📸📷📹เกือบหลับ แต่กลับมาได้ …”Nikon” กับวิกฤตที่เคนเกือบล้มละลาย

เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง Nikon ยักษ์ใหญ่ที่นิยามโลกแห่งการถ่ายภาพมาหลายเจเนอเรชัน เกือบจะต้องปิดฉากตำนานลงเหมือนกับที่ Kodak เคยเผชิญ

เราไม่ได้กำลังพูดถึงแค่ช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เรากำลังพูดถึงสภาวะที่เฉียดคำว่า “ล้มละลาย”

ใครจะไปคิดว่าแบรนด์ที่เคยแข็งแกร่งขนาดนี้ จะถูกคลื่นยักษ์ที่มองไม่เห็นซัดจนเกือบพังทลาย คลื่นลูกนั้นมีชื่อว่า “สมาร์ทโฟน”

แต่เรื่องราวนี้มีจุดหักมุมที่น่าเหลือเชื่อ เพราะในปี 2025 พวกเขาไม่เพียงแค่รอดชีวิตกลับมาได้ แต่กำลังเติบโตและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

เมื่อวันที่ 10 กันยายน ที่ผ่านมา การเปิดตัวกล้องรุ่น ZR ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการ ด้วยนวัตกรรมระดับเดียวกับกล้องถ่ายภาพยนตร์ฮอลลีวูด

คำถามที่น่าสนใจคือ เกิดอะไรขึ้นกับตำนานอย่าง Nikon พวกเขาตะเกียกตะกายกลับมาจากปากเหวได้อย่างไร ในวันที่คนทั้งโลกต่างพร้อมใจกันเขียนข่าวมรณกรรมให้พวกเขาไปแล้วซะด้วยซ้ำ

ลองจินตนาการย้อนกลับไปในปี 2010…

ช่วงเวลานั้น หากคุณเดินเข้าไปในร้านขายกล้อง คุณจะพบเห็นภาพที่คุ้นตา ชั้นวางสินค้าอัดแน่นไปด้วยกล้องคอมแพคตัวเล็กๆ

ตระกูล Coolpix ของ Nikon วางเรียงรายเต็มพื้นที่ ครองตลาดและโกยรายได้มหาศาล ชีวิตของยักษ์ใหญ่สีเหลืองดำดูสดใสและไร้กังวล

แต่เพียงแค่กดปุ่มกรอเวลาไปข้างหน้าเพียง 8 ปี ภาพความสำเร็จเหล่านั้นกลับเลือนหายไป ชั้นวางที่เคยเต็มไปด้วยกล้องคอมแพค กลายเป็นที่ว่างเปล่า มีเพียงฝุ่นจับจองพื้นที่แทน

การปฏิวัติของ iPhone และกองทัพสมาร์ทโฟน ไม่ได้เข้ามาแค่เพื่อแบ่งส่วนแบ่งตลาด แต่มันเข้ามาเพื่อทำลายล้างตลาดกล้องคอมแพคให้หายไปตลอดกาล

ตัวเลขที่น่าตกใจคือ ยอดขายในส่วนนี้พังทลายลงถึง 80% ภายในปี 2018…

ลองคิดดูว่าความเสียหายระดับ 80% นั้นรุนแรงขนาดไหน มันเหมือนกับว่ารายได้หลักของคุณหายวับไปเกือบทั้งหมดในพริบตา

คนนับล้านที่เคยต้องพกกล้องแยกเพื่อถ่ายรูป จู่ๆ ก็มีอุปกรณ์มหัศจรรย์ในกระเป๋ากางเกง

อุปกรณ์ที่ถ่ายภาพได้ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับเวทมนตร์ที่เรียกว่า “Computational Photography” ซอฟต์แวร์อัจฉริยะทำให้การถ่ายภาพที่เคยยุ่งยาก กลายเป็นเรื่องง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส

เวลานั้น Nikon กำลังเลือดไหลไม่หยุด…

ตระกูล Coolpix ที่เคยเป็นเครื่องจักรเสกเงิน กลายเป็นเพียงวัตถุโบราณที่โลกไม่ต้องการอีกต่อไป

