พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน (พระโคตมพุทธเจ้า)
ทรงเล่าเรื่องของพระพุทธเจ้าในอดีตกาลด้วยพระองค์เอง
มารหัชชชนียสูตร
ว่าด้วยการคุกคามมาร และผลหนักของคนที่กล้าทำร้ายพระพุทธเจ้าและพระสาวก 🌿🔥
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ป่าอันร่มรื่นชื่อมิคทายวัน แคว้นภัคคะ ใกล้เมืองสุงสุมารคีระ 🦌🌳
ในเวลานั้นเอง ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ผู้เป็นเอตทัคคะในทางฤทธิ์ กำลังเดินจงกรมอยู่กลางแจ้งอย่างสงบ
อยู่ๆ ท่านก็รู้สึกแปลกขึ้นมาในท้อง เหมือนมีหินหนักก้อนใหญ่ถ่วงอยู่ข้างใน เหมือนท้องถูกยัดด้วยอะไรหนักๆ จนเดินไม่สบายเลย ท่านจึงหยุดจงกรม เดินเข้าไปในวิหาร นั่งลงบนอาสนะ แล้วตั้งสติพิจารณาดูอย่างแยบคายด้วยจิตของตนเอง 👁️✨
ไม่นาน ท่านก็รู้ชัดว่า มีมารผู้ลามกแอบเข้าไปสิงอยู่ในท้องของตนเองจริงๆ
ท่านจึงกล่าวขึ้นเบาๆ แต่ชัดเจนว่า
มารผู้ลามกเอ๋ย ออกมาเถิด ออกมาเถิด อย่าเบียดเบียนพระตถาคต และอย่าเบียดเบียนพระสาวกของพระตถาคตเลย
การทำกวนอย่างนี้ จะมีแต่โทษ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย จะเป็นทุกข์แก่ตัวท่านเองยาวนานนะมาร 😌
มารได้ยินแล้วก็ยังหลงตัวเอง คิดในใจว่า
สมณะรูปนี้ไม่รู้หรอกว่าเรากำลังอยู่ในท้อง ก็เลยพูดแบบนี้ไปเฉยๆ
แม้แต่พระศาสดายังไม่รู้เราเร็วขนาดนี้ แล้วสาวกรูปนี้จะไปรู้ได้อย่างไร 😏
ทันใดนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็พูดต่อว่า
มารผู้ลามก เรารู้จักท่านนั่นแหละ ท่านอย่าคิดเลยว่าสมณะรูปนี้ไม่รู้ไม่เห็นท่าน
ท่านคิดเองว่าเราไม่รู้ จึงกล้าซ่อนอยู่ในท้องของเรา แต่เรารู้ทันหมดแล้วนะมาร 👁️🔥
มารจึงรู้ตัวว่า ถูกจับได้เข้าแล้ว จึงออกจากกายท่านพระมหาโมคคัลลานะ โผล่มายืนอยู่ข้างบานประตู
ท่านพระมหาโมคคัลลานะมองไปแล้วพูดต่อว่า
มารผู้ลามก เราเห็นท่านที่ยืนอยู่ข้างประตูนั่นแหละ ท่านอย่าคิดว่าสมณะนี้มองไม่เห็นท่านเลย 👀
จากนั้นท่านก็เล่าย้อนอดีตชาติของตนเองให้มารฟัง
ครั้งหนึ่ง เราเคยเป็นมารเหมือนท่านนี่เอง ชื่อว่า ทูสีมาร
เรามีน้องสาวคนหนึ่ง ชื่อกาลี ส่วนท่านนั่นแหละ เป็นลูกของน้องสาวเรา เป็น “หลานชายของเราเอง” ในอดีตชาติ 🌌
ในกาลนั้น มีพระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก 🌟
พระองค์มีพระสาวกผู้ใหญ่สองรูป คือ
พระวิธุระ ผู้เลิศในทางแสดงธรรม
พระสัญชีวะ ผู้สามารถเข้าสมาบัติ “สัญญาเวทยิตนิโรธ” ได้อย่างคล่องแคล่ว
พระสัญชีวะมักไปอยู่ในป่า ใต้ต้นไม้ หรือในเรือนว่าง แล้วเข้าสมาบัติลึก วางสัญญาเวทนาโดยสิ้นเชิง นิ่งอยู่นานโดยไม่มีอาการเคลื่อนไหวเลย 🧘
