มันอาจจะยาวหน่อยนะ ฉันอยากบันทึกความรู้สึกนี้เก็บไว้
ช่วงที่ฉันเริ่มเรียนรู้เรื่องผิวของตัวเองใหม่
มันไม่ใช่แค่การตั้งคำถามกับผิวหรอก
แต่มันลากฉันไปไกลถึงเรื่อง “สูตร” “สาร”
และสิ่งที่ผิวต้องการจริง ๆ
หลายคนคิดว่าการทำสกินแคร์คือไปที่โรงงาน
เลือกสูตรที่เขามี แล้วเปลี่ยนกลิ่น เปลี่ยนแพ็กเกจ
แต่สำหรับฉัน…มันไกลกว่านั้นมาก
ตั้งแต่วันที่ฉันตัดสินใจทำ Arvée
ฉันกำหนดกับตัวเองไว้เลยว่า
ถ้าจะทำสกินแคร์หนึ่งชิ้น มันต้อง ตอบโจทย์จริง ๆ
ไม่ใช่แค่ “ผลิตได้” แต่ต้อง “ดีจริง”
และตรงนี้แหละ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาที่เหนื่อยที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตฉัน
ความจริงคือ…กว่าจะได้มาซึ่งสูตรหนึ่งสูตร มันไม่ง่ายเลย
ฉันใช้เวลาเป็นเดือน ๆ ในการค้นคว้า
เปิดงานวิจัย
ทบทวน active แต่ละตัว
ดูว่ามันเข้ากันได้ไหม
ต้องใช้เปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ถึงจะเห็นผล
จะเสถียรที่ pH ไหน
มี conflict กับตัวไหนบ้าง
texture หลังผสมจะออกมาเป็นยังไง
ต้องมีตัวประคองอะไรบ้าง
และที่สำคัญที่สุดคือ
ผิวแบบไหนที่จะรับสูตรนี้ได้ดีที่สุด
บางวันฉันอ่านข้อมูลจนตาแสบ
บางวันต้องนั่งไล่ไทม์ไลน์ส่วนผสมทีละตัว
บางวันก็นั่งทบทวนว่า
“เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า?”
มันไม่ได้สวยงามเลย
แต่มันคือความจริงที่คนไม่ค่อยเห็น
ช่วงที่ตามหาโรงงานที่ “เข้าใจจริง ๆ” …คือช่วงที่ฉันเหนื่อยที่สุด
เพราะกว่าจะเจอโรงงานที่มองเห็นภาพเดียวกับฉัน
ว่าเราต้องการอะไร
และทำไปเพื่อแก้อะไร
มันยากมากจริง ๆ
บางโรงงานบอกว่า
“สารตัวนี้แพงไปนะ ตัดได้มั้ย?”
บางโรงงานบอกว่า
“ถ้าลดต้นทุน ต้องเปลี่ยนเป็นตัวนี้แทน”
บางโรงงานก็ไม่เข้าใจเลยว่า
ทำไมฉันถึงต้องการบางส่วนผสม
ทั้งที่มันดู “ไม่จำเป็น” สำหรับเขา
แต่สำหรับฉัน…
ทุกอย่างมันมีเหตุผล มีที่มาที่ไป
เพราะมันตอบโจทย์ผิวที่ฉันต้องการแก้
ไม่ใช่ตอบโจทย์ต้นทุนของฝ่ายผลิต
ทุกครั้งที่เขาขอเปลี่ยน ฉันต้องกลับไปค้นคว้าใหม่หมด
เปิดงานวิจัย
อ่าน INCI
ดู stability
เช็ก pH
เช็ก compatibility
ถามผู้เชี่ยวชาญ
แล้วก็คิดตามว่า
“มันจะกระทบต่อผิวแบบไหน?”
บางครั้งฉันก็เหนื่อยจนต้องถอนใจยาว ๆ
บางครั้งก็ถามตัวเองว่า
“มันต้องยากขนาดนี้จริง ๆ เหรอ?”
