
TITLE: กลับไปสู่ Middle-earth อีกครั้ง! The Fellowship of the Ring (2001) ยังคงตราตรึงไม่เสื่อมคลาย
สวัสดีครับชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมขออนุญาตพาเพื่อนๆ ย้อนเวลากลับไปสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของ Middle-earth อีกครั้ง กับภาพยนตร์ที่ผมเชื่อว่าหลายคนคงยังจำกันได้ดี กับ "The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring" ภาคแรกสุดของตำนานอันยิ่งใหญ่ที่ออกฉายตั้งแต่ปี 2001 โน่นเลยครับ พอได้กลับมาดูอีกครั้ง ก็ต้องบอกเลยว่ามันยังคงความขลัง ความอลังการ และความประทับใจไม่เสื่อมคลายจริงๆ ครับ
สำหรับใครที่ยังไม่เคยสัมผัส หรืออาจจะลืมเลือนไปบ้างแล้ว "The Fellowship of the Ring" เป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์การผจญภัยของคณะพันธมิตร 9 ชีวิต ที่ต้องแบกรับภารกิจอันหนักหน่วงในการทำลายแหวนแห่งอำนาจ เพื่อหยุดยั้งจอมมารเซารอนไม่ให้ครอบครองโลก Middle-earth ครับ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่ดินแดนอันสงบสุขของพวกฮอบบิท ที่ซึ่งแหวนวงนี้ถูกค้นพบโดยบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ และตกทอดมาถึงโฟรโด หลานชายของเขา การเดินทางอันแสนยาวไกลของโฟรโดและผองเพื่อนจึงได้เริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการรวมตัวของเหล่าตัวละครจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ ทั้งมนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ และฮอบบิท ที่ต้องร่วมมือกันฝ่าฟันอุปสรรคอันตรายนานัปการ
สิ่งที่ผมประทับใจมากๆ ในภาคนี้ คือการสร้างโลกของ Middle-earth ขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่งครับ ผู้กำกับปีเตอร์ แจ็คสัน และทีมงานทุกคน ทุ่มเทสรรพกำลังในการเนรมิตโลกแห่งนี้ให้มีชีวิตชีวาจริงๆ ตั้งแต่ภาพทิวทัศน์อันงดงามของ Shire, ความขรึมขลังของ Rivendell, ความมืดมิดและอันตรายของเหมือง Moria ไปจนถึงป่า Lothlórien อันสง่างาม ทุกฉากทุกมุมกล้องคือความพิถีพิถัน รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกนั้นจริงๆ การออกแบบเครื่องแต่งกาย ฉากประกอบ และการใช้เทคนิคพิเศษต่างๆ ในยุคนั้น ถือว่าล้ำหน้ามากๆ และยังคงดูดีมาจนถึงปัจจุบันครับ
การดำเนินเรื่องของภาคนี้ ผมว่ามีความสมดุลที่ดีครับ ไม่ได้เร่งรีบจนเกินไป แต่ก็ไม่ยืดเยื้อจนน่าเบื่อ ทำให้เราได้ค่อยๆ ทำความรู้จักกับตัวละครแต่ละตัว ได้เห็นพัฒนาการของพวกเขา ได้เอาใจช่วยไปกับการเดินทางอันยากลำบาก การสร้างปมเรื่องต่างๆ ที่ค่อยๆ คลี่คลายไปอย่างน่าติดตาม ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
มาถึงเรื่องนักแสดงกันบ้างครับ ผมว่าการคัดเลือกนักแสดงในภาคนี้คือที่สุดจริงๆ ครับ แต่ละคนสวมบทบาทได้อย่างสมจริง จนเราเชื่อว่าพวกเขาคือตัวละครเหล่านั้นจริงๆ เอไลจาห์ วูด ในบทโฟรโด สามารถถ่ายทอดความไร้เดียงสา ความกลัว และภาระอันใหญ่หลวงที่แบกรับไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมครับ ส่วนเอียน แม็คเคลเลน ในบทแกนดัล์ฟ ก็คือแกนดัล์ฟที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ผมเคยจินตนาการไว้ ท่าทาง สายตา น้ำเสียง ทุกอย่างคือความขลังและความรอบรู้ของพ่อมดจริงๆ ครับ