วันหนึ่ง ท่านพระสัญชีวะนั่งเข้าสมาบัติอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
พวกคนเลี้ยงโค คนเลี้ยงสัตว์ ชาวนา คนเดินทางผ่านมาเห็นเข้า ก็เข้าใจผิด คิดว่าท่าน “ตายแล้ว”
พวกเขาจึงปรึกษากันว่า
โอ้ สมณะรูปนี้คงสิ้นชีวิตแล้วแน่ๆ
ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เผาร่างท่านเสียเถิด
เขาจึงไปหาไม้ หญ้า โคมัย มากองสุมรอบตัวท่าน แล้วจุดไฟเผา 🔥
แต่เมื่อผ่านราตรีไป ท่านพระสัญชีวะออกจากสมาบัติ
สลัดจีวร เปลี่ยนผ้า ถือบาตร เดินเข้าไปบิณฑบาตในบ้านอย่างสงบนิ่ง
พวกคนเลี้ยงโคและคนทั้งหลายเห็นเข้า ก็ประหลาดใจสุดๆ
เมื่อวานเราเพิ่งเผาสมณะรูปนี้ไป วันนี้กลับเดินบิณฑบาตต่อหน้าต่อตา
แสดงว่าสมณะรูปนี้ “ยังมีสัญญา ยังมีชีวิต” จึงเกิดชื่อว่า “สัญชีวะ” ผู้ที่แม้ถูกเข้าใจว่าตายแล้ว ก็ยังมีชีวิตอยู่ 💫
มารทูสีในสมัยนั้น เห็นว่าพระสาวกของพระกกุสันธะมีฤทธิ์ มีคุณธรรมสูง ก็เกิดความหงุดหงิดในใจ
มันคิดว่า เราไม่รู้ไม่เห็นความมาและความไปของภิกษุผู้มีศีลเหล่านี้
ถ้าอย่างนั้น เราจะยุยงพวกพราหมณ์และคฤหบดี ให้ “ด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียน” ภิกษุเหล่านี้เสีย
เพื่อว่าขณะที่ภิกษุถูกด่าถูกเบียดเบียน ถ้าเผลอมีจิตไม่ดีสักนิดหนึ่ง มารก็จะมีช่องทางให้เกาะได้ 😈
มารทูสีจึงดลใจชาวบ้านให้ด่าและเหยียดภิกษุ
พวกเขาพากันว่า
ภิกษุพวกนี้เป็นสมณะหัวโล้น เป็นเพียงคฤหบดีปลอมตัว
เป็นคนเกียจคร้าน นั่งเหงา ซึมเศร้า เหมือนนกเค้านั่งจ้องหนู
เหมือนหมาจิ้งจอกจ้องปลาที่ฝั่งน้ำ
เหมือนแมวจ้องหนูในกองขยะ
เหมือนลาที่ปลดเกวียนแล้ว ยืนซึมๆ อยู่อย่างนั้นเอง
พอมนุษย์ด่า ดูหมิ่น เบียดเบียนพระภิกษุผู้มีศีลอยู่นานเข้า
เมื่อเขาตายจากโลกนี้ ก็ต้องไปสู่อบาย ทุคติ วินิบาต นรกเป็นจำนวนมาก 😢🔥
พระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะทรงเห็นเหตุการณ์นี้ จึงตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า
ภิกษุทั้งหลายเอ๋ย
พวกพราหมณ์และคฤหบดีถูกมารดลใจให้มาด่าพวกเธอ
เมื่อเขาด่าหรือเบียดเบียนพวกเธออยู่
อย่าได้ให้จิตของตนเป็นช่องให้มารเลย
เธอทั้งหลายจงแผ่เมตตาออกไปยังทิศทั้งสี่
ทิศหนึ่ง สอง สาม สี่
เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องรอบ
ให้จิตเต็มไปด้วยเมตตา
กว้างขวาง ไพศาล ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท
แล้วแผ่กรุณา มุทิตา อุเบกขาออกไปในทิศทั้งสิ้น
ให้ครอบคลุมสัตว์โลกทั้งปวงด้วยจิตที่เป็นมิตรอย่างยิ่ง 💖
ภิกษุทั้งหลายก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ไปไหนก็แผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