แต่ฉันก็รู้เหมือนกันว่า…
ถ้าฉันยอมง่าย ๆ
มันจะไม่ใช่ Arvée
ฉันต้องยืนให้ชัดว่าฉันต้องการอะไร
ฉันไม่ทำแบรนด์เพื่อให้มันเกิดไว ๆ แล้วรีบขาย
ฉันทำมันเพื่อให้มัน “ตอบโจทย์จริง ๆ”
มีหลายสารที่โรงงานขอให้ตัด
แต่ฉันไม่ยอม
เพราะฉันรู้ว่ามันคือหัวใจของสูตร
รู้ว่าถ้าตัดออก ทุกอย่างจะเสียสมดุล
และมันจะไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ฉันอยากให้คนใช้
การยืนจุดยืนในวงการที่ทุกอย่างถูกดันด้วยต้นทุน
มันยากมาก
และทำให้ฉันเหนื่อยหลายครั้ง
แต่ฉันก็ยังเลือกที่จะ “ยืน”
เพราะฉันรู้ว่า
ถ้าโอนอ่อนตั้งแต่วันนี้
Arvée จะไม่ใช่ Arvée
ตั้งแต่วันแรกที่มันยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
วันนี้ฉันเลยอยากเขียนสิ่งนี้เก็บไว้
เหมือนเป็นบันทึกของวันที่ฉันเหนื่อย
แต่ยังเลือกเดินต่อ
สิ่งที่ฉันสร้าง
ไม่ใช่ของสำเร็จรูป
ไม่ใช่สูตรสำเร็จ
ไม่ใช่ของที่ปรับนิดเดียวแล้วเอาไปขายได้
มันคือสูตรที่เกิดจาก
ความเข้าใจผิวแบบลึก ๆ
การคิดอย่างรอบคอบ
และความตั้งใจที่จะทำให้มัน “ตอบโจทย์จริง ๆ”
ไม่ใช่ดีแค่บนกระดาษ
แต่ดีต่อผิวของคนที่ใช้จริง ๆ
และอย่างน้อยที่สุด…ฉันรู้ว่าทุกอย่างที่ทำ มันจริงกับผิว และจริงกับตัวฉันเอง
Arvée Journal — EP Special : บันทึกวันที่ฉันต้องยืนให้มั่นกับสิ่งที่เชื่อ
ช่วงที่ฉันเริ่มเรียนรู้เรื่องผิวของตัวเองใหม่
มันไม่ใช่แค่การตั้งคำถามกับผิวหรอก
แต่มันลากฉันไปไกลถึงเรื่อง “สูตร” “สาร”
และสิ่งที่ผิวต้องการจริง ๆ
หลายคนคิดว่าการทำสกินแคร์คือไปที่โรงงาน
เลือกสูตรที่เขามี แล้วเปลี่ยนกลิ่น เปลี่ยนแพ็กเกจ
แต่สำหรับฉัน…มันไกลกว่านั้นมาก
ตั้งแต่วันที่ฉันตัดสินใจทำ Arvée
ฉันกำหนดกับตัวเองไว้เลยว่า
ถ้าจะทำสกินแคร์หนึ่งชิ้น มันต้อง ตอบโจทย์จริง ๆ
ไม่ใช่แค่ “ผลิตได้” แต่ต้อง “ดีจริง”
และตรงนี้แหละ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาที่เหนื่อยที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตฉัน
ความจริงคือ…กว่าจะได้มาซึ่งสูตรหนึ่งสูตร มันไม่ง่ายเลย
ฉันใช้เวลาเป็นเดือน ๆ ในการค้นคว้า
เปิดงานวิจัย
ทบทวน active แต่ละตัว
ดูว่ามันเข้ากันได้ไหม
ต้องใช้เปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ถึงจะเห็นผล
จะเสถียรที่ pH ไหน
มี conflict กับตัวไหนบ้าง
texture หลังผสมจะออกมาเป็นยังไง
ต้องมีตัวประคองอะไรบ้าง
และที่สำคัญที่สุดคือ
ผิวแบบไหนที่จะรับสูตรนี้ได้ดีที่สุด
บางวันฉันอ่านข้อมูลจนตาแสบ
บางวันต้องนั่งไล่ไทม์ไลน์ส่วนผสมทีละตัว
บางวันก็นั่งทบทวนว่า
“เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า?”
