สวัสดีค่ะทุกคน…
เราเป็นหัวหน้าทีมที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นหัวหน้า หรือเป็นแม่บ้าน หรือนักกู้ภัย
เพราะต้องคอย “เก็บสภาพจิตใจลูกทีม” มากกว่าสั่งงานอีก
บริษัทเราเพิ่งรับพนักงานใหม่มาคนหนึ่ง
เด็กตั้งใจ ทำงานดี แต่…ดันมาเจอช่วงที่บริษัทเจอปัญหาทุกด้าน
ลูกค้าโทรจี้ งานค้าง ปีงบประมาณไม่ลงตัว
จนเรานี่อยากย้ายไปอยู่ดาวอังคารมากกว่าอยู่บนโลก
วันหนึ่งเราสังเกตว่าเด็กใหม่ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้
ก้มคอจนเหมือนโดนแรงโน้มถ่วงของโลกบีบไว้
เราถามว่าเป็นอะไร
เขาพูดเบามากว่า
“พี่ หนูทำงานไม่ทันเลยค่ะ หนูพยายามแล้ว แต่ปวดคอ ปวดหลังจนคิดงานไม่ออกเลย หนูกลัวว่าจะทำให้ทีมช้า”
ตอนนั้นเรานิ่งไปเลย
เพราะเห็นตัวเองในอดีตชัดมาก
สมัยเข้ามาทำงานใหม่ ๆ เราก็ร้องจนห้องน้ำรับไม่ไหวเหมือนกัน
เราบอกเขาว่า
“พักนะ ถ้าฝืนตอนนี้ ไม่รอดทั้งงานทั้งคนหรอก พี่รู้ดี เพราะพี่เคยฝืนจนเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว”
เขานิ่งไป แล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ เหมือนจะร้องอีก
เราเลยพูดติดตลกว่า
“ถ้าไม่ไหวจริง ๆ นะ เดี๋ยวพี่พาไปยืดหลังที่คลินิกข้างตึก พี่ไปจนหมอจำหน้าได้แล้ว”
จริง ๆ เราก็ไม่ได้ตั้งใจอะไรหรอก
มันเป็นเรื่องที่พนักงานออฟฟิศทำกันปกติ
เวลาไหล่ค้าง หลังตึง เราก็หาสถานที่ตรวจเช็ก
ไม่ต่างอะไรจากการแวะซื้อกาแฟก่อนเข้าประชุม
เขาหายไปสักพักแล้วกลับมาเดินตรงขึ้นเห็นได้ชัด
บอกว่า “หมอจับตรงจุดมากค่ะพี่ หนูเพิ่งรู้ว่าหลังตัวเองตึงขนาดนี้… หนูโง่มากเลยที่ปล่อยไว้นาน”
เราเลยบอกเขาว่า
“ไม่ใช่โง่หรอก มันคือชีวิตออฟฟิศ เราทุกคนน่ะแหละ ชอบทนไปเรื่อย ๆ จนร่างพัง แล้วค่อยรู้ว่าควรดูแลตัวเองตั้งแต่แรก”
จากวันนั้น เขาดูดีขึ้นหน่อย
แต่พอเข้าช่วงเดดไลน์จริง ๆ ก็หนักขึ้นอีก
เรานั่งทำงานถึงสามทุ่มจนหลังแข็งเป็นไม้กระดาน
เขาเดินมาหาเราพร้อมถือถ้วยน้ำร้อน ๆ
บอกว่า
“พี่คะ…คอพี่ตึงมากใช่ไหมคะ หนูเห็นพี่เอามือกดมาตั้งแต่ห้าโมงแล้วนะ”
เรานี่อึ้งเพราะคิดว่าเราเก็บอาการดี
แต่ไม่…รอดสายตาเด็กใหม่ไม่ได้เลย
ตอนนั้นเราหัวเราะออกมาแล้วบอกว่า
“พี่พ่นสเปรย์จนกลิ่นติดเสื้อแล้วมั้งวันนี้”
เขาก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน
มันเป็นช่วงสั้น ๆ แต่ทำให้เรารู้ว่าทีมนี้…ยังไหวอยู่
คืนวันนั้น เราสองคนทำงานจนเสร็จ
เดินออกจากออฟฟิศด้วยสภาพหลังค่อมทั้งคู่
แต่เราหันไปบอกเขาว่า
“ถ้าพรุ่งนี้ยังปวดอยู่ บอกพี่นะ เดี๋ยวพาไปตรวจใหม่ อย่าฝืนเด็ดขาด”
เขายิ้มบาง ๆ แล้วตอบว่า
“ค่ะพี่… หนูรู้แล้วว่าร่างกายเป็นของสำคัญที่สุด ไม่งั้นทำงานไม่รอดจริง ๆ”
ตอนนั้นเราเหมือนเห็นแวว “โต” ในสายตาเขา
จากพนักงานใหม่ที่กลัวทุกอย่าง
กลายเป็นคนที่รู้จักดูแลตัวเอง และไม่กลัวที่จะบอกว่า “ไม่ไหวแล้ว”
ทุกวันนี้ทีมเรายังยุ่งเหมือนเดิม เดดไลน์ยังวิ่งไล่ทุกวัน
แต่เรารู้สึกว่าบรรยากาศดีขึ้นมาก
เพราะเรายอมรับแล้วว่า
“คน” ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อทน…แต่เพื่อทำงานให้ไหวโดยไม่ต้องเจ็บ
และบางที…การบอกให้ลูกน้องพัก
สำคัญกว่าการบอกให้รีบทำงานเสียอีก
