หนังที่ทำให้การเดินในสถานีใต้ดิน…รู้สึกหลอนเหมือนถูกขังอยู่ในเขาวงกต
#รีวิวหนัง #Exit8
.
ชอบอ่ะ เรื่องนี้คือถ้าดูเอาประเด็นก็ดี ดูเอาลุ้นก็สนุก ด้วยบรรยากาศที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะต้องเจอกับอะไร แถมจะต้องจับตาดูให้ดีว่าอะไรผิดปกติ มันปั่นหัว แถมการดู 4DX ยิ่งทำให้ทางเดินมันน่ากลัวขึ้น 10 เท่า
.
0./
ถ้าในชีวิตจริง “มีบางอย่างผิดปกติ”…คุณจะกล้าหยุดดูมันไหม?
หลายครั้งเรารู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ละ เวลาเห็นคนถูกเอาเปรียบ , เวลาเจออะไรที่มันไม่แฟร์ , เวลาที่เห็นความผิดปกติต่อหน้า…แต่เลือกไม่เข้าไปยุ่ง เพราะบอกตัวเองว่า “นั่นไม่ใช่เรื่องของเรา”
แต่ EXIT 8 ทำให้เรากลับมาตั้งคำถามว่า
บางทีการไม่ทำอะไรเลย…อาจเป็นการเลือกที่เลวร้ายที่สุดก็ได้
และการ “มองเห็นสิ่งผิดปกติ” อาจเป็นทางออกเดียวก็ได้
.
1./
EXIT 8 เป็นเรื่องราวของ “ฮิเดโอะ โจ” (นิโนะมิยะ) ชายธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังเดินทางไปทำงาน ด้วยสถานีใต้ดิน จู่ๆ เขาก็หลงอยู่ในทางเดินที่เหมือนกันหมดและหาทางออกไม่ได้ มีแค่ป้ายเดียวที่เขียนว่า: “ถ้าเห็นอะไรผิดปกติ…ให้หันหลังกลับ” และทุกครั้งที่พลาด…เขาจะถูก “รีเซ็ตกลับไปเริ่มที่เดิม” ทันที
.
2/
ความหลอนในเรื่องนี้ คือ “ความเหมือนเดิมที่ผิดเพี้ยนทีละน้อย”
ไม่ต่างจากชีวิตคนเมืองที่ค่อย ๆ แปลกไปแบบที่เรารู้สึกเอ๊ะ
แต่ก็ยังปล่อยให้มันแปลก
และกว่าจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ควบคุมอะไรเลย ก็เกือบจะสายเกินไป
.
3/
สิ่งที่ชอบมากในหนังคือ การครีเอทความกลัว
มันใหม่และมินิมัลแต่สะท้อนเสียงในหัวของเราทุกคนได้เฉียบมากว่า
“หรือจริง ๆ เราก็กำลังติดอยู่ในทางเดินรถไฟใต้ดินของตัวเองเหมือนกัน?”
.
4./
ความสนุกของหนังอยู่ที่การ “สังเกต” หนังไม่ได้สนุกเพราะผี
ไม่ได้ให้เรากระโดดตกใจ แต่มันให้เรานั่งลุ้นว่า
“อะไรผิดไปจากเมื่อครู่นี้” ประตูที่เพิ่มลูกบิด
ป้ายที่สะกดผิดเพียงตัวเดียว
รูปภาพที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็รู้สึกเหมือนมองเราตลอดเวลา
..
5./
ชอบที่หนังตีโจทย์ “คนธรรมดา” ได้น่าสนใจ พระเอกเป็นคนที่อาจะเป็นเราได้ในในชีวิตจริง ไม่อยากช่วยใคร ไม่อยากยุ่ง ไม่อยากเจ็บตัว และกลัวว่าตัวเองจะ “ไม่ดีพอ” กับสิ่งที่ต้องเผชิญ ผู้กำกับใช้กติกาเล็ก ๆ นี้ตีแสกหน้าเราว่า ถ้าเราไม่มองโลกจริง ๆ เราอาจจะอยู่ในเส้นทางเดิมไปตลอดชีวิตไปเลยก็ได้
.
