สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาว Pantip ทุกคน ผมเป็นหมอที่ชอบเดินทางกับแฟนครับ ทริปญี่ปุ่น 18-30 พ.ย. นี้ ตั้งใจมาพักผ่อนเต็มที่ แต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดครับ...
เที่ยวไปได้แค่ 1 สัปดาห์ อาการไข้หวัดก็ลงหนักมาก 🤧 ไข้ขึ้นสูง ปวดหัว น้ำมูกไหลไม่หยุด ไอมีเสมหะ เจ็บคอ ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ยาพื้นฐานที่พกมาก็เอาไม่อยู่ แถมซวยซ้ำซ้อน ล้ม! ได้แผลถลอก เล็บฉีก มีรอยช้ำเพิ่มมาอีก และที่ต้องรีบมาหาหมอคือ เล็บที่ฉีกเริ่มอักเสบติดเชื้อ มีหนองนิด ๆ ขึ้นมาแดงชัดเจนแล้วครับ
ในที่สุดก็ต้องยอมจำนนเดินเข้าโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในชีวิตครับ เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์แบบตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในมุมมองของคนทำงานด้านสุขภาพด้วยกันครับ
1. ก่อนตัดสินใจเข้า รพ. (ประกันคือสิ่งสำคัญ)
ผมทำประกันการเดินทางของ MSIG Easy 1 ทุกครั้งก่อนเดินทางไปต่างประเทศอยู่แล้วครับ พออาการหนักขึ้นก็รีบติดต่อไปฝ่ายเคลมทันที ผ่านทาง LINE และโทรศัพท์คุยกับพนักงานครับ
• คำแนะนำที่ได้รับ: สามารถเข้ารักษาได้ที่โรงพยาบาลและคลินิกทุกแห่งในญี่ปุ่น แต่ต้อง สำรองจ่ายเองไปก่อน ต้องขอใบเสร็จและใบรับรองแพทย์เพื่อนำกลับไปเคลมที่ไทย
• พนักงานแนะนำคลินิกมาให้ แต่ส่วนใหญ่ต้องโทร. นัดหมายเท่านั้น ซึ่งการสื่อสารกับคนญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้น้อยทำให้ผมรู้สึกกังวล เลยลองหาโรงพยาบาลเองครับ
• การเลือก รพ.: ผมพัก Shin-Osaka แต่มีแพลนไป Arashiyama เลยเล็งไปที่ Koseikai Takeda Hospital ใกล้ Kyoto Station ครับ (เลือกจากรีวิวในเน็ตว่าสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี และเดินทางสะดวก)

2. การเดินทาง และขั้นตอนที่โรงพยาบาล
ผมเดินทางไป รพ. ด้วยรถไฟครับ (ไม่มีใบเสร็จค่าโดยสารตรงนี้ เดี๋ยวจะถามเรื่องการเคลมท้ายกระทู้ครับ)
• การเดินทาง: ออกจาก Kyoto Station ทาง Central Exit แล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปสุดทางเดิน ข้ามทางม้าลาย เลี้ยวขวา แล้วเลี้ยวซ้ายเดินต่ออีกนิดก็ถึงโรงพยาบาลครับ มีป้ายชื่อภาษาอังกฤษชัดเจน
• ถึงโรงพยาบาล 10:00 น. (เริ่มภารกิจ 4 ชั่วโมงครึ่ง!)
• ล่ามช่วยชีวิต: ติดต่อที่ Information Center เจ้าหน้าที่จะถามว่าเราพูดภาษาอะไรได้บ้าง และตามล่ามมาช่วยครับ
• แจ้งราคา: ล่ามจะถามอาการคร่าว ๆ ระยะเวลา และรายละเอียดอุบัติเหตุ แล้วแจ้งค่าบริการเบื้องต้น (ค่าปรึกษาแพทย์, ค่าส่งตรวจ, ค่าใบรับรองแพทย์, ค่าใบเสร็จ) ว่าเราโอเคกับราคานี้ไหม ในฐานะหมอเอกชนที่ไทย บอกเลยว่าราคาที่ญี่ปุ่นแพงกว่า 10 เท่า! ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าทุกคนควรทำประกันการเดินทางครับ!
