Top Gun: Maverick - ไม่ใช่แค่หนังแอ็คชั่น แต่คือความรู้สึกที่ปีกมันยังโบยบิน!


TITLE: Top Gun: Maverick - ไม่ใช่แค่หนังแอ็คชั่น แต่คือความรู้สึกที่ปีกมันยังโบยบิน!

สวัสดีครับเพื่อนสมาชิกชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีโอกาสได้ไปดู Top Gun: Maverick มาครับ บอกตามตรงว่าตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เพราะอายุอานามก็ปาเข้าไปหลายปีแล้วตั้งแต่ภาคแรก แต่พอหนังจบปุ๊บ รู้สึกเหมือนโดนพลังงานบางอย่างอัดใส่หน้าเลยครับ มันพีคมากจริงๆ จนต้องรีบมาตั้งกระทู้แชร์ความรู้สึกให้ฟังกัน

ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นแฟน Top Gun ภาคแรกตัวยงเลยครับ ดูซ้ำไปซ้ำมาจนเทปวีดีโอแทบจะยืด หนังเรื่องนี้มันมีความหมายกับผมมาก ทั้งฉากเครื่องบิน เสียงเพลง "Danger Zone" หรือแม้แต่ท่าโพสของ Tom Cruise ในตำนาน พอได้ยินว่าจะมีการสร้างภาคต่ออีกครั้ง ก็แอบหวั่นๆ ครับ กลัวว่ามันจะออกมาไม่ดี กลัวว่าความทรงจำดีๆ จะถูกทำลาย แต่พอได้เห็นตัวอย่างหนัง ก็เริ่มมีความหวังขึ้นมานิดๆ และพอได้ดูจริงๆ... โอโห! มันเกินกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยครับ

สิ่งที่ประทับใจแรกสุดเลยคือเรื่องของ "ความรู้สึก" ครับ หนังมันพาเรากลับไปสู่บรรยากาศเดิมๆ ของ Top Gun ภาคแรกได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตั้งแต่ฉากเปิดตัวที่คุ้นเคย เสียงเครื่องบินที่คุ้นหู ไปจนถึงการปรากฏตัวของ Maverick ที่ยังคงความเก๋าและความเป็นตัวของตัวเองไว้เต็มเปี่ยม มันทำให้คนที่เป็นแฟนภาคแรกอย่างผมรู้สึกเหมือนได้ย้อนวัยกลับไปอีกครั้ง ได้กลับไปเป็นเด็กหนุ่มที่นั่งตาค้างอยู่หน้าจอทีวีอีกหน

แต่ Top Gun: Maverick ไม่ใช่แค่หนังที่เอาของเก่ามาขายซ้ำนะครับ มันมีความสดใหม่และพัฒนาไปอีกขั้นอย่างแท้จริง สิ่งที่ผมประทับใจมากๆ คือ "ฉากแอ็คชั่น" ครับ อันนี้ต้องขอคารวะทีมงานและนักแสดงทุกคนจริงๆ คือมันสมจริงจนขนลุก! ทุกการบิน ทุกการรบ ทุกการหลบหลีก คือทำออกมาได้แบบสุดยอดมากๆ ไม่มีการใช้ CG แบบเวอร์ๆ จนดูแล้วหลุด แต่ใช้เทคนิคการถ่ายทำจริง ทำให้เราเห็นทุกอย่างผ่านสายตาของนักบินจริงๆ รู้สึกถึงแรง G แรงสั่นสะเทือนของเครื่องบิน มันไม่ใช่แค่ดูหนัง แต่เหมือนเราได้เข้าไปนั่งอยู่ในค็อกพิทกับพวกเขาเลยครับ

โดยเฉพาะฉากการฝึกซ้อมและการภารกิจหลัก คือมันเข้มข้น ลุ้นระทึก จนผมแทบจะนั่งไม่ติดเบาะ ต้องเอาสองมือปิดตาบางฉาก แต่ก็แอบเหลือบมองอยู่ดี เพราะมันหยุดดูไม่ได้จริงๆ ครับ การตัดต่อ การลำดับภาพ ทำได้ดีมาก ทำให้เราติดตามเรื่องราวได้ตลอด ไม่มีช่วงที่น่าเบื่อเลย แม้แต่ฉากที่เครื่องบินไม่ได้บิน ก็ยังมีความเข้มข้นของบทสนทนาและการพัฒนาตัวละครเข้ามาเสริม