ไม่เปิดช่องให้มารเกาะใจได้เลย
มารทูสีเห็นว่าวิธีนี้ไม่สำเร็จ ก็บ่นในใจว่า
แม้ทำอย่างนี้ เราก็ยังไม่รู้อุบายของภิกษุผู้มีศีลเหล่านี้เลย
งั้นเราจะเปลี่ยนวิธีใหม่
คราวนี้ มารกลับยุยงให้พราหมณ์และคฤหบดีพากัน “สักการะ เคารพ บูชา” พระภิกษุ 😈
มันหวังว่า เมื่อภิกษุถูกบูชา ยกย่อง ได้ลาภสักการะมากๆ
อาจจะเผลอใจ ฟูขึ้น ลืมสติ แล้วมารจะมีช่องทางได้
แต่พระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะทรงรู้ทันอีก
พระองค์ตรัสสอนภิกษุว่า
เมื่อถูกบูชา เคารพ นับถือ
จงใช้โอกาสนี้ฝึกจิตให้รู้เท่าทันโลก
จงพิจารณา
กายนี้ไม่งาม
อาหารเป็นของปฏิกูล
โลกทั้งปวงไม่น่ายินดี
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
ภิกษุทั้งหลายก็ทำตามคำสอนนั้น
ไปอยู่ป่า ใต้ต้นไม้ หรือเรือนว่าง ก็พิจารณากายว่าไม่งาม
พิจารณาอาหารว่าเป็นของปฏิกูล
พิจารณาโลกว่าไม่น่ายินดี
พิจารณาสังขารทั้งปวงว่าไม่เที่ยงอยู่เสมอ 🌿
วันหนึ่ง ในเวลาเข้า พระกกุสันธะเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน
มีพระวิธุระเป็นปัจฉาสมณะเดินตามหลัง
มารทูสีเข้าสิงเด็กคนหนึ่ง แล้วใช้มือเด็กนั้นคว้าเอาก้อนหิน ขว้างไปที่ศีรษะของพระวิธุระ
เลือดไหลเต็มศีรษะ แต่ท่านยังเดินตามพระศาสดาไปอย่างสงบ ไม่หวั่นไหว
พระกกุสันธะเหลียวมองเพียงนิดเดียว แล้วตรัสว่า
หูสีมารนี้ไม่รู้ประมาณเลยจริงๆ
เพียงแค่พระองค์เหลียวมองอย่างนี้
มารทูสีก็ต้องหลุดจากที่นั้น ตกลงสู่มหานรกทันที
ถูกทรมานด้วยหลาวเหล็ก ร้อนแรงมหาศาล
หมกไหม้อยู่เป็นพันปี หมื่นปี ยาวนานนับไม่ถ้วน 😖🔥
ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงสรุปให้มารในปัจจุบันฟังว่า
มารผู้ลามกเอ๋ย
ในอดีต เราเองนี่แหละคือทูสีมาร
เราประทุษร้ายพระสาวกชื่อวิธุระ และกล้าลบหลู่พระกกุสันธะผู้เป็นพระพุทธเจ้า
จึงต้องไหม้อยู่ในนรกอย่างหนักหน่วงยาวนาน
บัดนี้เราเกิดมาในเพศภิกษุ ได้พบพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ
รู้ทั้งนรก รู้ทั้งผลกรรม รู้ทั้งทางพ้นทุกข์
เราจึงเตือนท่านด้วยเมตตาว่า
การเบียดเบียนพระตถาคตและพระสาวก
จะทำให้ท่านเผาตัวเองเหมือนคนโง่กระโจนเข้ากองไฟ
อย่าสำคัญผิดคิดว่าบาปไม่ให้ผลเลย
ผู้สั่งสมบาป ย่อมโอดครวญอยู่นานแสนนาน 😔
มารได้ฟังดังนั้น จิตก็หวั่นไหว เสียใจ ไม่อาจทนต่อไปได้
จึงหายตัวไปจากที่นั้นในทันที
มารหัชชชนียสูตร ว่าด้วยการคุกคามมาร จึงจบลงตรงนี้เอง 🌿✨
อ้างอิง พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
📌 พระพุทธเจ้ากกุสันธะ คือใคร?