• กรอกเอกสาร: กรอกเอกสาร 3 หน้า (ข้อมูลส่วนตัว, ที่พัก, COVID-19/โรคทางเดินหายใจ) วัดอุณหภูมิ และนั่งรอรับบัตร
• จุดแยกโรค: ผมถูกพามานั่งรอที่จุดแยกโรค มีม่านกั้นแยกออกมาจากโถงนั่งรอปกติ คาดว่าป้องกันโรคติดต่อทางการหายใจครับ
3. ระยะเวลาการตรวจและการวินิจฉัย
• รอคิวตรวจ: ผ่านไป 2 ชั่วโมงครึ่ง... 😩 เที่ยงครึ่งถึงได้เข้าห้องตรวจ!
• ตรวจก่อนเจอหมอ: เข้าห้องไปถึง โดน Swab เลยครับ โดยที่ยังไม่ได้คุยกับหมออายุรกรรม (ตรวจไข้หวัดใหญ่และโควิด)
• ผลตรวจ: รอผลครึ่งชั่วโมง ผลเป็นลบทั้งสองอย่างครับ
• ตรวจกับหมอ:
• ได้ตรวจกับ หมอศัลยกรรมกระดูกและข้อ ก่อนครับ เพื่อดูแผลที่เล็บที่อักเสบ (ได้ยาฆ่าเชื้อ Cephalexin และยาแก้ปวด NSAIDs มาหนึ่งตัว)
• จากนั้นกลับไปรอคิวตรวจกับ หมออายุรกรรม หมอไม่ได้ถามอะไรมาก น่าจะอ่านจากแบบฟอร์มแล้ว แค่อธิบายเพิ่มเติมอาการหวัดนิดหน่อย
• เสร็จสิ้น: ตรวจเสร็จบ่ายโมงครึ่ง
4. ค่าใช้จ่ายและข้อถกเถียงเรื่องการจ่ายยา (ในฐานะหมอไทย...งงมาก)
• รอจ่ายเงิน: รออีก 15 นาที การเงินเรียกให้ตรวจสอบความถูกต้องของใบรับรองแพทย์ และรอชำระเงิน
• ระยะเวลารวม: ประมาณ 4 ชั่วโมงครับ ซึ่งถือว่านานกว่าโรงพยาบาลเอกชนที่ไทยมาก (ที่ไทยน่าจะเสร็จภายใน 1 ชั่วโมง)
• ยอดชำระเงิน: รวมทั้งสิ้น ¥88,940 ครับ!
💥 จุดที่ผมรู้สึก "ไม่เข้าใจ" ในฐานะคนให้การรักษาที่ไทย:
• การจ่ายยาที่จำกัดมาก: หมออายุรกรรมจ่ายยาเม็ดแก้ไอมาให้เท่านั้น!
• สิ่งที่ผมขอแล้วไม่ได้:
• ยาลดน้ำมูก (หมอบอกว่ากินแล้วจะปวดหัว เลยไม่ให้)
• ยาแก้เจ็บคอ
• ยาแก้ปวด/คลายกล้ามเนื้อ (สำหรับรอยช้ำ/ปวดเมื่อย)
• แม้กระทั่ง Paracetamol (ยาพื้นฐานสามัญประจำบ้าน) ก็ไม่ให้ครับ!