6/
หนังเลยทำให้พระเอกติดอยู่กับ Walking Man ชายที่เดินวนแบบเดิม ๆ ไม่มองใคร ไม่พูดอะไร เหมือนภาพแทนของเราที่… ถ้าเรายอมแพ้ต่อระบบ / ความกลัว / ความไม่กล้าเลือก ในที่สุดก็จะเดินซ้ำรอยเดิมแบบไม่รู้ตัว
.
7/
ระบบ 4DX เหมือนหลุดไปอยู่ในสถานีด้วยตัวเอง นี่มีโอกาสได้ดูแบบ 4DX บอกเลยว่า “โคตรเข้าทางหนัง” เพราะเอฟเฟคในโรงยิ่งทำให้ทางเดินมันน่ากลัวขึ้น 10 เท่า มันไม่ใช่แค่ดูหนัง ทำให้ หนังกลายเป็นประสบการณ์ Stimulator ที่เหมือนอยู่กับนิโนมิยะจริง ๆ
.
8./
EXIT 8 น่าจะเป็นหนังที่สร้างจากเกมที่สนุก และมีประเด็นที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง
เมื่อดูจบ หนังชวนเรากลับมาถามตัวเองว่า…
ทุกวันเรากำลัง “เลือก” หรือกำลัง “ปล่อยให้ระบบเลือกแทนเรา”?
เรากลัวอะไรอยู่? กลัวจะผิดหวัง? กลัวไม่เก่งพอ? กลัวไม่ใช่คนดีพอสำหรับใครบางคน?
หรือกลัวที่สุดคือ…
กลัวต้องออกจากคอมฟอร์ทโซนที่ตัวเองคุ้นเคยมานานเกินไป
.
#EXIT8
#ทางออกหมายเลข8
4 ธันวาคม ในโรงภาพยนตร์
หนังที่ทำให้การเดินในสถานีใต้ดิน…หลอนเหมือนถูกขังอยู่ในเขาวงกต #รีวิวหนัง #Exit8
#รีวิวหนัง #Exit8
.
ชอบอ่ะ เรื่องนี้คือถ้าดูเอาประเด็นก็ดี ดูเอาลุ้นก็สนุก ด้วยบรรยากาศที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะต้องเจอกับอะไร แถมจะต้องจับตาดูให้ดีว่าอะไรผิดปกติ มันปั่นหัว แถมการดู 4DX ยิ่งทำให้ทางเดินมันน่ากลัวขึ้น 10 เท่า
.
0./
ถ้าในชีวิตจริง “มีบางอย่างผิดปกติ”…คุณจะกล้าหยุดดูมันไหม?
หลายครั้งเรารู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ละ เวลาเห็นคนถูกเอาเปรียบ , เวลาเจออะไรที่มันไม่แฟร์ , เวลาที่เห็นความผิดปกติต่อหน้า…แต่เลือกไม่เข้าไปยุ่ง เพราะบอกตัวเองว่า “นั่นไม่ใช่เรื่องของเรา”
แต่ EXIT 8 ทำให้เรากลับมาตั้งคำถามว่า
บางทีการไม่ทำอะไรเลย…อาจเป็นการเลือกที่เลวร้ายที่สุดก็ได้
และการ “มองเห็นสิ่งผิดปกติ” อาจเป็นทางออกเดียวก็ได้
.
1./
EXIT 8 เป็นเรื่องราวของ “ฮิเดโอะ โจ” (นิโนะมิยะ) ชายธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังเดินทางไปทำงาน ด้วยสถานีใต้ดิน จู่ๆ เขาก็หลงอยู่ในทางเดินที่เหมือนกันหมดและหาทางออกไม่ได้ มีแค่ป้ายเดียวที่เขียนว่า: “ถ้าเห็นอะไรผิดปกติ…ให้หันหลังกลับ” และทุกครั้งที่พลาด…เขาจะถูก “รีเซ็ตกลับไปเริ่มที่เดิม” ทันที
.
