ใครจำ นิเชา (N!xau) ตำนาน “เทวดาท่าจะบ๊องส์” ได้บ้าง ; กับเรื่องจริงที่สะท้อนโลกสองใบ

จากเพจ เจาะเวลาหาอดีต

นิเชา (N!xau) ตำนาน “เทวดาท่าจะบ๊องส์” กับเรื่องจริงที่สะท้อนโลกสองใบ

จากชายผู้ไม่เคยดูหนังสักเรื่อง สู่ไอคอนภาพยนตร์ที่คนทั้งโลกจดจำ (1980–2003)

ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ยุคที่ฮอลลีวูดกำลังเรืองรองด้วย The Empire Strikes Back (1980), The Shining (1980) และ Fame (1980) มีภาพยนตร์เล็ก ๆ จากแอฟริกาที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะไปไกลได้ขนาดนั้น The Gods Must Be Crazy เข้าฉายในปี ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) และใช้เวลาเพียงไม่นานในการก้าวขึ้นเป็นภาพยนตร์ระดับตำนานของโลก ทั้งที่ไม่มีนักแสดงดัง ไม่มีเทคนิคพิเศษ และใช้งบประมาณเพียงเล็กน้อย
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จมหาศาล คือ “ความจริงใจ” ของชายชาวบุชแมนผู้ไม่เคยเป็นนักแสดงมาก่อน นิเชา (N!xau Toma)

► จุดเริ่มต้น: ชายจากทะเลทรายคาลาฮารี
นิเชาเกิดราวปี ค.ศ. 1944 (พ.ศ. 2487) ในชุมชนของกลุ่มชนซาน (San people) แถบชายแดน นามิเบีย–บอตสวานา เขาเติบโตในชนบทห่างไกล ปราศจากไฟฟ้า โทรทัศน์ หรือเงินตรา เขาพูดได้หลายภาษาในกลุ่มชนพื้นเมือง เช่น Juǀʼhoan, Herero, Tswana รวมถึงภาษาแอฟริคานส์เล็กน้อย
ในวัยเด็ก เขาแทบไม่เคยพบคนผิวขาว และไม่รู้จักแนวคิดสมัยใหม่อย่าง “เงิน” หรือ “สัญญา” มาก่อนเลย

► การค้นพบโดยบังเอิญของผู้กำกับ Jamie Uys
ผู้กำกับชาวแอฟริกาใต้ เจมี อุยส์ (Jamie Uys) ได้พบเขาขณะค้นหานักแสดงที่มีบุคลิกบริสุทธิ์และเป็นธรรมชาติ จึงชวนเขามาแสดงภาพยนตร์ The Gods Must Be Crazy โดยภาพยนตร์เริ่มถ่ายทำปลายทศวรรษ 1970 และฉายในปี 1980
นิเชาได้รับค่าตัวเพียง 300 ดอลลาร์สหรัฐ เงินจำนวนนี้มากเกินกว่าที่เขาเคยพบ แต่เขาไม่เข้าใจค่าของมัน จนถึงขั้นปล่อยให้ธนบัตรปลิวหายไปกับสายลม
เขานอนพื้นแทนเตียงในโรงแรม และมักหายกลับบ้านเพราะ “เมืองใหญ่เสียงดังเกินไป”

► ความสำเร็จระดับโลก (1980–1982)
เมื่อภาพยนตร์ออกฉาย มันกลายเป็นปรากฏการณ์
งบสร้างประมาณ 5 ล้านดอลลาร์
รายได้ทั่วโลกกว่า 200 ล้านดอลลาร์
เข้าฉายในบางโรงยาวนานเกือบ 2 ปี
กลายเป็นหนังต่างประเทศที่ทำรายได้สูงที่สุดเรื่องหนึ่งในสหรัฐขณะนั้น
ผู้ชมทั่วโลกหลงรักนิเชา
ไม่ใช่เพราะการ “แสดง” แต่เพราะเขา “เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง”

► ภาคต่อและค่าตัวที่เป็นธรรมขึ้น (1989)
ปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) นิเชากลับมารับบทเดิมใน The Gods Must Be Crazy II โดยได้รับค่าตัวประมาณ 80,000 ดอลลาร์
แม้ตัวเลขจะยังต่ำมากสำหรับหนังที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็เพียงพอให้นิเชา
สร้างบ้านใหม่ให้ครอบครัว
ต่อไฟฟ้าและน้ำประปา
ซื้อรถและ “จ้างคนขับ” เพราะเขาไม่จำเป็นต้องเรียนขับเอง

► งานในต่างประเทศและความโด่งดังในเอเชีย (1991–1994)
หลังประสบความสำเร็จ นิเชาร่วมแสดงในภาพยนตร์ร่วมทุนหลายประเทศ เช่น
Crazy Safari (1991) ถ่ายทำร่วมกับฮ่องกง
Crazy Hong Kong (1993)
The Gods Must Be Funny in China (1994)
รวมถึงงานโฆษณาในประเทศไทยกับวลีอมตะ “ห้าห่วง ทนหายห่วง”
ซึ่งทำให้คนไทยยุคนั้นจดจำเขาได้ดี

► บั้นปลายชีวิต: กลับสู่คาลาฮารี (ปลายทศวรรษ 1990)
เมื่อความโด่งดังเริ่มจางหาย นิเชาก็หันหลังให้วงการบันเทิงและกลับไปใช้ชีวิตแบบดั้งเดิม
เขาทำไร่ เลี้ยงวัว ปลูกข้าวโพด ฟักทอง และใช้ชีวิตเงียบสงบตามแบบซานที่เขารัก
เขายังคงเป็นชายผู้เรียบง่าย ไม่ยึดติดชื่อเสียง และไม่เคยเรียกร้องสิทธิที่ตนควรได้รับจากความสำเร็จของภาพยนตร์

► การจากไป (5 กรกฎาคม 2003)
นิเชาเสียชีวิตวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) อายุประมาณ 59 ปี
เขาถูกพบในพื้นที่ห่างไกลระหว่างออกไปเก็บฟืน คาดว่าจาก วัณโรคดื้อยา ซึ่งเป็นโรคที่พบทั่วไปในภูมิภาคนั้น
พิธีศพจัดที่เมือง Tsumkwe, Namibia ข้างหลุมศพภรรยาคนที่สอง
ไม่มีสื่อ ไม่มีแฟลช มีเพียงชุมชนเล็ก ๆ ที่ร่วมส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย

เขาเคยทำให้คนทั้งโลกหัวเราะ
แต่บทเรียนที่เขาทิ้งไว้กลับลึกซึ้งยิ่งกว่าเสียงหัวเราะ
ทุกวัฒนธรรมควรได้รับความเคารพ ไม่ใช่แค่ความสนใจ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่