ออร์แลนโด บลูม ในบทเลโกลัส ก็หล่อเท่ ขี้เล่น และมีความสามารถในการต่อสู้ที่น่าทึ่ง ส่วนจอห์น รีส-เดวิส ในบทกิมลี ก็เป็นตัวแทนของคนแคระที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง อารมณ์ขัน และความซื่อสัตย์ วิกโก มอร์เทนเซ่น ในบทอารากอร์น ก็มีเสน่ห์ลึกลับ ดูสง่างาม และมีความเป็นผู้นำสูงมากครับ ส่วนตัวละครอื่นๆ อย่างแซม, เมอร์รี่, ปิ๊ปปิ้น, โบโรเมียร์, กิมลี, เลโกลัส, และแกนดัล์ฟ แต่ละคนก็มีมิติและบทบาทที่สำคัญต่อเรื่องราวไม่แพ้กัน การได้เห็นมิตรภาพและความผูกพันที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างคณะพันธมิตร เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีคุณค่าทางอารมณ์สูงครับ
ฉากที่ประทับใจผมเป็นพิเศษในภาคนี้ก็มีอยู่หลายฉากเลยครับ อย่างฉากแกนดัล์ฟสู้กับบาลร็อคในเหมือง Moria นี่คือที่สุดของความอลังการและลุ้นระทึกมากๆ ครับ หรือฉากการต่อสู้ที่ Amon Hen ที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความเสียสละของโบโรเมียร์ ก็เป็นฉากที่เรียกน้ำตาได้จริงๆ ครับ และแน่นอนว่าฉากจบที่คณะพันธมิตรต้องแยกย้ายกันไป ก็เป็นฉากที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความเศร้า ความหวัง และความมุ่งมั่น
เพลงประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต้องยกนิ้วให้ครับ ฮาวเวิร์ด ชอร์ สามารถสร้างสรรค์บทเพลงที่สื่อถึงอารมณ์ของแต่ละฉาก แต่ละสถานที่ และแต่ละตัวละครได้อย่างลงตัวมากๆ เพลงธีมหลักของ The Fellowship of the Ring คือเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความหวัง การได้ฟังเพลงประกอบเหล่านี้อีกครั้ง ก็ยิ่งช่วยเสริมให้บรรยากาศของ Middle-earth ยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีกครับ
แน่นอนว่าในฐานะภาพยนตร์ที่ออกฉายมานาน ก็อาจจะมีบางแง่มุมที่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว อาจจะเห็นถึงข้อจำกัดของเทคนิคในยุคนั้นบ้าง แต่โดยรวมแล้ว "The Fellowship of the Ring" ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมมากๆ ครับ เป็นการเปิดประตูสู่โลกแฟนตาซีที่ยิ่งใหญ่ และเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับภาพยนตร์แนวแฟนตาซีเลยก็ว่าได้
สำหรับใครที่กำลังมองหาภาพยนตร์ดีๆ สักเรื่องที่จะพาคุณหลีกหนีจากความจำเจในชีวิตประจำวัน ผมขอแนะนำ "The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring" เลยครับ ไม่ว่าจะดูครั้งแรก หรือดูซ้ำอีกกี่ครั้ง ก็รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน มันคือการผจญภัยที่จะทำให้คุณหัวเราะ ร้องไห้ ลุ้นระทึก และประทับใจไปกับมิตรภาพ ความกล้าหาญ และการเสียสละครับ
สุดท้ายนี้ อยากจะชวนเพื่อนๆ ที่เคยดูภาคนี้มาแชร์ความรู้สึก หรือฉากที่ประทับใจกันนะครับ หรือถ้าใครยังไม่เคยดู ก็ลองหามาดูกันนะครับ รับรองว่าคุณจะได้พบกับโลกที่น่าหลงใหล และเรื่องราวที่จะอยู่ในความทรงจำไปอีกนานครับ ขอบคุณที่อ่านนะครับ สวัสดีครับ