2/
ความหลอนในเรื่องนี้ คือ “ความเหมือนเดิมที่ผิดเพี้ยนทีละน้อย”
ไม่ต่างจากชีวิตคนเมืองที่ค่อย ๆ แปลกไปแบบที่เรารู้สึกเอ๊ะ
แต่ก็ยังปล่อยให้มันแปลก
และกว่าจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ควบคุมอะไรเลย ก็เกือบจะสายเกินไป
.
3/
สิ่งที่ชอบมากในหนังคือ การครีเอทความกลัว
มันใหม่และมินิมัลแต่สะท้อนเสียงในหัวของเราทุกคนได้เฉียบมากว่า
“หรือจริง ๆ เราก็กำลังติดอยู่ในทางเดินรถไฟใต้ดินของตัวเองเหมือนกัน?”
.
4./
ความสนุกของหนังอยู่ที่การ “สังเกต” หนังไม่ได้สนุกเพราะผี
ไม่ได้ให้เรากระโดดตกใจ แต่มันให้เรานั่งลุ้นว่า
“อะไรผิดไปจากเมื่อครู่นี้” ประตูที่เพิ่มลูกบิด
ป้ายที่สะกดผิดเพียงตัวเดียว
รูปภาพที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็รู้สึกเหมือนมองเราตลอดเวลา
..
5./
ชอบที่หนังตีโจทย์ “คนธรรมดา” ได้น่าสนใจ พระเอกเป็นคนที่อาจะเป็นเราได้ในในชีวิตจริง ไม่อยากช่วยใคร ไม่อยากยุ่ง ไม่อยากเจ็บตัว และกลัวว่าตัวเองจะ “ไม่ดีพอ” กับสิ่งที่ต้องเผชิญ ผู้กำกับใช้กติกาเล็ก ๆ นี้ตีแสกหน้าเราว่า ถ้าเราไม่มองโลกจริง ๆ เราอาจจะอยู่ในเส้นทางเดิมไปตลอดชีวิตไปเลยก็ได้
.
6/
หนังเลยทำให้พระเอกติดอยู่กับ Walking Man ชายที่เดินวนแบบเดิม ๆ ไม่มองใคร ไม่พูดอะไร เหมือนภาพแทนของเราที่… ถ้าเรายอมแพ้ต่อระบบ / ความกลัว / ความไม่กล้าเลือก ในที่สุดก็จะเดินซ้ำรอยเดิมแบบไม่รู้ตัว
.
7/
ระบบ 4DX เหมือนหลุดไปอยู่ในสถานีด้วยตัวเอง นี่มีโอกาสได้ดูแบบ 4DX บอกเลยว่า “โคตรเข้าทางหนัง” เพราะเอฟเฟคในโรงยิ่งทำให้ทางเดินมันน่ากลัวขึ้น 10 เท่า มันไม่ใช่แค่ดูหนัง ทำให้ หนังกลายเป็นประสบการณ์ Stimulator ที่เหมือนอยู่กับนิโนมิยะจริง ๆ
.
8./
EXIT 8 น่าจะเป็นหนังที่สร้างจากเกมที่สนุก และมีประเด็นที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง
เมื่อดูจบ หนังชวนเรากลับมาถามตัวเองว่า…
ทุกวันเรากำลัง “เลือก” หรือกำลัง “ปล่อยให้ระบบเลือกแทนเรา”?
เรากลัวอะไรอยู่? กลัวจะผิดหวัง? กลัวไม่เก่งพอ? กลัวไม่ใช่คนดีพอสำหรับใครบางคน?
หรือกลัวที่สุดคือ…
กลัวต้องออกจากคอมฟอร์ทโซนที่ตัวเองคุ้นเคยมานานเกินไป
.
#EXIT8
#ทางออกหมายเลข8
4 ธันวาคม ในโรงภาพยนตร์