พระพุทธเจ้ากกุสันธะ (กะ-กุ-สัน-ทะ)
เป็น พระพุทธเจ้าพระองค์แรกในภัทรกัปนี้
รวมทั้งหมด ๕ พระองค์ คือ
๑ กกุสันธะ
๒ โกนาคมนะ
๓ กัสสปะ
๔ โคตมะ (พระพุทธเจ้าปัจจุบัน)
๕ ศรีอริยเมตไตรย์ (ในอนาคต)
พระพุทธเจ้าเล่าถึง พระพุทธเจ้าในอดีต มีบันทึกในพระไตรปิฏก ไหมครับ🙏🙏
ทรงเล่าเรื่องของพระพุทธเจ้าในอดีตกาลด้วยพระองค์เอง
มารหัชชชนียสูตร
ว่าด้วยการคุกคามมาร และผลหนักของคนที่กล้าทำร้ายพระพุทธเจ้าและพระสาวก 🌿🔥
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ป่าอันร่มรื่นชื่อมิคทายวัน แคว้นภัคคะ ใกล้เมืองสุงสุมารคีระ 🦌🌳
ในเวลานั้นเอง ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ผู้เป็นเอตทัคคะในทางฤทธิ์ กำลังเดินจงกรมอยู่กลางแจ้งอย่างสงบ
อยู่ๆ ท่านก็รู้สึกแปลกขึ้นมาในท้อง เหมือนมีหินหนักก้อนใหญ่ถ่วงอยู่ข้างใน เหมือนท้องถูกยัดด้วยอะไรหนักๆ จนเดินไม่สบายเลย ท่านจึงหยุดจงกรม เดินเข้าไปในวิหาร นั่งลงบนอาสนะ แล้วตั้งสติพิจารณาดูอย่างแยบคายด้วยจิตของตนเอง 👁️✨
ไม่นาน ท่านก็รู้ชัดว่า มีมารผู้ลามกแอบเข้าไปสิงอยู่ในท้องของตนเองจริงๆ
ท่านจึงกล่าวขึ้นเบาๆ แต่ชัดเจนว่า
มารผู้ลามกเอ๋ย ออกมาเถิด ออกมาเถิด อย่าเบียดเบียนพระตถาคต และอย่าเบียดเบียนพระสาวกของพระตถาคตเลย
การทำกวนอย่างนี้ จะมีแต่โทษ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย จะเป็นทุกข์แก่ตัวท่านเองยาวนานนะมาร 😌
มารได้ยินแล้วก็ยังหลงตัวเอง คิดในใจว่า
สมณะรูปนี้ไม่รู้หรอกว่าเรากำลังอยู่ในท้อง ก็เลยพูดแบบนี้ไปเฉยๆ
แม้แต่พระศาสดายังไม่รู้เราเร็วขนาดนี้ แล้วสาวกรูปนี้จะไปรู้ได้อย่างไร 😏
ทันใดนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็พูดต่อว่า
มารผู้ลามก เรารู้จักท่านนั่นแหละ ท่านอย่าคิดเลยว่าสมณะรูปนี้ไม่รู้ไม่เห็นท่าน
ท่านคิดเองว่าเราไม่รู้ จึงกล้าซ่อนอยู่ในท้องของเรา แต่เรารู้ทันหมดแล้วนะมาร 👁️🔥
มารจึงรู้ตัวว่า ถูกจับได้เข้าแล้ว จึงออกจากกายท่านพระมหาโมคคัลลานะ โผล่มายืนอยู่ข้างบานประตู
ท่านพระมหาโมคคัลลานะมองไปแล้วพูดต่อว่า
มารผู้ลามก เราเห็นท่านที่ยืนอยู่ข้างประตูนั่นแหละ ท่านอย่าคิดว่าสมณะนี้มองไม่เห็นท่านเลย 👀
จากนั้นท่านก็เล่าย้อนอดีตชาติของตนเองให้มารฟัง
ครั้งหนึ่ง เราเคยเป็นมารเหมือนท่านนี่เอง ชื่อว่า ทูสีมาร
เรามีน้องสาวคนหนึ่ง ชื่อกาลี ส่วนท่านนั่นแหละ เป็นลูกของน้องสาวเรา เป็น “หลานชายของเราเอง” ในอดีตชาติ 🌌
ในกาลนั้น มีพระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก 🌟
พระองค์มีพระสาวกผู้ใหญ่สองรูป คือ
พระวิธุระ ผู้เลิศในทางแสดงธรรม
พระสัญชีวะ ผู้สามารถเข้าสมาบัติ “สัญญาเวทยิตนิโรธ” ได้อย่างคล่องแคล่ว
