ทศวรรษแห่งการฟื้นฟู ค.ศ 1920-1929

สงครามโลกครั้งที่ 1 ผ่านพ้นไป นับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่โลกเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นซึ่งแทบไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามมีเศรษฐกิจที่โตวันโตคืน

ส่วนประเทศในยุโรปต่างสูญเสียแรงงานมหาศาลไปกับสงครามทำให้ภาคธุรกิจฟื้นฟูด้วยความยากลำบาก ซึ่งเปิดโอกาสให้นักธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา ขยายการลงทุนเข้าไปในยุโรปได้มากขึ้น

ยุคนี้คือช่วงเวลาของอุตสาหกรรมรถยนต์ บริษัทรถยนต์ทั้งฝั่งสหรัฐอเมริกาและยุโรปต่างแข่งขันกันออกแบบรุ่นใหม่ๆ ส่งผลให้รถยนต์มีราคาถูกลง และมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มมากขึ้น

โดยรถยนต์ Ford รุ่น Model A ที่ออกจำหน่ายในปี ค.ศ. 1928 เป็นรถยนต์รุ่นแรกที่มีกระจกหน้ารถ

แต่อย่างไรก็ตาม ระบบสื่อสารอย่างโทรศัพท์และโทรเลขได้เริ่มแพร่หลายไปทั่ว ทําให้บริษัทด้านโทรคมนาคมของสหรัฐอเมริกาอย่าง American Telephone and Telegraph (AT&T) กลายเป็นบริษัทที่ 2 ของโลกที่มีมูลค่า Market Capitalization ทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามหลังบริษัท U.S. Steel Corporation ซึ่งยังคงเป็นบริษัทที่มีมูลค่า มากที่สุดในโลกในขณะนั้น

ในขณะที่การค้นพบทางการแพทย์ ก็นําการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่มวลมนุษย์ ทั้งการผลิตอินซูลินสําหรับรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในปี ค.ศ. 1923 และการค้นพบโดยบังเอิญของนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เซอร์อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง ในปี ค.ศ. 1929 ว่ายา Penicillin มีความสามารถในการฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย

การค้นพบนี้นับเป็นรากฐานของการพัฒนายาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับล้านได้ในเวลาต่อมา

ฝั่งญี่ปุ่น ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจทําให้แสนยานุภาพทางการทหารเพิ่มพูนจนสามารถยึดครองคาบสมุทรเกาหลี และเริ่มวางแผนที่จะบุกรุกแมนจูเรียของจีน ซึ่งจีนในขณะนั้นมีการเมืองที่อ่อนแอ และกําลังวุ่นวายอยู่กับปัญหาภายใน
ประเทศในขณะที่ประเทศในยุโรปต่างฟื้นฟูประเทศ

ประเทศที่น่าสงสารคือผู้แพ้สงครามอย่างเยอรมัน
จากเดิมที่เศรษฐกิจบอบช้ำจากสงครามอยู่แล้ว ยังจำเป็นต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่อังกฤษและฝรั่งเศสเป็นมูลค่ามหาศาล รัฐบาลเยอรมันไม่มีทางเลือกจึงจำต้องใช้นโยบายพิมพ์เงินขนานใหญ่เพื่อนำมาชดใช้ เมื่อมีเงินมหาศาลเข้าสู่ระบบ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง” (Hyperinflation) ระหว่างปี ค.ศ. 1921 - ค.ศ. 1923

ภาวะเงินเฟ้อในเยอรมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ราคาของไข่ 10 ฟอง จาก 3.9 มาร์คเยอรมันในช่วงต้นปี ค.ศ. 1920 เพิ่มไปถึง 3,000,000,000,000 มาร์คในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1923
ความวุ่นวายนี้ ทำให้ประชาชนต่างตัดสินใจที่จะนำสิ่งของมาแลกกันเองจนท้ายที่สุด รัฐบาลต้องตั้งสกุลเงินใหม่ ชื่อ Rentenmark โดย 1,000,000,000,000 มาร์คเดิม เท่ากับ 1 Rentenmark ความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสให้พรรคนาซีก้าวขึ้นมาปลุกปั่น
และเรียกเสียงสนับสนุนจากประชาชนในยุคนั้นได้สำเร็จ ซึ่งสิ่งนี้จะเปลี่ยนบทบาทของเยอรมนีในช่วงเวลาต่อมา

บริษัทระดับโลกที่ก่อตั้งในช่วงทศวรรษนี้ ประกอบไปด้วย Mazda (ชื่อเดิม Toyo Cork Kogyo) ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1920 บริษัทผลิตเครื่องมือสำหรับใช้ในโรงงานสัญชาติญี่ปุ่น ที่พัฒนามาผลิตรถยนต์สามล้อ

Walt Disney ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1923 จากนักวาดการ์ตูนผู้ให้กำเนิดมิกกี้เมาส์ กลายเป็นผู้บุกเบิกวงการแอนิเมชันของสหรัฐอเมริกา

