เราโดยเรียกไปคุย คนที่คุยกับเรา พูดว่า "น้อง พี่จะบอกให้นะ ทุกวันนั้นบริษัทเรามันจะมาทำงานคงคุณภาพแบบเดิมไม่ได้แล้ว เราต้องลดต้นทุน พี่จะเปรียบเทียบให้ฟัง ก็เหมือนกับเมื่อก่อนเราทำแกงขาย สมมติว่าเป็นแกงเขียวหวาน วันนี้เราก็แค่ต้องเปลี่ยนวัตถุดิบ อาจจะต้องลดอะไรบางอย่าง.. บลาๆๆ"
แล้วเขาก็ถามเราว่า ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปได้ จะพูดแบบนั้นกับพี่การตลาดคนนั้นไหม
เราตอบแบบไม่ต้องคิดเยอะเลย "เขาสมควรโดนแล้วค่ะ"
เราลาออกแบบสวยๆ ไปหางานใหม่ เงินเดือนขึ้นเท่าตัว
ผ่านมา 4 ปี บุคคลที่ 3 ที่เรากล่าวถึงในบริษัทแรกที่เล่านี้ ถูกให้ออกแบบไม่ดีทุกคน รวมถึงเจ้าของบริษัทเองที่ต้องออกจากฐานะ CEO แบบสวยๆ คนที่ไม่ได้รู้เนื้อข้างใน จะมองว่าโดนนายทุนฮุบ .. แต่เราคนทำงาน แม้ทำงานปลายทางเป็นลูกน้องตัวเล็กๆ กินเงินเดือน 15,000 บ. กล้าพูดเลย มันเห็นทั้งระบบ ทั้งการเบิกนอก ออกใน ..การปกปิดอะไรบางอย่าง..การฮั้วกับลูกค้าเพื่อโยกค่าใช้จ่ายบางอย่างออก รวมถึงความไม่มีวิสัยทัศน์ของการผลิตคอนเทนต์ขององค์กร
แล้วคือเราเคยโดนเรียกไปปรับตำแหน่ง ได้สัมภาษณ์กับผู้อำนวยการฝ่ายคนใหม่ล่าสุดที่ถูกซื้อตัวมาอย่างภาคภูมิ ถ้าพูดชื่อไป รู้จักกันค่อนประเทศ
วันนั้นจำได้เลย วันสัมภาษณ์ เขาให้เรารอ 2 ชั่วโมง คำแรกที่พูดกับเราคือ "คุณรู้ไหม ผมเป็นใคร" เขาไม่รู้ว่า เราเป็นเพื่อนกับแฟนของภรรยาหุ้นส่วนบริษัทเก่าเขาที่เพิ่งเจ๊งไป ในเมื่อเขาไม่รู้ตัวเองเป็นใคร เราก็รื้อฟื้นให้หมด เขาแทบไล่เราออกจากห้อง แต่ด้วยมารยาท ที่เจ้าของบริษัทเป็นคนนัดเขากับเรา เขายื่นขนมมาให้เราชิ้นนึง เพราะคงรู้ว่าคนในห้องรอเขามานานมาก แล้ว
ที่เล่ามานี้จะบอกว่าวันนั้น
แต่มันทำให้เราเข้าใจว่าบริษัท
ตั้งแต่วันแรกของการทำงาน (ถ้านับเฉพาะงานที่ใช้ปริญญาเบิกทาง ไม่รวมงาน JOB ที่เคยทำเลี้ยงชีพ) เราคิดเสมอว่าวันนึงจะต้องมีธุรกิจของตัวเองแบบเลี้ยงตัวได้ เลี้ยงครอบครัวได้ เราก็พยายามนำประสบการณ์จากสิ่งที่เจอในชีวิตมา Adapt กับทุกช่วงเวลาของชีวิต เผื่อวันหนึ่งมันจะกลายเป็นอาชีพที่เราฝากชีวิตไว้ได้
เราก็ไปเปิดร้าน จดทะเบียนพาณิชย์ไว้ก่อน คือจองชี่อไว้
แล้วพอดีว่าเราได้งานประจำที่ใหม่ เป็นบริษัทเล็กๆ ที่เราก็ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เราได้เรียนรู้ทักษะนี้
ในความขอบคุณมากมาย แต่ก็มีสิ่งที่เราแตกหักกับบริษัทเล็กๆ นี้ คือมีบริษัทที่ใหญ่กว่าในระดับมหาชน ลอกงานของเราไปเปิดเผย ซึ่งทางสายงานนี้เราสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ 100% แต่สิ่งที่บริษัทจัดการคือ เมื่อจัดการกับบริษัทใหญ่ไม่ได้ ก็มาจัดการกับพนักงานของตัวเอง (งงไหม?) คือ HR เรียกคุยเลยนะ ให้ไปย้อนดูสัญญาจ้างว่า สิ่งที่เราสร้างสรรค์ภายใต้ชื่อบริษัท ถือเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท 100% ซึ่งบริษัทตัดสินใจไม่ฟ้องไม่เอาเรื่อง เพื่อต่อรองให้บริษัทมหาชนแห่งนั้นมาจ้างบริษัทเรา
ไอ้เราแบบ..อิหยั๋งว่ะอ้าย!