บรรยากาศในสำนักงานใหญ่ที่ Tokyo เต็มไปด้วยความตึงเครียด รายงานประจำไตรมาสเปลี่ยนจากตัวเลขกำไรที่สวยงาม เป็นตัวเลขสีแดงที่น่าหวาดหวั่น

การประชุมของผู้บริหารเปลี่ยนหัวข้อจากการวางแผนขยายอาณาจักร เป็นการระดมสมองเพื่อหาทางเอาชีวิตรอด

ความรู้สึกที่น่ากลัวที่สุดสำหรับคนทำธุรกิจ คือการตระหนักว่าโลกกำลังหมุนไปข้างหน้าโดยที่ไม่มีที่ยืนให้เราอีกแล้ว

โมเดลธุรกิจเดิมที่ขายกล้องให้คนทั่วไป ระเหยหายไปพร้อมกับความฉลาดของสมาร์ทโฟน

Portrait mode ที่ทำหน้าชัดหลังเบลอได้เนียนตา หรือ Night mode ที่ถ่ายที่มืดได้สว่างไสว ทั้งหมดนี้ทำให้คนทั่วไปเลิกมองหากล้องถ่ายรูป

ในปี 2017 นักวิเคราะห์ทั่วโลกเริ่มตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า Nikon จะมีจุดจบเหมือน Kodak หรือไม่?

ความล้มละลายไม่ใช่แค่คำขู่ แต่มันคือความเป็นจริงที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที…

บริษัทที่เคยสร้างตำนานอย่าง F-S series หรือ D800 กล้องที่ช่างภาพข่าวทั่วโลกไว้วางใจ กำลังสั่นคลอน

แต่ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด มักจะมีแสงสว่างแห่งการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ

มีเสียงหนึ่งในที่ประชุมผู้บริหารเสนอแนวคิดที่ท้าทายว่า จะเป็นอย่างไรถ้าเราเลิกพยายามแข่งกับสมาร์ทโฟน แต่หันไปสู้ในเกมที่สมาร์ทโฟนไม่มีวันชนะ

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท…

ปี 2018 คือปีแห่งการเปลี่ยนแปลง Nikon ตัดสินใจเปิดตัว Z series

การมาของ Z6 และ Z7 คือการประกาศว่าพวกเขาพร้อมจะทิ้งความสำเร็จเดิมของกล้อง DSLR เพื่อก้าวเข้าสู่ยุค Mirrorless แบบเต็มตัว

แต่ก็ต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่า Nikon มาช้ากว่าคนอื่นมาก

ในขณะที่ Sony ครองตลาดนี้มานานหลายปี และ Canon ก็เริ่มขยับตัวไปก่อนหน้าแล้ว การมาของ Nikon ดูเหมือนคนที่มาร่วมงานเลี้ยงตอนที่ตลาดวาย

แต่ในโลกธุรกิจ การมาทีหลังไม่ได้แปลว่าจะแพ้เสมอไป หากรู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น

สิ่งที่ Nikon นำเสนอไม่ใช่แค่กล้องรุ่นใหม่ แต่มันคือรากฐานใหม่ที่เรียกว่า Z mount ด้วยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 55 มิลลิเมตร นี่คือเมาท์ Full-Frame ที่กว้างที่สุดในตลาด

ความกว้างนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือวิสัยทัศน์ทางวิศวกรรมที่เปิดโอกาสให้พวกเขาสร้างเลนส์ในฝันได้ เลนส์ที่รับแสงได้มหาศาล เลนส์ที่สร้างมิติภาพได้น่าทึ่ง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ฟิสิกส์ของสมาร์ทโฟนทำไม่ได้

และจุดเปลี่ยนสำคัญก็มาถึงเมื่อมีการเปิดตัว Z9…

นี่คือกล้องที่ไม่มีชัตเตอร์กลไกอีกต่อไป ทุกอย่างทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์แบบ การถ่ายภาพต่อเนื่อง 120 เฟรมต่อวินาทีแบบ RAW กลายเป็นเรื่องจริง

ช่างภาพกีฬาที่เคยย้ายไปใช้ค่ายคู่แข่ง เริ่มหันกลับมามองแบรนด์สีเหลืองดำอีกครั้ง ในมหกรรมกีฬา Olympics ที่ Tokyo ปี 2021 เลนส์ของ Nikon เริ่มกลับมายึดพื้นที่ขอบสนามได้อีกครั้ง

