KEY POINTS
เปิดตำนานซอสปรุงรส “นกเพนกวิน 3 ตัว” จากผู้บุกเบิกซอสหอยนางรมแกลลอนเจ้าแรกของไทย สู่ธุรกิจเกือบล้มละลาย โรงงานหวิดถูกยึดเพราะปัญหาหนี้ NPL
ทายาทรุ่น 2 พลิกวิกฤต พลิกเกมการตลาดจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ ปั้นแบรนด์ซอสปรุงรสท้องถิ่นสู่ยอดขาย 100 ล้านบาท
ปลดล็อกประวัติ NPL ที่เคยเป็นอุปสรรคขวางทางโกอินเตอร์ คว้ามาตรฐานโลกและเงินทุนจาก SME D Bank ติดปีก “เพนกวิน” บินไกลสู่ตลาดโลก
บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารสมบูรณ์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายซอสปรุงรสภายใต้แบรนด์ “นกเพนกวิน 3 ตัว” ตำนานที่ก่อตั้งมายาวนานกว่า 30 ปี ณ โรงงานที่อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม ทว่า กว่าจะมีวันนี้ บริษัทเคยประสบวิกฤต เกือบถูกยึดมาก่อน จนแทบเดินต่อไม่ได้
นันทิกา มโนรถจตุรงค์ รองกรรมการผู้จัดการ ในฐานะลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งเข้ามาช่วย ปฐมพงศ์ ตั้งสมบัติรัศมี ทายาทรุ่น 2 ของ พงศ์รัตน์ ตั้งสมบัติรัศมี รุ่นพ่อ เล่าว่า จุดเริ่มต้นของซอสแบรนด์นี้มาจากสายตากว้างไกลของ "ลุงพงศ์รัตน์" ซึ่งเป็นลูกหลานของตระกูลที่เคยทำธุรกิจซีอิ๊วมาตั้งแต่สมัยอากง เมื่อคุณลุงเดินทางไปศึกษาต่อที่ไต้หวันและไปทานอาหารที่ฮ่องกง ท่านได้ค้นพบ "ซอสหอยนางรม" ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีใครทำในเมืองไทย ท่านจึงตัดสินใจนำความรู้นี้กลับมาพัฒนาสูตรของตนเอง
ที่มา นกเพนกวิน 3 ตัว เหยียบหอย 5 ตัว : ความผูกพันกับ "สายมู"
เดิมทีซอสที่พบในฮ่องกง มีสัญลักษณ์เป็นนกเพนกวิน 1 ตัว แต่เมื่อคุณลุงพัฒนาสูตรใหม่ จึงตั้งชื่อแบรนด์เป็น "นกเพนกวิน 3 ตัว" และมีโลโก้เป็นนกเพนกวิน 3 ตัว เหยียบหอย 5 ตัว สัญลักษณ์นี้มีความหมายลึกซึ้งตามความเชื่อของชาวจีน (สายมู) โดยเลข 3 หมายถึง “การเกิดใหม่” เลข 5 หมายถึง “ความดีและความเฮง” เมื่อรวมกัน (3+5) เป็น 8 หมายถึง Infinity (ไม่มีที่สิ้นสุด) ซึ่งบ่งบอกว่า บริษัทนี้เป็นบริษัทที่เกิดใหม่และจะพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดยั้ง ด้วยวิสัยทัศน์นี้ “ซอสนกเพนกวิน 3 ตัว” จึงเป็นผู้บุกเบิกและเป็นเจ้าแรกที่ผลิตซอสหอยนางรมบรรจุแกลลอนเพื่อส่งตามภัตตาคารจีนในยุคนั้น
วิกฤตที่ไม่ได้มาจากต้มยำกุ้ง แต่รอดได้ด้วย “มิตรภาพ”
แม้ว่าธุรกิจจะเริ่มต้นอย่างยิ่งใหญ่ แต่บริษัทก็ไม่ได้ราบรื่นตลอดเวลา นันทิกา เล่าย้อนถึงวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิกฤตต้มยำกุ้งหรือ IMF แต่เป็นวิกฤตภายในด้านบริหารการเงิน จนทำให้กิจการเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หลังจากแยกธุรกิจออกมา เรื่องราวในวันนั้น โรงงานเดิมที่สุขสวัสดิ์ เกือบจะต้องถูกขายทอดตลาด
ถึงแม้ว่าคุณลุงจะเตรียมเงินไปประมูลโรงงานกลับคืนมาแล้ว แต่ก็มีผู้ประมูลสู้ราคา แบบผิดปกติ ทำให้เงินทุนของคุณลุงตึงตัว ในภาวะที่หมดหนทาง คุณลุงได้โทรหาเพื่อนสนิทท่านหนึ่ง มิตรภาพที่ดียิ่งได้ช่วยพยุงธุรกิจไว้ เพื่อนของท่านได้ให้เงินก้อนหนึ่งมาเพื่อใช้ประมูลสู้ ด้วยความเชื่อมั่นว่าธุรกิจต้องเดินต่อไปได้ ทำให้โรงงานรอดพ้นมามาจนถึงทุกวันนี้
จากความช่วยเหลือชั่วคราวสู่การก้าวเข้าสู่ธุรกิจเต็มตัว