กลับไปสู่ Middle-earth อีกครั้ง! The Fellowship of the Ring (2001) ยังคงตราตรึงไม่เสื่อมคลาย
TITLE: กลับไปสู่ Middle-earth อีกครั้ง! The Fellowship of the Ring (2001) ยังคงตราตรึงไม่เสื่อมคลาย
สวัสดีครับชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมขออนุญาตพาเพื่อนๆ ย้อนเวลากลับไปสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของ Middle-earth อีกครั้ง กับภาพยนตร์ที่ผมเชื่อว่าหลายคนคงยังจำกันได้ดี กับ "The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring" ภาคแรกสุดของตำนานอันยิ่งใหญ่ที่ออกฉายตั้งแต่ปี 2001 โน่นเลยครับ พอได้กลับมาดูอีกครั้ง ก็ต้องบอกเลยว่ามันยังคงความขลัง ความอลังการ และความประทับใจไม่เสื่อมคลายจริงๆ ครับ
สำหรับใครที่ยังไม่เคยสัมผัส หรืออาจจะลืมเลือนไปบ้างแล้ว "The Fellowship of the Ring" เป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์การผจญภัยของคณะพันธมิตร 9 ชีวิต ที่ต้องแบกรับภารกิจอันหนักหน่วงในการทำลายแหวนแห่งอำนาจ เพื่อหยุดยั้งจอมมารเซารอนไม่ให้ครอบครองโลก Middle-earth ครับ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่ดินแดนอันสงบสุขของพวกฮอบบิท ที่ซึ่งแหวนวงนี้ถูกค้นพบโดยบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ และตกทอดมาถึงโฟรโด หลานชายของเขา การเดินทางอันแสนยาวไกลของโฟรโดและผองเพื่อนจึงได้เริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการรวมตัวของเหล่าตัวละครจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ ทั้งมนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ และฮอบบิท ที่ต้องร่วมมือกันฝ่าฟันอุปสรรคอันตรายนานัปการ
สิ่งที่ผมประทับใจมากๆ ในภาคนี้ คือการสร้างโลกของ Middle-earth ขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่งครับ ผู้กำกับปีเตอร์ แจ็คสัน และทีมงานทุกคน ทุ่มเทสรรพกำลังในการเนรมิตโลกแห่งนี้ให้มีชีวิตชีวาจริงๆ ตั้งแต่ภาพทิวทัศน์อันงดงามของ Shire, ความขรึมขลังของ Rivendell, ความมืดมิดและอันตรายของเหมือง Moria ไปจนถึงป่า Lothlórien อันสง่างาม ทุกฉากทุกมุมกล้องคือความพิถีพิถัน รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกนั้นจริงๆ การออกแบบเครื่องแต่งกาย ฉากประกอบ และการใช้เทคนิคพิเศษต่างๆ ในยุคนั้น ถือว่าล้ำหน้ามากๆ และยังคงดูดีมาจนถึงปัจจุบันครับ
การดำเนินเรื่องของภาคนี้ ผมว่ามีความสมดุลที่ดีครับ ไม่ได้เร่งรีบจนเกินไป แต่ก็ไม่ยืดเยื้อจนน่าเบื่อ ทำให้เราได้ค่อยๆ ทำความรู้จักกับตัวละครแต่ละตัว ได้เห็นพัฒนาการของพวกเขา ได้เอาใจช่วยไปกับการเดินทางอันยากลำบาก การสร้างปมเรื่องต่างๆ ที่ค่อยๆ คลี่คลายไปอย่างน่าติดตาม ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
มาถึงเรื่องนักแสดงกันบ้างครับ ผมว่าการคัดเลือกนักแสดงในภาคนี้คือที่สุดจริงๆ ครับ แต่ละคนสวมบทบาทได้อย่างสมจริง จนเราเชื่อว่าพวกเขาคือตัวละครเหล่านั้นจริงๆ เอไลจาห์ วูด ในบทโฟรโด สามารถถ่ายทอดความไร้เดียงสา ความกลัว และภาระอันใหญ่หลวงที่แบกรับไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมครับ ส่วนเอียน แม็คเคลเลน ในบทแกนดัล์ฟ ก็คือแกนดัล์ฟที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ผมเคยจินตนาการไว้ ท่าทาง สายตา น้ำเสียง ทุกอย่างคือความขลังและความรอบรู้ของพ่อมดจริงๆ ครับ