“หัวหน้าที่อยากลาออกทุกวัน vs พนักงานใหม่ที่เกือบร้องไห้กลางออฟฟิศ”
เราเป็นหัวหน้าทีมที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นหัวหน้า หรือเป็นแม่บ้าน หรือนักกู้ภัย
เพราะต้องคอย “เก็บสภาพจิตใจลูกทีม” มากกว่าสั่งงานอีก
บริษัทเราเพิ่งรับพนักงานใหม่มาคนหนึ่ง
เด็กตั้งใจ ทำงานดี แต่…ดันมาเจอช่วงที่บริษัทเจอปัญหาทุกด้าน
ลูกค้าโทรจี้ งานค้าง ปีงบประมาณไม่ลงตัว
จนเรานี่อยากย้ายไปอยู่ดาวอังคารมากกว่าอยู่บนโลก
วันหนึ่งเราสังเกตว่าเด็กใหม่ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้
ก้มคอจนเหมือนโดนแรงโน้มถ่วงของโลกบีบไว้
เราถามว่าเป็นอะไร
เขาพูดเบามากว่า
“พี่ หนูทำงานไม่ทันเลยค่ะ หนูพยายามแล้ว แต่ปวดคอ ปวดหลังจนคิดงานไม่ออกเลย หนูกลัวว่าจะทำให้ทีมช้า”
ตอนนั้นเรานิ่งไปเลย
เพราะเห็นตัวเองในอดีตชัดมาก
สมัยเข้ามาทำงานใหม่ ๆ เราก็ร้องจนห้องน้ำรับไม่ไหวเหมือนกัน
เราบอกเขาว่า
“พักนะ ถ้าฝืนตอนนี้ ไม่รอดทั้งงานทั้งคนหรอก พี่รู้ดี เพราะพี่เคยฝืนจนเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว”
เขานิ่งไป แล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ เหมือนจะร้องอีก
เราเลยพูดติดตลกว่า
“ถ้าไม่ไหวจริง ๆ นะ เดี๋ยวพี่พาไปยืดหลังที่คลินิกข้างตึก พี่ไปจนหมอจำหน้าได้แล้ว”
จริง ๆ เราก็ไม่ได้ตั้งใจอะไรหรอก
มันเป็นเรื่องที่พนักงานออฟฟิศทำกันปกติ
เวลาไหล่ค้าง หลังตึง เราก็หาสถานที่ตรวจเช็ก
ไม่ต่างอะไรจากการแวะซื้อกาแฟก่อนเข้าประชุม
เขาหายไปสักพักแล้วกลับมาเดินตรงขึ้นเห็นได้ชัด
บอกว่า “หมอจับตรงจุดมากค่ะพี่ หนูเพิ่งรู้ว่าหลังตัวเองตึงขนาดนี้… หนูโง่มากเลยที่ปล่อยไว้นาน”
เราเลยบอกเขาว่า
“ไม่ใช่โง่หรอก มันคือชีวิตออฟฟิศ เราทุกคนน่ะแหละ ชอบทนไปเรื่อย ๆ จนร่างพัง แล้วค่อยรู้ว่าควรดูแลตัวเองตั้งแต่แรก”
จากวันนั้น เขาดูดีขึ้นหน่อย
แต่พอเข้าช่วงเดดไลน์จริง ๆ ก็หนักขึ้นอีก
เรานั่งทำงานถึงสามทุ่มจนหลังแข็งเป็นไม้กระดาน
เขาเดินมาหาเราพร้อมถือถ้วยน้ำร้อน ๆ
บอกว่า
“พี่คะ…คอพี่ตึงมากใช่ไหมคะ หนูเห็นพี่เอามือกดมาตั้งแต่ห้าโมงแล้วนะ”
เรานี่อึ้งเพราะคิดว่าเราเก็บอาการดี
แต่ไม่…รอดสายตาเด็กใหม่ไม่ได้เลย
ตอนนั้นเราหัวเราะออกมาแล้วบอกว่า
“พี่พ่นสเปรย์จนกลิ่นติดเสื้อแล้วมั้งวันนี้”
เขาก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน
มันเป็นช่วงสั้น ๆ แต่ทำให้เรารู้ว่าทีมนี้…ยังไหวอยู่
คืนวันนั้น เราสองคนทำงานจนเสร็จ
เดินออกจากออฟฟิศด้วยสภาพหลังค่อมทั้งคู่
แต่เราหันไปบอกเขาว่า
“ถ้าพรุ่งนี้ยังปวดอยู่ บอกพี่นะ เดี๋ยวพาไปตรวจใหม่ อย่าฝืนเด็ดขาด”
เขายิ้มบาง ๆ แล้วตอบว่า
“ค่ะพี่… หนูรู้แล้วว่าร่างกายเป็นของสำคัญที่สุด ไม่งั้นทำงานไม่รอดจริง ๆ”
ตอนนั้นเราเหมือนเห็นแวว “โต” ในสายตาเขา
จากพนักงานใหม่ที่กลัวทุกอย่าง
กลายเป็นคนที่รู้จักดูแลตัวเอง และไม่กลัวที่จะบอกว่า “ไม่ไหวแล้ว”
ทุกวันนี้ทีมเรายังยุ่งเหมือนเดิม เดดไลน์ยังวิ่งไล่ทุกวัน
แต่เรารู้สึกว่าบรรยากาศดีขึ้นมาก
เพราะเรายอมรับแล้วว่า
“คน” ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อทน…แต่เพื่อทำงานให้ไหวโดยไม่ต้องเจ็บ
และบางที…การบอกให้ลูกน้องพัก
สำคัญกว่าการบอกให้รีบทำงานเสียอีก