ถามว่า นันทิกา เข้ามาช่วยธุรกิจของคุณลุงและพี่ชายได้อย่างไร? เธอเล่าให้ฟังว่า เธอเข้ามาช่วยงานธุรกิจครอบครัวในช่วงที่คุณลุงเริ่มป่วยด้วยโรคมะเร็ง ในตอนแรก เธอตั้งใจช่วยพี่ชาย ดูแลเรื่องการออกรายการโทรทัศน์และการประชาสัมพันธ์เป็นบางครั้ง จนกระทั่งคุณพ่อของพี่ชายเสียชีวิตลง เธอจึงเสนอตัวเข้ามาช่วยอย่างเต็มที่ เพราะเธอรู้สึกว่าการทำงานนี้ มีความท้าทาย และเห็นว่าพี่ชายไม่สามารถแบกรับภาระโรงงานไว้คนเดียวได้
เธอเชื่อว่าการทำงานให้เติบโตต้องอาศัยหลายคนช่วยกัน ทำให้ปัจจุบัน นันทิกา เข้ามารับผิดชอบงานด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ (อยู่หน้าบ้าน) อย่างเต็มตัวเมื่อประมาณปีเศษที่ผ่านมา
ความท้าทายของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่
สำหรับความแตกต่างในการขับเคลื่อนธุรกิจระหว่างยุคของคุณลุงกับยุคปัจจุบันของรุ่นลูกนั้น ไม่ใช่ความแตกต่างโดยพื้นฐาน แต่คือการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เข้ากับยุคสมัย นันทิกา เล่าว่า ในสมัยคุณลุง การตลาดจะเน้นไปที่ตลาดออฟไลน์เป็นหลัก เช่น การขายในไฮเปอร์มาร์เก็ตและโฮลเซล เช่น โลตัส แมคโคร บิ๊กซี เป็นต้น เพราะท่านมองว่าการขายตรงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าสื่อโฆษณา
แต่ในยุคปัจจุบัน แม้จะยังคงช่องทางการขายแบบเดิม แต่ก็มีการขยายไปสู่ซูเปอร์สโตร์ เช่น ฟู้ดแลนด์ แม็กซ์แวลลู เดอะมาร์เก็ต และร้านค้าท้องถิ่น โดยใช้กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” คือการตีตลาดจากรอบนอกก่อนแล้วค่อยเข้ามาสู่ในเมือง ซึ่งเป็นแนวคิดของพี่ชาย ปฐมพงษ์
นอกจากนี้ การทำงานได้เปลี่ยนไปสู่ความทันสมัยมากขึ้น โดยใช้ช่องทางออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งแตกต่างจากยุคก่อนที่ซอสนกเพนกวิน 3 ตัว ไม่เคยออกสื่อโทรทัศน์มาก่อน ปัจจุบันบริษัทได้ร่วมงานกับยูทูบเบอร์ด้านทำอาหารชื่อดังอย่าง “เชฟเป้” ในการทำคลิปและเป็นพรีเซนเตอร์ โดยเรื่องบังเอิญคือ เชฟเป้ เองก็ใช้ซอสของแบรนด์นี้อยู่แล้วเป็นประจำ นอกจากนี้ยังมีการโคกับช่องทีวีเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มอื่นด้วย
รางวัลมาตรฐาน ใบเบิกทางสู่ตลาดโลก
นันทิกา เล่าว่า ในสมัยคุณลุงนั้น สินค้ามีเพียง 2 ตัวคือ ซีอิ๊ว และ ซอสหอยนางรม แต่เมื่อเข้าสู่ยุคของรุ่นลูก การขยายตลาดที่มากขึ้น ทำให้มีการพัฒนาสินค้าที่หลากหลายตามมา โดยอาศัยความสามารถของทีม R&D โดยมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคนี้ ได้แก่ ซอสพริกศรีราชา, ซอสปรุงรส, น้ำปลาวีแกนที่ทำจากเห็ดหอม, ซอสหอยเป๋าฮื้อ, ซีฟู้ดซอส, ซอสผัดไทย และ ซอสไก่
การันตีด้วยรางวัลมาตรฐานระดับโลกกับการสร้างความน่าเชื่อถือ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับมาตรฐานโรงงานมากมาย เช่น GHP, HACCP, Halal, Kosher และ Green Industry การมีใบรับรองเหล่านี้ทำให้การเข้าชิงรางวัลใหญ่ ๆ ง่ายขึ้น รางวัลสำคัญที่บริษัทได้รับ ได้แก่ รางวัล Thailand Top Entrepreneur Awards และที่น่าภาคภูมิใจที่สุดคือรางวัล PM Award (สำหรับผู้ประกอบการส่งออกยอดเยี่ยมในประเทศ) ซึ่งบริษัทได้รับในระดับไซส์ S
นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัล Thai Select ติดต่อกันหลายปี: ปี 2566 ได้ 2 ตัว (ซอสพริกศรีราชาและซอสเห็ดหอมวีแกน), ปี 2567 ได้เพิ่มอีกหลายรายการ (ซอสไก่รสออริจินัล, น้ำจิ้มไก่มะม่วง/สับปะรด/สะเต๊ะ, ซอสผัดไทย), และล่าสุดปี 2568 ได้อีก 4 ซอส (ซอสผัดอเนกประสงค์, ซอสกะเพรา, ซีฟู้ด, เทอริยากิ)
รางวัลมาตรฐานและใบรับรองเหล่านี้เปรียบเสมือน "ทางลัด" ที่ช่วยต่อยอดธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ยอดขายและการเติบโตสูงขึ้น และยังเป็นใบเบิกทางให้บริษัทได้ไปเปิดตลาดในงานอาหารระดับโลก เช่น งาน Anuga ที่เยอรมนี, Gulfood ที่ดูไบ, Foodex ที่ญี่ปุ่น และ Thaifex เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ทำให้ การเติบโตและการขยายตลาด จากเดิมที่บริษัทรับจ้างผลิต ประมาณ 90% และมีแบรนด์ของตัวเองเพียง 10% แต่หลังจากได้รับมาตรฐานและรางวัลต่าง ๆ ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ธุรกิจส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 30% ส่วนตลาดในประเทศเติบโตถึง 40% ซึ่งตลาดส่งออกหลักของบริษัทคือ อิสราเอล คิดเป็น 60% ของการส่งออกทั้งหมด ที่ได้มาจากการพบกันในงาน Thaifex นอกจากนี้ยังมีตลาดส่งออกอื่น ๆ ได้แก่ อเมริกา เกาหลี และญี่ปุ่น ซึ่งเป้าหมายถัดไปของเธอนั้นคือการบุกตลาดตะวันออกกลาง เนื่องจากบริษัทเพิ่งได้รับ ฮาลาล มาเมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว
SME D Bank "ลมใต้ปีก" ปลดล็อคเงินทุน
นันทิกา เล่าย้อนกลับไปว่า หากไม่มี SME D Bank บริษัทคงไม่ได้ทำตลาดส่งออกขนาดใหญ่กับอิสราเอล แน่นอน เนื่องจากในช่วงที่บริษัทมีออเดอร์ขนาดใหญ่จากอิสราเอลเข้ามา แต่บริษัทกลับติดขัดเรื่องเงินทุนหมุนเวียนอย่างหนัก เพราะยังไม่สามารถปลดล็อคประวัติ NPL กับธนาคารเดิมได้ ทำให้ไม่สามารถเดินหน้าได้
การเข้ามาของ SME D Bank ถือเป็นความโชคดี เพราะธนาคารมีนโยบายให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่เคยติด NPL หากพอร์ตธุรกิจเติบโตและแข็งแกร่ง ดังนั้น จึงพูดได้เต็มปากว่า SME D Bank เปรียบเสมือน "ลมใต้ปีก" ที่เข้ามาช่วย ทำให้บริษัทสามารถปลดล็อคตัวเองได้ หากไม่ได้รับการซัพพอร์ตทางการเงินนี้ ธุรกิจก็คงไม่มีสภาพคล่องพอที่จะรับงานใหญ่และไปได้ไกลขนาดนี้
นอกจากเงินทุนแล้ว SME D Bank ยังให้ความช่วยเหลือผ่านการพัฒนาผู้ประกอบการ เช่น โครงการ CEO Network ซึ่งผู้บริหารจะได้รับการสอนด้านการเงิน, การบริหารงาน, และด้านกฎหมาย สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าความรู้คือ การได้เครือข่ายเพื่อนทางธุรกิจ (Network) ซึ่งทำให้เกิดประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม เช่น การได้เพื่อนที่เป็นบริษัทขนส่ง ทำให้ลดต้นทุนโลจิสติกส์ได้ถึง 500,000 บาทต่อปี การได้ช่องทางขายสินค้าใหม่ ๆ และการสร้างความร่วมมือกับวิทยาลัยดุสิตธานี โดยการให้ทุนการศึกษา เพื่อให้เชฟที่กำลังศึกษาได้รู้จักผลิตภัณฑ์ของบริษัท
ท้ายที่สุด นันทิกา กล่าวถึงความฝันสูงสุดของธุรกิจว่า ด้วยความมุ่งมั่นมาพร้อมคุณภาพสินค้าที่พัฒนาไม่หยุดนิ่ง "นกเพนกวินตัวนี้บินได้สูงที่สุด" และกล่าวขอบคุณ SME D Bank ที่เป็นลมใต้ปีกให้แก่นกเพนกวิน 3 ตัว จนสามารถบินได้อย่างทุกวันนี้
ติดปีก “เพนกวิน 3 ตัว” ให้บินได้ ซอสปรุงรส 100 ล้าน ทายาทรุ่น 2 พลิกวิกฤต สู่มาตรฐานโลก