พระสัญชีวะมักไปอยู่ในป่า ใต้ต้นไม้ หรือในเรือนว่าง แล้วเข้าสมาบัติลึก วางสัญญาเวทนาโดยสิ้นเชิง นิ่งอยู่นานโดยไม่มีอาการเคลื่อนไหวเลย 🧘
วันหนึ่ง ท่านพระสัญชีวะนั่งเข้าสมาบัติอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
พวกคนเลี้ยงโค คนเลี้ยงสัตว์ ชาวนา คนเดินทางผ่านมาเห็นเข้า ก็เข้าใจผิด คิดว่าท่าน “ตายแล้ว”
พวกเขาจึงปรึกษากันว่า
โอ้ สมณะรูปนี้คงสิ้นชีวิตแล้วแน่ๆ
ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เผาร่างท่านเสียเถิด
เขาจึงไปหาไม้ หญ้า โคมัย มากองสุมรอบตัวท่าน แล้วจุดไฟเผา 🔥
แต่เมื่อผ่านราตรีไป ท่านพระสัญชีวะออกจากสมาบัติ
สลัดจีวร เปลี่ยนผ้า ถือบาตร เดินเข้าไปบิณฑบาตในบ้านอย่างสงบนิ่ง
พวกคนเลี้ยงโคและคนทั้งหลายเห็นเข้า ก็ประหลาดใจสุดๆ
เมื่อวานเราเพิ่งเผาสมณะรูปนี้ไป วันนี้กลับเดินบิณฑบาตต่อหน้าต่อตา
แสดงว่าสมณะรูปนี้ “ยังมีสัญญา ยังมีชีวิต” จึงเกิดชื่อว่า “สัญชีวะ” ผู้ที่แม้ถูกเข้าใจว่าตายแล้ว ก็ยังมีชีวิตอยู่ 💫
มารทูสีในสมัยนั้น เห็นว่าพระสาวกของพระกกุสันธะมีฤทธิ์ มีคุณธรรมสูง ก็เกิดความหงุดหงิดในใจ
มันคิดว่า เราไม่รู้ไม่เห็นความมาและความไปของภิกษุผู้มีศีลเหล่านี้
ถ้าอย่างนั้น เราจะยุยงพวกพราหมณ์และคฤหบดี ให้ “ด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียน” ภิกษุเหล่านี้เสีย
เพื่อว่าขณะที่ภิกษุถูกด่าถูกเบียดเบียน ถ้าเผลอมีจิตไม่ดีสักนิดหนึ่ง มารก็จะมีช่องทางให้เกาะได้ 😈
มารทูสีจึงดลใจชาวบ้านให้ด่าและเหยียดภิกษุ
พวกเขาพากันว่า
ภิกษุพวกนี้เป็นสมณะหัวโล้น เป็นเพียงคฤหบดีปลอมตัว
เป็นคนเกียจคร้าน นั่งเหงา ซึมเศร้า เหมือนนกเค้านั่งจ้องหนู
เหมือนหมาจิ้งจอกจ้องปลาที่ฝั่งน้ำ
เหมือนแมวจ้องหนูในกองขยะ
เหมือนลาที่ปลดเกวียนแล้ว ยืนซึมๆ อยู่อย่างนั้นเอง
พอมนุษย์ด่า ดูหมิ่น เบียดเบียนพระภิกษุผู้มีศีลอยู่นานเข้า
เมื่อเขาตายจากโลกนี้ ก็ต้องไปสู่อบาย ทุคติ วินิบาต นรกเป็นจำนวนมาก 😢🔥
พระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะทรงเห็นเหตุการณ์นี้ จึงตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า
ภิกษุทั้งหลายเอ๋ย
พวกพราหมณ์และคฤหบดีถูกมารดลใจให้มาด่าพวกเธอ
เมื่อเขาด่าหรือเบียดเบียนพวกเธออยู่
อย่าได้ให้จิตของตนเป็นช่องให้มารเลย
เธอทั้งหลายจงแผ่เมตตาออกไปยังทิศทั้งสี่
ทิศหนึ่ง สอง สาม สี่
เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องรอบ
ให้จิตเต็มไปด้วยเมตตา
กว้างขวาง ไพศาล ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท
แล้วแผ่กรุณา มุทิตา อุเบกขาออกไปในทิศทั้งสิ้น
ให้ครอบคลุมสัตว์โลกทั้งปวงด้วยจิตที่เป็นมิตรอย่างยิ่ง 💖
ภิกษุทั้งหลายก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ไปไหนก็แผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