ออร์แลนโด บลูม ในบทเลโกลัส ก็หล่อเท่ ขี้เล่น และมีความสามารถในการต่อสู้ที่น่าทึ่ง ส่วนจอห์น รีส-เดวิส ในบทกิมลี ก็เป็นตัวแทนของคนแคระที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง อารมณ์ขัน และความซื่อสัตย์ วิกโก มอร์เทนเซ่น ในบทอารากอร์น ก็มีเสน่ห์ลึกลับ ดูสง่างาม และมีความเป็นผู้นำสูงมากครับ ส่วนตัวละครอื่นๆ อย่างแซม, เมอร์รี่, ปิ๊ปปิ้น, โบโรเมียร์, กิมลี, เลโกลัส, และแกนดัล์ฟ แต่ละคนก็มีมิติและบทบาทที่สำคัญต่อเรื่องราวไม่แพ้กัน การได้เห็นมิตรภาพและความผูกพันที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างคณะพันธมิตร เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีคุณค่าทางอารมณ์สูงครับ
ฉากที่ประทับใจผมเป็นพิเศษในภาคนี้ก็มีอยู่หลายฉากเลยครับ อย่างฉากแกนดัล์ฟสู้กับบาลร็อคในเหมือง Moria นี่คือที่สุดของความอลังการและลุ้นระทึกมากๆ ครับ หรือฉากการต่อสู้ที่ Amon Hen ที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความเสียสละของโบโรเมียร์ ก็เป็นฉากที่เรียกน้ำตาได้จริงๆ ครับ และแน่นอนว่าฉากจบที่คณะพันธมิตรต้องแยกย้ายกันไป ก็เป็นฉากที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความเศร้า ความหวัง และความมุ่งมั่น
เพลงประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต้องยกนิ้วให้ครับ ฮาวเวิร์ด ชอร์ สามารถสร้างสรรค์บทเพลงที่สื่อถึงอารมณ์ของแต่ละฉาก แต่ละสถานที่ และแต่ละตัวละครได้อย่างลงตัวมากๆ เพลงธีมหลักของ The Fellowship of the Ring คือเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความหวัง การได้ฟังเพลงประกอบเหล่านี้อีกครั้ง ก็ยิ่งช่วยเสริมให้บรรยากาศของ Middle-earth ยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีกครับ
แน่นอนว่าในฐานะภาพยนตร์ที่ออกฉายมานาน ก็อาจจะมีบางแง่มุมที่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว อาจจะเห็นถึงข้อจำกัดของเทคนิคในยุคนั้นบ้าง แต่โดยรวมแล้ว "The Fellowship of the Ring" ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมมากๆ ครับ เป็นการเปิดประตูสู่โลกแฟนตาซีที่ยิ่งใหญ่ และเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับภาพยนตร์แนวแฟนตาซีเลยก็ว่าได้
สำหรับใครที่กำลังมองหาภาพยนตร์ดีๆ สักเรื่องที่จะพาคุณหลีกหนีจากความจำเจในชีวิตประจำวัน ผมขอแนะนำ "The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring" เลยครับ ไม่ว่าจะดูครั้งแรก หรือดูซ้ำอีกกี่ครั้ง ก็รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน มันคือการผจญภัยที่จะทำให้คุณหัวเราะ ร้องไห้ ลุ้นระทึก และประทับใจไปกับมิตรภาพ ความกล้าหาญ และการเสียสละครับ
สุดท้ายนี้ อยากจะชวนเพื่อนๆ ที่เคยดูภาคนี้มาแชร์ความรู้สึก หรือฉากที่ประทับใจกันนะครับ หรือถ้าใครยังไม่เคยดู ก็ลองหามาดูกันนะครับ รับรองว่าคุณจะได้พบกับโลกที่น่าหลงใหล และเรื่องราวที่จะอยู่ในความทรงจำไปอีกนานครับ ขอบคุณที่อ่านนะครับ สวัสดีครับ