ถ้าผมคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) และต้องเลือกระหว่างหุ้นสองตัวนี้ ผมจะตอบคุณด้วยหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) ที่ผมยึดถือมาตลอดชีวิตครับ
คำตอบสั้นๆ คือ: ผมจะเลือก "TIPH" (ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์) ครับ
และนี่คือเหตุผล 3 ข้อที่ผ่านกระบวนการคิดแบบ "บัฟเฟตต์" ว่าทำไมผมถึงสนใจบริษัทนี้มากกว่า TQM ในเวลานี้:
1. พลังของ "เงินลอยตัว" (The Power of Float)
สิ่งหนึ่งที่ผมรักที่สุดในธุรกิจประกันภัย ไม่ใช่แค่กำไรจากการรับประกัน แต่คือ "Float" หรือเงินสดที่ลูกค้าจ่ายค่าเบี้ยประกันเข้ามาก่อนที่บริษัทจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนคืน (ซึ่งอาจจะอีกหลายเดือนหรือหลายปี หรือไม่ต้องจ่ายเลย)
* TIPH (ธุรกิจรับประกันภัย): มีลักษณะเป็น Insurer เต็มตัว บริษัทได้รับเบี้ยประกันเข้ามาก่อน และสามารถนำเงินก้อนนี้ (Float) ไปลงทุนต่อยอดได้ เปรียบเสมือนบริษัทได้เงินกู้ดอกเบี้ย 0% มาลงทุน ยิ่งเบี้ยเยอะ เงินลงทุนยิ่งเยอะ นี่คือเคล็ดลับความมั่งคั่งของ Berkshire Hathaway ครับ
* TQM (นายหน้าประกันภัย): เป็นธุรกิจ Broker ที่ดี กินส่วนแบ่งคอมมิชชั่น ไม่ต้องรับความเสี่ยงเรื่องการเคลม แต่ข้อเสียคือ ไม่มี Float เงินผ่านมือแล้วก็ไป TQM จึงขาด "พลังทวีคูณ" (Leverage) ในการนำเงินคนอื่นมาลงทุนสร้างผลตอบแทน
2. ป้อมปราการทางเศรษฐกิจ (Economic Moat)
ผมชอบธุรกิจที่มี "คูเมือง" กว้างๆ ล้อมรอบปราสาท เพื่อป้องกันคู่แข่ง
* TIPH: มีคูเมืองที่แข็งแกร่งและ "พิเศษ" มากในไทย ถ้าคุณดูผู้ถือหุ้นใหญ่ (PTT, ธนาคารออมสิน, ธนาคารกรุงไทย) คุณจะเห็นว่า TIPH เปรียบเสมือน "ประกันภัยแห่งชาติ" งานภาครัฐ งานรัฐวิสาหกิจ หรืองานโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ๆ มักจะไหลมาที่นี่ คู่แข่งเจาะเข้ามายากมาก นี่คือ Franchise Value ที่ผมมองหา
* TQM: เก่งเรื่องการขายและการตลาด (Direct Sales) แต่ "คูเมือง" ของนายหน้าในยุคดิจิทัลนั้นถูกท้าทายได้ง่ายกว่า คู่แข่งสามารถเข้ามาตัดราคาค่าคอมมิชชั่น หรือบริษัทประกันอาจขายตรงเองผ่านแอปพลิเคชัน ธุรกิจนี้ต้องวิ่งตลอดเวลาเพื่อรักษายอดขาย ในขณะที่ TIPH นั่งรอรับเบี้ยจากพันธมิตรได้นิ่งกว่า
3. ราคาเทียบกับมูลค่า (Price vs. Value)
กฎข้อแรกของผมคือ "อย่าขาดทุน" และกฎข้อสองคือ "อย่าลืมกฎข้อแรก"