ส่วนแบ่งตลาด Mirrorless ของพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 25%

ทันใดนั้น กล้อง DSLR ที่เคยดูขลังและเป็นมืออาชีพ กลับดูเทอะทะและล้าสมัย

เสียงชัตเตอร์ที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความโปร กลายเป็นเหมือนเสียงเครื่องยนต์รุ่นเก่าที่กินน้ำมันและทำงานช้า

แต่เรื่องราวการกลับมาครั้งนี้ยังไม่จบแค่นั้น เพราะในปี 2025 Nikon ได้ทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายยิ่งกว่า

ข่าวลือเกี่ยวกับ Z7 III ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ความละเอียดสูง 61 ล้านพิกเซล เริ่มหนาหูขึ้น

นี่คือการประกาศสงครามในตลาดความละเอียดสูง เจาะกลุ่มช่างภาพสาย Commercial และ Studio ที่ต้องการคุณภาพไฟล์ระดับสูงสุด

Dynamic Range และ Color Science อันเป็นเอกลักษณ์ของ Nikon เมื่อผสานกับพลังการประมวลผลยุคใหม่ ทำให้ได้ภาพที่สวยงามจนน่าทึ่ง

แต่สิ่งที่ทำให้คนทั้งโลกต้องอ้าปากค้าง คือการเปิดตัว ZR เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา กล้องที่มาพร้อมความสามารถในการถ่ายวิดีโอระดับ Cinema 6K แบบ RAW

ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่สเปกเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่เบื้องหลังการพัฒนากล้องรุ่นนี้…

มันคือผลผลิตจากการเข้าซื้อกิจการ “RED Cinema” บริษัทกล้องถ่ายหนังระดับตำนาน

RED คือชื่อที่คนทำหนังทุกคนรู้จัก กล้องของพวกเขาถูกใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของ Marvel และหนังดังระดับโลกมากมาย

ตอนที่มีข่าวว่า Nikon เข้าซื้อ RED หลายคนมองว่านี่คือการหนีตายครั้งสุดท้าย บ้างก็คิดว่า Nikon แค่ต้องการสิทธิบัตรเทคโนโลยีเพื่อเอาตัวรอดจากคดีความ

แต่ ZR คือเครื่องพิสูจน์ว่า นี่ไม่ใช่การหนีตาย แต่คือการวางหมากกลยุทธ์ที่แยบยล

การนำเทคโนโลยีระดับ Hollywood มาใส่ในบอดี้ขนาดกะทัดรัด ในราคา 2,199 ดอลลาร์ คือสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด

ราคาที่จับต้องได้นี้ กำลังทำให้กำแพงกั้นระหว่างคนทำหนังอิสระกับอุปกรณ์ระดับโปรพังทลายลง

YouTubers และ Content Creators ที่เคยฝันอยากได้ไฟล์ภาพแบบกล้อง RED แต่เอื้อมไม่ถึง ตอนนี้ความฝันนั้นเป็นจริงแล้ว

ยอดสั่งจองล่วงหน้าที่พุ่งทะลุเพดาน คือเครื่องยืนยันว่ากลยุทธ์นี้ได้ผล…

Nikon ไม่ได้แค่รอดตาย แต่พวกเขากำลังเปลี่ยนตัวเองจากผู้ตาม เป็นผู้นำนวัตกรรม

พวกเขาไม่ได้พยายามเลียนแบบ Sony หรือ Canon แต่พวกเขาสร้างเลนทางเดินของตัวเอง การผสมผสาน DNA ของภาพนิ่งที่แข็งแกร่ง เข้ากับสายเลือดภาพยนตร์ของ RED คือส่วนผสมที่ลงตัว

ในปี 2025 สถานการณ์ของ Nikon เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

การเปิดตัว ZR ไม่ใช่แค่เรื่องของสินค้าใหม่ แต่มันคือสัญลักษณ์ของความสำเร็จในการปรับตัว

นวัตกรรมในยุคนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนแรกที่ทำ แต่ต้องเป็นคนที่ทำได้ฉลาดที่สุด

Nikon เลือกที่จะเฝ้าดูตลาด เรียนรู้ และผสานจุดแข็งของตัวเองเข้ากับสิ่งที่ซื้อมา เพื่อตอบโจทย์สิ่งที่คนทำหนังต้องการจริงๆ