มันไม่ได้สวยงามเลย
แต่มันคือความจริงที่คนไม่ค่อยเห็น
ช่วงที่ตามหาโรงงานที่ “เข้าใจจริง ๆ” …คือช่วงที่ฉันเหนื่อยที่สุด
เพราะกว่าจะเจอโรงงานที่มองเห็นภาพเดียวกับฉัน
ว่าเราต้องการอะไร
และทำไปเพื่อแก้อะไร
มันยากมากจริง ๆ
บางโรงงานบอกว่า
“สารตัวนี้แพงไปนะ ตัดได้มั้ย?”
บางโรงงานบอกว่า
“ถ้าลดต้นทุน ต้องเปลี่ยนเป็นตัวนี้แทน”
บางโรงงานก็ไม่เข้าใจเลยว่า
ทำไมฉันถึงต้องการบางส่วนผสม
ทั้งที่มันดู “ไม่จำเป็น” สำหรับเขา
แต่สำหรับฉัน…
ทุกอย่างมันมีเหตุผล มีที่มาที่ไป
เพราะมันตอบโจทย์ผิวที่ฉันต้องการแก้
ไม่ใช่ตอบโจทย์ต้นทุนของฝ่ายผลิต
ทุกครั้งที่เขาขอเปลี่ยน ฉันต้องกลับไปค้นคว้าใหม่หมด
เปิดงานวิจัย
อ่าน INCI
ดู stability
เช็ก pH
เช็ก compatibility
ถามผู้เชี่ยวชาญ
แล้วก็คิดตามว่า
“มันจะกระทบต่อผิวแบบไหน?”
บางครั้งฉันก็เหนื่อยจนต้องถอนใจยาว ๆ
บางครั้งก็ถามตัวเองว่า
“มันต้องยากขนาดนี้จริง ๆ เหรอ?”
แต่ฉันก็รู้เหมือนกันว่า…
ถ้าฉันยอมง่าย ๆ
มันจะไม่ใช่ Arvée
ฉันต้องยืนให้ชัดว่าฉันต้องการอะไร
ฉันไม่ทำแบรนด์เพื่อให้มันเกิดไว ๆ แล้วรีบขาย
ฉันทำมันเพื่อให้มัน “ตอบโจทย์จริง ๆ”
มีหลายสารที่โรงงานขอให้ตัด
แต่ฉันไม่ยอม
เพราะฉันรู้ว่ามันคือหัวใจของสูตร
รู้ว่าถ้าตัดออก ทุกอย่างจะเสียสมดุล
และมันจะไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ฉันอยากให้คนใช้
การยืนจุดยืนในวงการที่ทุกอย่างถูกดันด้วยต้นทุน
มันยากมาก
และทำให้ฉันเหนื่อยหลายครั้ง
แต่ฉันก็ยังเลือกที่จะ “ยืน”
เพราะฉันรู้ว่า
ถ้าโอนอ่อนตั้งแต่วันนี้
Arvée จะไม่ใช่ Arvée
ตั้งแต่วันแรกที่มันยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
วันนี้ฉันเลยอยากเขียนสิ่งนี้เก็บไว้
เหมือนเป็นบันทึกของวันที่ฉันเหนื่อย
แต่ยังเลือกเดินต่อ
สิ่งที่ฉันสร้าง
ไม่ใช่ของสำเร็จรูป
ไม่ใช่สูตรสำเร็จ
ไม่ใช่ของที่ปรับนิดเดียวแล้วเอาไปขายได้
มันคือสูตรที่เกิดจาก
ความเข้าใจผิวแบบลึก ๆ
การคิดอย่างรอบคอบ
และความตั้งใจที่จะทำให้มัน “ตอบโจทย์จริง ๆ”
ไม่ใช่ดีแค่บนกระดาษ
แต่ดีต่อผิวของคนที่ใช้จริง ๆ
และอย่างน้อยที่สุด…ฉันรู้ว่าทุกอย่างที่ทำ มันจริงกับผิว และจริงกับตัวฉันเอง