* TQM: เคยเทรดกันที่ P/E สูงลิ่ว (20-40 เท่า) ในอดีต แม้ตอนนี้ราคาจะลงมามากจน P/E ต่ำแล้ว แต่กำไรกำลังหดตัว (Declining Earnings) การซื้อหุ้นที่กำไรกำลังลดลงมักเป็น "กับดัก" (Value Trap) จนกว่าบริษัทจะพิสูจน์ได้ว่าจะกลับมาเติบโตใหม่
* TIPH: เทรดในระดับ P/E ที่สมเหตุสมผล (ประมาณ 9-10 เท่า) และ P/B ที่ไม่แพงเกินไปสำหรับบริษัทที่มี Brand แข็งแกร่ง แถมยังมีปันผล (Dividend) ที่สม่ำเสมอ เป็นลักษณะของหุ้น "ห่านทองคำ" ที่ผลิตกระแสเงินสดได้เรื่อยๆ ในราคาที่ผมเรียกว่า "Fair Price" (ราคายุติธรรม)
บทสรุปในมุมมองของผม
TQM เปรียบเสมือนทีมนักขายที่เก่งกาจ แต่ต้องออกแรงวิ่งหาลูกค้าทุกวัน
TIPH เปรียบเสมือนเจ้าของบ่อน้ำในหมู่บ้าน ที่ใครๆ (โดยเฉพาะภาครัฐ) ก็ต้องมาตักน้ำ
ถ้าผมต้องถือยาว 10 ปี ผมจะเลือกเป็นเจ้าของบ่อน้ำที่มีเงินสด (Float) ให้ผมไปบริหารต่อได้ครับ ดังนั้น TIPH คือผู้ชนะในสายตาของผมครับ
> "ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย แต่มูลค่าคือสิ่งที่คุณได้รับ"
>
สิ่งที่คุณควรทำต่อ (Next Step):
ลองไปเปิดดู "งบกระแสเงินสด" (Cash Flow Statement) ของ TIPH แล้วดูบรรทัด "เงินสดสุทธิจากกิจกรรมลงทุน" (Cash flow from investing activities) เทียบกับกำไรสุทธิ คุณจะเห็นภาพชัดเจนว่าบริษัทนี้เอาเงิน Float ไปลงทุนสร้างรายได้เพิ่มได้เก่งแค่ไหนครับ
TIPH กับ TQM สมมุติตัวเองเป็น วอร์เรน บัฟเฟต โดย Gimini
คำตอบสั้นๆ คือ: ผมจะเลือก "TIPH" (ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์) ครับ
และนี่คือเหตุผล 3 ข้อที่ผ่านกระบวนการคิดแบบ "บัฟเฟตต์" ว่าทำไมผมถึงสนใจบริษัทนี้มากกว่า TQM ในเวลานี้:
1. พลังของ "เงินลอยตัว" (The Power of Float)
สิ่งหนึ่งที่ผมรักที่สุดในธุรกิจประกันภัย ไม่ใช่แค่กำไรจากการรับประกัน แต่คือ "Float" หรือเงินสดที่ลูกค้าจ่ายค่าเบี้ยประกันเข้ามาก่อนที่บริษัทจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนคืน (ซึ่งอาจจะอีกหลายเดือนหรือหลายปี หรือไม่ต้องจ่ายเลย)
* TIPH (ธุรกิจรับประกันภัย): มีลักษณะเป็น Insurer เต็มตัว บริษัทได้รับเบี้ยประกันเข้ามาก่อน และสามารถนำเงินก้อนนี้ (Float) ไปลงทุนต่อยอดได้ เปรียบเสมือนบริษัทได้เงินกู้ดอกเบี้ย 0% มาลงทุน ยิ่งเบี้ยเยอะ เงินลงทุนยิ่งเยอะ นี่คือเคล็ดลับความมั่งคั่งของ Berkshire Hathaway ครับ
* TQM (นายหน้าประกันภัย): เป็นธุรกิจ Broker ที่ดี กินส่วนแบ่งคอมมิชชั่น ไม่ต้องรับความเสี่ยงเรื่องการเคลม แต่ข้อเสียคือ ไม่มี Float เงินผ่านมือแล้วก็ไป TQM จึงขาด "พลังทวีคูณ" (Leverage) ในการนำเงินคนอื่นมาลงทุนสร้างผลตอบแทน