บอดี้ที่เล็กกะทัดรัดทำให้ไม่ต้องแบกกล้องหนักๆ เหมือนในอดีต ไฟล์ภาพที่มีสีสันสวยงามตามแบบฉบับ RED ทำให้ขั้นตอนการทำงานง่ายขึ้น

และพวกเขายังไม่หยุดแค่นั้น ข่าวลือเรื่อง Z9 II สำหรับงาน Olympics ปี 2026 ที่ Los Angeles ยิ่งสร้างความตื่นเต้น

ระบบ Autofocus ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งฉลาดจนเกือบจะอ่านใจช่างภาพได้ กำลังถูกพัฒนาขึ้น

ลองนึกภาพการโฟกัสดวงตานักกีฬาผ่านรั้วกั้น หรือท่ามกลางฝุ่นควันในสนาม โดยที่กล้องไม่หลุดโฟกัสเลยแม้แต่วินาทีเดียว

นี่คือวิวัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่ง…

จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการต่อสู้ของ Nikon

บทเรียนแรกคือ การปรับตัวสำคัญกว่าความดื้อรั้น

Nikon อาจจะเลือกกอดความสำเร็จของ DSLR ไว้จนตัวตาย เหมือนที่ Kodak กอดฟิล์มไว้

แต่พวกเขายอมกลืนเลือดตัวเอง ยอมฆ่าสินค้าเดิมที่เคยทำเงิน เพื่อกระโดดเข้าสู่เทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Mirrorless

บทเรียนที่สองคือ พลังของการหาพันธมิตร

การซื้อกิจการ RED ไม่ใช่แค่การซื้อบริษัท แต่คือการซื้อทางลัดสู่ความเป็นเลิศในด้านที่ตัวเองไม่ถนัด

หาก Nikon พยายามสร้างเทคโนโลยี Cinema ด้วยตัวเอง พวกเขาอาจต้องใช้เวลาอีก 10 ปี ซึ่งอาจจะสายเกินไป

บทเรียนที่สามคือ การรู้จักลูกค้าของตัวเองอย่างถ่องแท้

เมื่อรู้ว่าสู้สมาร์ทโฟนในตลาด Mass ไม่ได้ พวกเขาก็ถอยมาตั้งหลักในตลาด Pro และ Creator

พวกเขาทุ่มเทให้กับสิ่งที่สมาร์ทโฟนให้ไม่ได้ นั่นคือคุณภาพของเลนส์ เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ และการควบคุมที่แม่นยำ

บทเรียนสุดท้ายคือ ในยุค AI ฮาร์ดแวร์ที่ดียิ่งสำคัญ

Computational Photography จะเก่งแค่ไหน ก็ยังต้องการข้อมูลดิบที่มีคุณภาพ การผสาน Optics ระดับตำนานเข้ากับ Machine Learning คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ภาพถ่ายก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ

Nikon พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พวกเขามีความยืดหยุ่นมากพอที่จะล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่

จากบริษัทที่เคยถูกมองว่ากำลังจะหมดลมหายใจ กลายเป็นบริษัทที่ได้รับเสียงปรบมือชื่นชม

นี่ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นเรื่องของกลยุทธ์ที่เฉียบขาดและการตัดสินใจที่กล้าหาญ

อุตสาหกรรมกล้องอาจจะเล็กลงในแง่ของปริมาณ แต่มันกำลังเติบโตในแง่ของมูลค่าและคุณภาพ และ Nikon ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า แม้จะถูกดิสรัปต์อย่างรุนแรงแค่ไหน

ถ้าคุณมีของดีจริง และรู้จักปรับตัว คุณก็สามารถกลับมาเป็นผู้ชนะได้

อุปกรณ์ที่ดี ไม่ใช่แค่อุปกรณ์ที่สเปกแรง แต่มันคืออุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้คนเล่าเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ได้

และวันนี้ Nikon พร้อมแล้วที่จะเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องราวนั้น อีกครั้ง…

References : [dpreview, petapixel, nikonusa, nofilmschool, cnet]
CR https://www.facebook.com/share/p/1Kj3XpR3uS/?mibextid=wwXIfr
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่