• ความเห็นส่วนตัว: ผมคิดว่าเป็น นโยบายของโรงพยาบาลญี่ปุ่นที่จำกัดการจ่ายยาอย่างเข้มงวด ครับ แต่ผมไม่เข้าใจว่าในเมื่อเราใช้ประกันการเดินทาง และต้องสำรองจ่ายเงินเอง ทำไมถึงต้องจำกัดยาขนาดนี้? ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจนต้องซื้อยาฆ่าเชื้อ ผมคงไม่เข้าโรงพยาบาลที่ต่างประเทศอีกแล้วครับ เสียเวลามาก แถมยังได้ยามาไม่ครบตามอาการอีกด้วย (ถ้าที่ไทยผมรักษาสิทธิ์ให้ผู้ป่วยด้วยการจ่ายยาที่เหมาะสมแน่นอนครับ)
5. สรุปและคำถามถึงเพื่อนนักเคลม
✅ สรุป:
• ทำประกันการเดินทางทุกครั้ง! (ค่ารักษาแพงมาก)
• เตรียมยาพื้นฐานมาให้ครบที่สุด!
• เตรียมใจเรื่องเวลาและยาที่จำกัด หากต้องเข้าโรงพยาบาล
ผมเก็บเอกสารทั้งหมดไว้ครบถ้วน (ใบรับรองแพทย์, ใบเสร็จรับเงิน) รอกลับไปเคลมที่ไทย แต่ไม่เคยเคลมประกันการเดินทางเลยครับ
🙏 คำถามถึงเพื่อน ๆ ที่มีประสบการณ์เคลมประกันการเดินทาง (MSIG หรือเจ้าอื่น ๆ):
• เอกสารครบแบบนี้ ใช้เวลานานไหมครับกว่าจะได้เงินคืน?
• ผมเดินทางไปโรงพยาบาลด้วยรถไฟ ไม่มีใบเสร็จค่าโดยสาร เราสามารถขอเคลมค่าเดินทางได้ไหมครับ? ต้องใช้หลักฐานอะไรแทน (เช่น บันทึกการเดินทางใน App)?
ใครมีประสบการณ์มาแชร์ หรือมีความเห็นเรื่องนโยบายการจ่ายยาของญี่ปุ่นบ้าง เข้ามาพูดคุยกันได้เลยนะครับ ขอบคุณครับ!
#ญี่ปุ่น #เที่ยวญี่ปุ่น #รีวิวญี่ปุ่น #ประกันการเดินทาง #KoseikaiTakedaHospital
[CR] แชร์ประสบการณ์เข้าโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นครั้งแรก! (ในฐานะหมอไทยที่ล้มป่วย) ค่ารักษาเฉียด 2 หมื่นบาท! 💸 (ยาที่ได้มาทำผมงง)
เที่ยวไปได้แค่ 1 สัปดาห์ อาการไข้หวัดก็ลงหนักมาก 🤧 ไข้ขึ้นสูง ปวดหัว น้ำมูกไหลไม่หยุด ไอมีเสมหะ เจ็บคอ ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ยาพื้นฐานที่พกมาก็เอาไม่อยู่ แถมซวยซ้ำซ้อน ล้ม! ได้แผลถลอก เล็บฉีก มีรอยช้ำเพิ่มมาอีก และที่ต้องรีบมาหาหมอคือ เล็บที่ฉีกเริ่มอักเสบติดเชื้อ มีหนองนิด ๆ ขึ้นมาแดงชัดเจนแล้วครับ
ในที่สุดก็ต้องยอมจำนนเดินเข้าโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในชีวิตครับ เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์แบบตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในมุมมองของคนทำงานด้านสุขภาพด้วยกันครับ
1. ก่อนตัดสินใจเข้า รพ. (ประกันคือสิ่งสำคัญ)
ผมทำประกันการเดินทางของ MSIG Easy 1 ทุกครั้งก่อนเดินทางไปต่างประเทศอยู่แล้วครับ พออาการหนักขึ้นก็รีบติดต่อไปฝ่ายเคลมทันที ผ่านทาง LINE และโทรศัพท์คุยกับพนักงานครับ
• คำแนะนำที่ได้รับ: สามารถเข้ารักษาได้ที่โรงพยาบาลและคลินิกทุกแห่งในญี่ปุ่น แต่ต้อง สำรองจ่ายเองไปก่อน ต้องขอใบเสร็จและใบรับรองแพทย์เพื่อนำกลับไปเคลมที่ไทย