ไม่เปิดช่องให้มารเกาะใจได้เลย
มารทูสีเห็นว่าวิธีนี้ไม่สำเร็จ ก็บ่นในใจว่า
แม้ทำอย่างนี้ เราก็ยังไม่รู้อุบายของภิกษุผู้มีศีลเหล่านี้เลย
งั้นเราจะเปลี่ยนวิธีใหม่
คราวนี้ มารกลับยุยงให้พราหมณ์และคฤหบดีพากัน “สักการะ เคารพ บูชา” พระภิกษุ 😈
มันหวังว่า เมื่อภิกษุถูกบูชา ยกย่อง ได้ลาภสักการะมากๆ
อาจจะเผลอใจ ฟูขึ้น ลืมสติ แล้วมารจะมีช่องทางได้
แต่พระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะทรงรู้ทันอีก
พระองค์ตรัสสอนภิกษุว่า
เมื่อถูกบูชา เคารพ นับถือ
จงใช้โอกาสนี้ฝึกจิตให้รู้เท่าทันโลก
จงพิจารณา
กายนี้ไม่งาม
อาหารเป็นของปฏิกูล
โลกทั้งปวงไม่น่ายินดี
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
ภิกษุทั้งหลายก็ทำตามคำสอนนั้น
ไปอยู่ป่า ใต้ต้นไม้ หรือเรือนว่าง ก็พิจารณากายว่าไม่งาม
พิจารณาอาหารว่าเป็นของปฏิกูล
พิจารณาโลกว่าไม่น่ายินดี
พิจารณาสังขารทั้งปวงว่าไม่เที่ยงอยู่เสมอ 🌿
วันหนึ่ง ในเวลาเข้า พระกกุสันธะเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน
มีพระวิธุระเป็นปัจฉาสมณะเดินตามหลัง
มารทูสีเข้าสิงเด็กคนหนึ่ง แล้วใช้มือเด็กนั้นคว้าเอาก้อนหิน ขว้างไปที่ศีรษะของพระวิธุระ
เลือดไหลเต็มศีรษะ แต่ท่านยังเดินตามพระศาสดาไปอย่างสงบ ไม่หวั่นไหว
พระกกุสันธะเหลียวมองเพียงนิดเดียว แล้วตรัสว่า
หูสีมารนี้ไม่รู้ประมาณเลยจริงๆ
เพียงแค่พระองค์เหลียวมองอย่างนี้
มารทูสีก็ต้องหลุดจากที่นั้น ตกลงสู่มหานรกทันที
ถูกทรมานด้วยหลาวเหล็ก ร้อนแรงมหาศาล
หมกไหม้อยู่เป็นพันปี หมื่นปี ยาวนานนับไม่ถ้วน 😖🔥
ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงสรุปให้มารในปัจจุบันฟังว่า
มารผู้ลามกเอ๋ย
ในอดีต เราเองนี่แหละคือทูสีมาร
เราประทุษร้ายพระสาวกชื่อวิธุระ และกล้าลบหลู่พระกกุสันธะผู้เป็นพระพุทธเจ้า
จึงต้องไหม้อยู่ในนรกอย่างหนักหน่วงยาวนาน
บัดนี้เราเกิดมาในเพศภิกษุ ได้พบพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ
รู้ทั้งนรก รู้ทั้งผลกรรม รู้ทั้งทางพ้นทุกข์
เราจึงเตือนท่านด้วยเมตตาว่า
การเบียดเบียนพระตถาคตและพระสาวก
จะทำให้ท่านเผาตัวเองเหมือนคนโง่กระโจนเข้ากองไฟ
อย่าสำคัญผิดคิดว่าบาปไม่ให้ผลเลย
ผู้สั่งสมบาป ย่อมโอดครวญอยู่นานแสนนาน 😔
มารได้ฟังดังนั้น จิตก็หวั่นไหว เสียใจ ไม่อาจทนต่อไปได้
จึงหายตัวไปจากที่นั้นในทันที
มารหัชชชนียสูตร ว่าด้วยการคุกคามมาร จึงจบลงตรงนี้เอง 🌿✨
อ้างอิง พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
📌 พระพุทธเจ้ากกุสันธะ คือใคร?
พระพุทธเจ้ากกุสันธะ (กะ-กุ-สัน-ทะ)
เป็น พระพุทธเจ้าพระองค์แรกในภัทรกัปนี้
รวมทั้งหมด ๕ พระองค์ คือ
๑ กกุสันธะ
๒ โกนาคมนะ
๓ กัสสปะ
๔ โคตมะ (พระพุทธเจ้าปัจจุบัน)
๕ ศรีอริยเมตไตรย์ (ในอนาคต)