KEY POINTS
แม้เศรษฐกิจไทยโตชะลอ ราคาน้ำมันร่วง ค่าเงินบาทแข็งกดดันยอดขายบริษัทจดทะเบียน
แต่กำไรสุทธิรวมกลับพุ่งแรงกว่า 20% จากดีลควบรวม-ปรับโครงสร้างธุรกิจ
ด้าน mai เผชิญแรงกดดันหนัก กำไร 9 เดือนหายเกือบ 40% การตั้งสำรองพุ่ง
ในปีที่ความผันผวนทางเศรษฐกิจยังไม่ยอมซา ทั้งราคาพลังงานที่แกว่งแรง ค่าเงินบาทที่แข็งเร็วเกินคาด และกำลังซื้อในประเทศที่แผ่วลงอย่างต่อเนื่อง หลายคนอาจคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยต้อง "เปราะบาง" ตามสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
แต่ตัวเลขล่าสุดกลับทำให้ตลาดต้องเงยหน้าอีกครั้ง เพราะแม้ยอดขายจะหด แต่กำไรสุทธิรวมกลับพุ่งสวน
"สรวิศ ไกรฤกษ์" รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บจ. จำนวน 817 บริษัท คิดเป็น 98.7% จากทั้งหมด 828 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 30 กันยายน 2568
และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2568 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 602 บริษัท คิดเป็น 73.7% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ภาพ ตลาดหลักทรัพย์ฯผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2568 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 12,432,596 ล้านบาท ลดลง 6% ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการขายและบริหารลดลง 6.6% และ 1.2% ตามลำดับ ทำให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 844,047 ล้านบาท ลดลง 7.3%
อย่างไรก็ดี บจ. ขนาดใหญ่หลายแห่งมีกำไรจากการควบรวมกิจการ การปรับโครงสร้างธุรกิจ และการลงทุนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ บจ. มีกำไรสุทธิ 886,814 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8%
ทั้งนี้ หากไม่รวม บจ. ในหมวดธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีภัณฑ์ บจ. มียอดขายลดลง 0.7% และมีกำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1.2% และ 16.4% ตามลำดับ
ด้านฐานะการเงินของ บจ. ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.49 เท่า ลดลงจาก 1.56 เท่า ณ ช่วงเดียวกันในปีก่อน
สำหรับงวดไตรมาส 3/2568 เทียบกับไตรมาส 3/2567 บจ. ส่วนใหญ่มียอดขายลดลง แต่มีกำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 21.0% และ 31.4% ตามลำดับ เนื่องจาก บจ. ในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันมีราคาส่วนต่างค่าการกลั่นต่ำผิดปกติในปีก่อน
หากไม่รวม บจ. ในหมวดธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีภัณฑ์ บจ. มียอดขายและมีกำไรจากการดำเนินงานลดลง 11.9% และ 3.2% ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5.3%
"นอกจากความท้าทายของราคาน้ำมันที่ลดลงแล้ว เศรษฐกิจไทยซึ่งเติบโตในอัตราชะลอลง และค่าเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบชัดเจนกับยอดขาย บจ. ไทยในไตรมาส 3 โดยเกือบทุกหมวดธุรกิจมียอดขายลดลง และกระทบกับภาพรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี โดยเฉพาะหมวดบริการซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของประเทศ เริ่มมีผลประกอบการลดลงอย่างชัดเจนในไตรมาส 3"
หมวดธุรกิจที่ยังเติบโตดี คือ หมวดธุรกิจประกันภัย ตามแนวโน้มการออมและการประกันความเสี่ยงของสัมคมผู้สูงอายุ และหมวดโทรคมนาคม ได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการใช้ Data และ Internet เพิ่มตามแนวโน้มการปรับสู่สังคม Digital ที่เติบโต
บจ. mai โค้ง 3/68 กำไรสุทธิ 620 ล้านบาท
"ประพันธ์ เจริญประวัติ" ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 222 บริษัท คิดเป็น 97% จากทั้งหมด 229 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน
โดยไตรมาส 3/2568 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 50,719 ล้านบาท ลดลง 5.6% ต้นทุนขาย 37,206 ล้านบาท ลดลง 7.3% กำไรขั้นต้น 13,514 ล้านบาท ลดลง 0.7% โดยมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 0.1% ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,232 ล้านบาท ลดลง 3% และมีกำไรสุทธิรวม 620 ล้านบาท ลดลง 10.9%
ทั้งนี้ หากพิจารณาความสามารถในการทำกำไรพบว่า บจ. มีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เพิ่มขึ้นจาก 25.3% เป็น 26.6% ขณะที่อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (OPM) เพิ่มขึ้นจากระดับ 6.2% มาอยู่ที่ระดับ 6.4% ส่วนอัตรากำไรสุทธิ (NPM) ลดลงเล็กน้อยจาก 1.3% เป็น 1.2% ตามลำดับ
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2568 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 151,127 ล้านบาท ลดลง 3.6% ต้นทุนขาย 111,422 ล้านบาท ลดลง 4% กำไรขั้นต้น 39,705 ล้านบาท ลดลง 2.2%
โดยมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 2.2% ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 9,702 ล้านบาท ลดลง 13.5% และมีกำไรสุทธิรวม 3,722 ล้านบาท ลดลง 38.9%
"ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2568 บจ. มียอดขายและกำไรสุทธิลดลง สาเหตุจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ บจ. บางแห่งส่งมอบโครงการตามสัญญาเกือบจะครบแล้ว บางแห่งตั้งสำรองการลดลงของสินทรัพย์ทางการเงินและด้อยค่าเงินลงทุนส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับผลประกอบการรวมของ บจ. ใน mai"
อย่างไรก็ดี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่โดดเด่นสามารถรักษาการเติบโตของยอดขาย ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มบริการ และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยกลุ่มบริการมีการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิ
ด้านฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 328,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% จากสิ้นปี 2567 และโครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.79 เท่า ใกล้เคียงกับสิ้นปี 2567 ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 229 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568)
ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 214.32 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่211,347.63 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 572.86 ล้าน
บาทต่อวัน.
SET-mai ใครรุ่ง ใครร่วง ? เปิดงบบริษัทจดทะเบียนไทย 9 เดือน 2568 ยอดขายลด-กำไรแรง
บาทต่อวัน.