• พนักงานแนะนำคลินิกมาให้ แต่ส่วนใหญ่ต้องโทร. นัดหมายเท่านั้น ซึ่งการสื่อสารกับคนญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้น้อยทำให้ผมรู้สึกกังวล เลยลองหาโรงพยาบาลเองครับ
• การเลือก รพ.: ผมพัก Shin-Osaka แต่มีแพลนไป Arashiyama เลยเล็งไปที่ Koseikai Takeda Hospital ใกล้ Kyoto Station ครับ (เลือกจากรีวิวในเน็ตว่าสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี และเดินทางสะดวก)
2. การเดินทาง และขั้นตอนที่โรงพยาบาล
ผมเดินทางไป รพ. ด้วยรถไฟครับ (ไม่มีใบเสร็จค่าโดยสารตรงนี้ เดี๋ยวจะถามเรื่องการเคลมท้ายกระทู้ครับ)
• การเดินทาง: ออกจาก Kyoto Station ทาง Central Exit แล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปสุดทางเดิน ข้ามทางม้าลาย เลี้ยวขวา แล้วเลี้ยวซ้ายเดินต่ออีกนิดก็ถึงโรงพยาบาลครับ มีป้ายชื่อภาษาอังกฤษชัดเจน
• ถึงโรงพยาบาล 10:00 น. (เริ่มภารกิจ 4 ชั่วโมงครึ่ง!)
• ล่ามช่วยชีวิต: ติดต่อที่ Information Center เจ้าหน้าที่จะถามว่าเราพูดภาษาอะไรได้บ้าง และตามล่ามมาช่วยครับ
• แจ้งราคา: ล่ามจะถามอาการคร่าว ๆ ระยะเวลา และรายละเอียดอุบัติเหตุ แล้วแจ้งค่าบริการเบื้องต้น (ค่าปรึกษาแพทย์, ค่าส่งตรวจ, ค่าใบรับรองแพทย์, ค่าใบเสร็จ) ว่าเราโอเคกับราคานี้ไหม ในฐานะหมอเอกชนที่ไทย บอกเลยว่าราคาที่ญี่ปุ่นแพงกว่า 10 เท่า! ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าทุกคนควรทำประกันการเดินทางครับ!
• กรอกเอกสาร: กรอกเอกสาร 3 หน้า (ข้อมูลส่วนตัว, ที่พัก, COVID-19/โรคทางเดินหายใจ) วัดอุณหภูมิ และนั่งรอรับบัตร
• จุดแยกโรค: ผมถูกพามานั่งรอที่จุดแยกโรค มีม่านกั้นแยกออกมาจากโถงนั่งรอปกติ คาดว่าป้องกันโรคติดต่อทางการหายใจครับ
3. ระยะเวลาการตรวจและการวินิจฉัย
• รอคิวตรวจ: ผ่านไป 2 ชั่วโมงครึ่ง... 😩 เที่ยงครึ่งถึงได้เข้าห้องตรวจ!
• ตรวจก่อนเจอหมอ: เข้าห้องไปถึง โดน Swab เลยครับ โดยที่ยังไม่ได้คุยกับหมออายุรกรรม (ตรวจไข้หวัดใหญ่และโควิด)
• ผลตรวจ: รอผลครึ่งชั่วโมง ผลเป็นลบทั้งสองอย่างครับ
• ตรวจกับหมอ:
• ได้ตรวจกับ หมอศัลยกรรมกระดูกและข้อ ก่อนครับ เพื่อดูแผลที่เล็บที่อักเสบ (ได้ยาฆ่าเชื้อ Cephalexin และยาแก้ปวด NSAIDs มาหนึ่งตัว)
• จากนั้นกลับไปรอคิวตรวจกับ หมออายุรกรรม หมอไม่ได้ถามอะไรมาก น่าจะอ่านจากแบบฟอร์มแล้ว แค่อธิบายเพิ่มเติมอาการหวัดนิดหน่อย
• เสร็จสิ้น: ตรวจเสร็จบ่ายโมงครึ่ง
4. ค่าใช้จ่ายและข้อถกเถียงเรื่องการจ่ายยา (ในฐานะหมอไทย...งงมาก)
• รอจ่ายเงิน: รออีก 15 นาที การเงินเรียกให้ตรวจสอบความถูกต้องของใบรับรองแพทย์ และรอชำระเงิน
• ระยะเวลารวม: ประมาณ 4 ชั่วโมงครับ ซึ่งถือว่านานกว่าโรงพยาบาลเอกชนที่ไทยมาก (ที่ไทยน่าจะเสร็จภายใน 1 ชั่วโมง)
• ยอดชำระเงิน: รวมทั้งสิ้น ¥88,940 ครับ!