พูดถึงตัวละคร "Maverick" หรือ Tom Cruise ในบทบาทนี้ คือต้องบอกว่าเขาคือ "Maverick" ที่แท้จริงครับ แม้อายุจะมากขึ้น แต่ฝีมือการแสดงและเสน่ห์ยังคงจัดจ้านเหมือนเดิม เขาถ่ายทอดความรู้สึกของนักบินผู้มากประสบการณ์ ที่ต้องเผชิญหน้ากับอดีตและความกลัวของตัวเองออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เราเห็นทั้งความมุ่งมั่น ความเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนร่วมทีม และความพยายามที่จะพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง มันเป็นบทบาทที่ทำให้เราอินและเอาใจช่วยเขาไปตลอดทั้งเรื่อง

และที่ขาดไม่ได้เลยคือ "นักบินรุ่นใหม่" ครับ การเข้ามาของตัวละครเหล่านี้ ทำให้หนังมีความสดใหม่และมีสีสันมากขึ้น แต่ละคนก็มีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันไป มีทั้งความเก่ง ความมั่นใจ และความท้าทายที่เราสัมผัสได้ โดยเฉพาะ "Rooster" ลูกชายของ Goose ที่มีความซับซ้อนทางอารมณ์สูง การที่ Maverick ต้องมาสอนและรับมือกับเขา มันสร้างมิติให้กับเรื่องราวได้มาก ทำให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ที่ทั้งรักทั้งห่วงใย แต่ก็มีความบาดหมางบางอย่างที่ต้องได้รับการเยียวยา

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Top Gun: Maverick พิเศษมากๆ คือ "เพลงประกอบ" ครับ เพลง "Danger Zone" ยังคงความคลาสสิกอยู่เสมอ แต่ภาคนี้ก็มีเพลงใหม่ๆ ที่เข้ามาเสริมทัพได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะเพลง "Hold My Hand" ของ Lady Gaga คือเพราะมากจริงๆ มันช่วยเสริมบรรยากาศของเรื่องราว ทำให้เราอินไปกับอารมณ์ของตัวละครได้มากขึ้น เสียงเครื่องบิน เสียงเอฟเฟกต์ต่างๆ คือทำได้ถึงใจจริงๆ ฟังแล้วขนลุก

นอกเหนือจากฉากแอ็คชั่นที่ตื่นตาตื่นใจแล้ว หนังยังสอดแทรก "ประเด็น" ที่น่าสนใจหลายอย่างครับ ทั้งเรื่องของการก้าวข้ามผ่านความกลัว การยอมรับความผิดพลาด การให้อภัย และการส่งต่อประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น มันไม่ใช่แค่หนังที่เน้นความมันส์ แต่ยังมีความลึกซึ้งทางอารมณ์ที่ทำให้เราได้คิดตาม

ผมชอบที่หนังไม่ได้พยายามจะสร้าง "ภาคต่อ" ที่เหมือนเดิมทุกอย่าง แต่เลือกที่จะนำเอาแก่นแท้ของ Top Gun ภาคแรกมาต่อยอด พัฒนา และเล่าเรื่องในมุมมองใหม่ๆ มันมีความเคารพต่อต้นฉบับ แต่ก็กล้าที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา ทำให้คนดูรุ่นเก่าและรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงและชื่นชอบได้

สรุปเลยนะครับ Top Gun: Maverick คือหนังที่ไม่ควรพลาดจริงๆ ครับ สำหรับใครที่เคยรัก Top Gun ภาคแรก บอกเลยว่าคุณจะประทับใจแน่นอน ส่วนใครที่ยังไม่เคยดู ก็ไม่ต้องกังวลครับ หนังเรื่องนี้สามารถดูได้โดยไม่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับภาคแรกมาก่อน เพราะบทสรุปของเรื่องราวมีความสมบูรณ์ในตัวเองอยู่แล้ว

ถ้าถามว่าคะแนนเต็ม 10 ให้เท่าไหร่ ผมให้ 9.5 ครับ หักไปครึ่งคะแนนเพราะว่า... ก็อยากให้มีอะไรให้คิดถึงภาคต่อไปอีกนิดนึงน่ะครับ (หัวเราะ) แต่เอาจริงๆ คือมันดีงามมากๆ แล้วครับ

ใครไปดูมาแล้ว มาเม้าท์กันได้นะครับ อยากรู้ว่าเพื่อนๆ รู้สึกยังไงกันบ้าง หรือใครที่ยังไม่ได้ไปดู รีบไปดูเลยครับ แล้วจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงได้อวยขนาดนี้! รับรองว่าคุ้มค่าตั๋วทุกบาททุกสตางค์แน่นอนครับ

ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของเพื่อนๆ ทุกคนครับ แล้วเจอกันใหม่กระทู้หน้านะครับ!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่