สันดานเดิมมันยังไปลอกงานคนอื่น แล้วคิดว่าเขาสิมาจ้างอ้ายบ่!
คือวันที่เรียกไปคุยกันระหว่างบริษัทนั้นกับบริษัทที่เราเคยทำงาน (เอาทนายไปด้วย) สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ คนรวยเขาคิดกันแบบนี้หรอ? เราได้เจอหมดเลยนะ ผู้บริหารบริษัทมหาชนนั้น เขาเป็นฝรั่ง เข้ามาแค่ขอโทษ แค่นั้น เขาบอกว่าจะคาดโทษพนักงานคนนั้นที่ลอกงานเรา แล้วจะลบงานนั้นออกจากสื่อ
สุดท้ายมันก็จบแบบนี้ที่เราคิด คือเจรจาแล้วจบๆ กันไป ทั้งที่บริษัทเราสามารถเรียกค่าเสียหายได้ครึ่งล้าน
เราเข้าใจนะ เจ้าของบริษัทที่เราทำงานอยู่อาจจะมองว่าในระยะยาวอาจจะได้ผลประโยชน์กันมากกว่าการฟ้องครั้งนั้น แต่หลังจากเหตุการณ์นี้จบ มีเจ้าหน้าที่บริษัทมหาชนนั้น ไม่ได้รู้เรื่อง รู้ราว ติดต่อเรามาใหม่ ขอบราเธอร์อะไรสักอย่าง ที่บริษัทเราเสียเปรียบทุกทาง ..ซึ่ง Head เราดันตกลงไงแก แล้วให้เราเป็นคนดีล .. เราทนไม่ไหว พอเลย
แล้วเหตุการณ์แบบนั้นมันเกิดซ้ำๆ ขึ้น เราเลยบอกตัวเองว่า อายุ 26 แล้ว รู้สึกเสียเวลาชีวิตจังเลย
แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่พร้อมเรื่องการเงินที่จะตั้งบริษัทของตัวเอง เราได้งานประจำอีกทีนึงพอดี ..บันเทิงเลย
ที่นี่เป็นที่สุดท้ายที่เราออกมาก่อนจะมาทำธุรกิจของตัวเอง เป็นบริษัทสายงานนี้ น่าจะแห่งสุดท้ายแล้วที่คิดว่ายังเหลืออยู่ ซึ่งมีหลายคนที่เราเคยเจอมาในบริษัทก่อนๆ มารวมตัวกันที่นี่หมดเลย เวลาเจอเราก็พยายาม Say Hi นะ แต่ไม่มีใครทำท่าว่ารู้จักเราเลย (ก็เพราะเราสร้างเรื่องไว้เยอะ เขาคงไม่อยากโดนมองว่ารู้จักกับเรา แต่ก็ไม่เป็นไร แล้วแต่ความสะดวก)
สิ่งที่เราเจอกับที่นี่ เขาให้สวัสดิการดีมาก เงินเดือนก็ดี เราปลดหนี้ปลดสินได้ประมาณนึง แต่มันก็ไม่ได้มีความมั่นคงจีรังในเปลือกของธุรกิจนี้
เรารับไม่ได้กับการทำ content ชี้นำสังคมให้จมลง อยู่กับความงมงาย มันไม่ได้ต่อยอดสิ่งที่เราอยากทำเลยว่าอยากทำ Content พัฒนาองค์ความรู้ให้ประชาชน นอกจากจะไม่ก้าวหน้าแล้ว ยังดึงศักยภาพเราให้ตก เหมือนโดนหลอกใช้ไปวันๆ แล้วบริษัทก็ไม่ได้จ่ายโบนัสให้กับคนรุ่นเก่ารุ่นพ่อรุ่นแม่เรามา 4 ปีแล้ว อีกทั้งให้รีไทร์ออกเรื่อยๆ บอกสังคมสวยๆ ว่าล้างเลือดใหม่ อยากให้มีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน
ก่อนออกมา หัวหน้าฝ่ายที่เรานับถือมาก เขาเป็นคนสอนงานเรา เขาโดนฟ้องหลักล้าน บริษัทต้องจ่าย เพราะเขาไปจ้างคนนอกมาทำงานนึง แล้วคนนอกนั้นไปลอกงานคนอื่นมา แล้วไม่รู้เขาเป็นอะไร เขาระแวง แล้วเอามาลงกับเราหมด อะไรที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา เขาเอามากล่าวโทษเรา ด้วยตำแหน่งของเขาทำให้หัวหน้าของเราฟังแล้วก็มา Phycho เราต่อ การตัดสินใจลาออกครั้งนั้น ไม่นับเรื่องว่าหัวหน้าเอาไอเดียเราไปเสนอผู้บริหารได้รับคำชมชน สุดท้ายเราได้แค่คำขอบคุณ ไม่ให้เครดิตเพราะเป็นแค่ลูกน้อง ตอนนั้นเรามีคำถามกับตัวเองหลายอย่างมาก
ทีนี้ ตอนที่เขาจะกดดันเราให้ออก
หัวหน้าใหญ่ให้ KPI ใหม่เรามาอย่างหนึ่ง พูดสวยๆ ว่าเป็นการปรับตำแหน่ง แต่ใครฟังก็รู้ว่าจะปรับเราออก เขาบอกว่า "3 เดือนต้องทำยอดขายได้ 120,000 บาท"
วันนั้นก็คิดแบบโง่ๆ นะ
120,000 เราทำได้ไม่ถึงเดือน
เราออกเลยวันนั้น
วันที่ออก HR เรียกไปคุยหลายอย่างมาก ยึดโทรศัพท์มือถือ ยืดเครื่องมือสื่อสาร แต่ในห้องมันมีโทรศัพท์บ้านอยู่ ระหว่างคุยๆ กัน (เราก็ไม่ได้เล่าในสิ่งที่เราเจอทั้งหมด เพราะเราถือว่าเราตัดสินใจออกแล้ว จบเวร จบกรรมกัน พี่ๆ ที่ยังไปไหนไม่ได้ ถ้าเราพูดถึงเขาเขาจะอยู่ยังไง อีกอย่างบริษัทอยากเลี้ยงคนแบบนั้นไว้มากกว่าก็เอาไว้เหอะ อยู่กันให้เป็นภาระรุงรังกันต่อไป) เจ้าของบริษัทโทรเข้ามาพอดี เราเลยรู้ว่า นอกจากบริษัทจะไม่จ่ายโบนัสให้พนักงานในปีนั้นแล้ว บริษัทยังขาดทุนหลายร้อยล้านมาหลายปีแล้วด้วย
จากประสบการณ์ที่เราเจอมา
- เรามองว่า หน้างานมันพัฒนาได้ แต่เอาคนที่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัท ทั้งๆ ที่เป็นพนักงานเหมือนกันมาทำงาน มันทำให้องค์กรไม่พัฒนา มัวเสียเวลากับการพะเน้าพะนอตามตำแหน่งกันไป อวยยศกันไป
- แล้วการคอรัปชั่นในองค์กรใหญ่ๆ มันเยอะมาก คนที่ทำพยายามปิด แต่มันก็รู้กันหมด
ที่รับไม่ได้ก็คือ การที่องค์กรใหญ่ๆ ที่ออกสื่อว่าตัวเองทำเพื่อสังคม แต่เนื้อแท้แล้วกำลังเอาเปรียบสังคมบางอย่างอยู่.. คือมันไม่ใช่ไง
.
จากร้านที่เราเคยจดทะเบียนพาณิชย์เอาไว้ เราก็เอามาทำต่อ ปีนี้มันหมดเงื่อนไขสัญญากับบริษัทเดิมแล้วว่าห้ามทำธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งหากเพื่อนๆ ได้มาเห็นกระทู้นี้ ก็ต้องลองบวกลบคูณหารกับความต้องการ ศักยภาพ และฐานะการเงินของตัวเองดูว่ามันจะไปต่อได้ไหม
.
น้อยองค์กรมากที่จะสวยงาม แต่ถ้าคนที่เป็นพนักงานส่วนมาก มีทัศนคติที่ดีในภาพรวม องค์กรมันก็น่าจะเปลี่ยนกฎ เปลี่ยน Culture ได้แหละ
แต่ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนที่ตัวเองล่ะ