2. ป้อมปราการทางเศรษฐกิจ (Economic Moat)
ผมชอบธุรกิจที่มี "คูเมือง" กว้างๆ ล้อมรอบปราสาท เพื่อป้องกันคู่แข่ง
* TIPH: มีคูเมืองที่แข็งแกร่งและ "พิเศษ" มากในไทย ถ้าคุณดูผู้ถือหุ้นใหญ่ (PTT, ธนาคารออมสิน, ธนาคารกรุงไทย) คุณจะเห็นว่า TIPH เปรียบเสมือน "ประกันภัยแห่งชาติ" งานภาครัฐ งานรัฐวิสาหกิจ หรืองานโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ๆ มักจะไหลมาที่นี่ คู่แข่งเจาะเข้ามายากมาก นี่คือ Franchise Value ที่ผมมองหา
* TQM: เก่งเรื่องการขายและการตลาด (Direct Sales) แต่ "คูเมือง" ของนายหน้าในยุคดิจิทัลนั้นถูกท้าทายได้ง่ายกว่า คู่แข่งสามารถเข้ามาตัดราคาค่าคอมมิชชั่น หรือบริษัทประกันอาจขายตรงเองผ่านแอปพลิเคชัน ธุรกิจนี้ต้องวิ่งตลอดเวลาเพื่อรักษายอดขาย ในขณะที่ TIPH นั่งรอรับเบี้ยจากพันธมิตรได้นิ่งกว่า
3. ราคาเทียบกับมูลค่า (Price vs. Value)
กฎข้อแรกของผมคือ "อย่าขาดทุน" และกฎข้อสองคือ "อย่าลืมกฎข้อแรก"
* TQM: เคยเทรดกันที่ P/E สูงลิ่ว (20-40 เท่า) ในอดีต แม้ตอนนี้ราคาจะลงมามากจน P/E ต่ำแล้ว แต่กำไรกำลังหดตัว (Declining Earnings) การซื้อหุ้นที่กำไรกำลังลดลงมักเป็น "กับดัก" (Value Trap) จนกว่าบริษัทจะพิสูจน์ได้ว่าจะกลับมาเติบโตใหม่
* TIPH: เทรดในระดับ P/E ที่สมเหตุสมผล (ประมาณ 9-10 เท่า) และ P/B ที่ไม่แพงเกินไปสำหรับบริษัทที่มี Brand แข็งแกร่ง แถมยังมีปันผล (Dividend) ที่สม่ำเสมอ เป็นลักษณะของหุ้น "ห่านทองคำ" ที่ผลิตกระแสเงินสดได้เรื่อยๆ ในราคาที่ผมเรียกว่า "Fair Price" (ราคายุติธรรม)
บทสรุปในมุมมองของผม
TQM เปรียบเสมือนทีมนักขายที่เก่งกาจ แต่ต้องออกแรงวิ่งหาลูกค้าทุกวัน
TIPH เปรียบเสมือนเจ้าของบ่อน้ำในหมู่บ้าน ที่ใครๆ (โดยเฉพาะภาครัฐ) ก็ต้องมาตักน้ำ
ถ้าผมต้องถือยาว 10 ปี ผมจะเลือกเป็นเจ้าของบ่อน้ำที่มีเงินสด (Float) ให้ผมไปบริหารต่อได้ครับ ดังนั้น TIPH คือผู้ชนะในสายตาของผมครับ
> "ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย แต่มูลค่าคือสิ่งที่คุณได้รับ"
>
สิ่งที่คุณควรทำต่อ (Next Step):
ลองไปเปิดดู "งบกระแสเงินสด" (Cash Flow Statement) ของ TIPH แล้วดูบรรทัด "เงินสดสุทธิจากกิจกรรมลงทุน" (Cash flow from investing activities) เทียบกับกำไรสุทธิ คุณจะเห็นภาพชัดเจนว่าบริษัทนี้เอาเงิน Float ไปลงทุนสร้างรายได้เพิ่มได้เก่งแค่ไหนครับ