💥 จุดที่ผมรู้สึก "ไม่เข้าใจ" ในฐานะคนให้การรักษาที่ไทย:
• การจ่ายยาที่จำกัดมาก: หมออายุรกรรมจ่ายยาเม็ดแก้ไอมาให้เท่านั้น!
• สิ่งที่ผมขอแล้วไม่ได้:
• ยาลดน้ำมูก (หมอบอกว่ากินแล้วจะปวดหัว เลยไม่ให้)
• ยาแก้เจ็บคอ
• ยาแก้ปวด/คลายกล้ามเนื้อ (สำหรับรอยช้ำ/ปวดเมื่อย)
• แม้กระทั่ง Paracetamol (ยาพื้นฐานสามัญประจำบ้าน) ก็ไม่ให้ครับ!
• ความเห็นส่วนตัว: ผมคิดว่าเป็น นโยบายของโรงพยาบาลญี่ปุ่นที่จำกัดการจ่ายยาอย่างเข้มงวด ครับ แต่ผมไม่เข้าใจว่าในเมื่อเราใช้ประกันการเดินทาง และต้องสำรองจ่ายเงินเอง ทำไมถึงต้องจำกัดยาขนาดนี้? ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจนต้องซื้อยาฆ่าเชื้อ ผมคงไม่เข้าโรงพยาบาลที่ต่างประเทศอีกแล้วครับ เสียเวลามาก แถมยังได้ยามาไม่ครบตามอาการอีกด้วย (ถ้าที่ไทยผมรักษาสิทธิ์ให้ผู้ป่วยด้วยการจ่ายยาที่เหมาะสมแน่นอนครับ)
5. สรุปและคำถามถึงเพื่อนนักเคลม
✅ สรุป:
• ทำประกันการเดินทางทุกครั้ง! (ค่ารักษาแพงมาก)
• เตรียมยาพื้นฐานมาให้ครบที่สุด!
• เตรียมใจเรื่องเวลาและยาที่จำกัด หากต้องเข้าโรงพยาบาล
ผมเก็บเอกสารทั้งหมดไว้ครบถ้วน (ใบรับรองแพทย์, ใบเสร็จรับเงิน) รอกลับไปเคลมที่ไทย แต่ไม่เคยเคลมประกันการเดินทางเลยครับ
🙏 คำถามถึงเพื่อน ๆ ที่มีประสบการณ์เคลมประกันการเดินทาง (MSIG หรือเจ้าอื่น ๆ):
• เอกสารครบแบบนี้ ใช้เวลานานไหมครับกว่าจะได้เงินคืน?
• ผมเดินทางไปโรงพยาบาลด้วยรถไฟ ไม่มีใบเสร็จค่าโดยสาร เราสามารถขอเคลมค่าเดินทางได้ไหมครับ? ต้องใช้หลักฐานอะไรแทน (เช่น บันทึกการเดินทางใน App)?
ใครมีประสบการณ์มาแชร์ หรือมีความเห็นเรื่องนโยบายการจ่ายยาของญี่ปุ่นบ้าง เข้ามาพูดคุยกันได้เลยนะครับ ขอบคุณครับ!
#ญี่ปุ่น #เที่ยวญี่ปุ่น #รีวิวญี่ปุ่น #ประกันการเดินทาง #KoseikaiTakedaHospital
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น