Mercedes-Benz ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1926
ปัญหาจากภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ ทำให้สองบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน Mercedes และ Benz ต้องควบรวมกัน
Volvo ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1927 บริษัทรถยนต์สัญชาติสวีเดน ถือกําเนิดมาจากบริษัทผลิตลูกปืน
Unilever ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1929 เพื่อต่อสู้กับสินค้าอุปโภคบริโภคของบริษัทจากฝั่งสหรัฐอเมริกา จึงเกิดการควบรวมกันของบริษัทในยุโรป คือบริษัทผลิตสบู่สัญชาติอังกฤษและบริษัทผลิตเนยเทียมสัญชาติดัตช์

ความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุข
ทำให้ในปี ค.ศ. 1927 ประชากรโลกมีจำนวนเกิน 2 พันล้านคนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

โดยประเทศที่มีประชากรมากที่สุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1929 ได้แก่
สาธารณรัฐจีน 487.3 ล้านคน
อินเดีย 333.1 ล้านคน
สหภาพโซเวียต 172.0 ล้านคน
สหรัฐอเมริกา 140.4 ล้านคน
สาธารณรัฐไวมาร์ (เยอรมนีปัจจุบัน) 64.7 ล้านคน
ประเทศที่มี GDP สูงสุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1929 เมื่อเทียบเป็นมูลค่าเงินในปี ค.ศ. 2018 ได้แก่
สหรัฐอเมริกา 51.0 ล้านล้านบาท
สาธารณรัฐจีน 16.6 ล้านล้านบาท
สาธารณรัฐไวมาร์ (เยอรมนีปัจจุบัน) 15.9 ล้านล้านบาท
สหราชอาณาจักร 15.2 ล้านล้านบาท
อินเดีย 14.7 ล้านล้านบาท

จักรวรรดิอังกฤษเริ่มสูญเสียความมั่นคง
ต้องเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจจากการต้องใช้หนี้ที่กู้ยืมสหรัฐอเมริกา มาใช้จ่ายในช่วงสงคราม
จนนำมาสู่การสูญเสียอำนาจในการควบคุมดินแดนหลายแห่งที่เคยเป็นรัฐอารักขา ทั้งอียิปต์และไอร์แลนด์

สวนทางกับสหรัฐอเมริกา ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็ทําให้นครนิวยอร์กมีโครงการก่อสร้างตึกระฟ้ามากมาย ทั้งตึกไครสเลอร์และตึกเอ็มไพร์สเตท ซึ่งหากแล้วเสร็จก็จะมีความสูง มากกว่าอาคารที่สูงที่สุดในโลกในเวลานั้น ซึ่งยังคงเป็น อาคาร Woolworth ด้วยความสูง 241 เมตร
ความคึกคักทําให้นิวยอร์กแซงหน้ากรุงลอนดอนขึ้นเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี ค.ศ. 1925

ด้วยจํานวนประชากร 7.77 ล้านคนและตลาดหุ้นวอลล์สตรีตกลายเป็นตลาดที่มี Market Capitalization สูงที่สุดในโลก โดยดัชนีตลาดหุ้นทะยานสู่จุดสูงสุดที่ 381 จุดในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1929 ทุกอย่างเหมือนจะไปได้สวยสําหรับประเทศแห่งนี้ ประเทศแห่งเสรีภาพนามว่า สหรัฐอเมริกา

ในตอนนั้นคงไม่มีใครคาดคิดว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา..เมื่อความโลภเข้าครอบงํา ผู้คนไม่ว่ายากดีมีจน ต่างนําเงินเก็บของตนมา ลงทุนในตลาดหุ้น
หลายคนถึงขั้นกู้ยืมเพื่อนําเงินมาลงทุน แต่สุดท้ายผลประกอบการของบริษัทกลับทําได้ไม่ดีดังที่ตลาดคาดหวัง

ทหารสหรัฐอเมริกา ที่ปลดประจําการจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเข้ามาสู่ตลาดแรงงาน
ส่งผลให้มีแรงงานล้นตลาด จนทําให้ค่าแรงลดต่ำ ลง ซ้ำร้ายภาคเกษตรยังประสบปัญหาภัยแล้ง เกษตรกรขาดรายได้ ทําให้การบริโภคหดตัว

ทั้งหมดล้วนทําให้ผลประกอบการของบริษัทย่ำแย่ จนบริษัทห้างร้านต่างพากันปลดพนักงาน ผู้คนก็ยิ่งว่างงานเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่หนี้เสียของธนาคารยังคงอยู่

เมื่อทุกอย่างมารวมกัน ก็นําเข้าสู่ภาวะฟองสบู่แตก
ตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวลดลงจนหนักหนาที่สุดในวันอังคารที่ 29 ตุลาคม 1929 หรือ “Black Tuesday
ซึ่งมีการซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 16 ล้านหุ้น เหตุการณ์นี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจตกต่ําที่หนักหนา และเป็นวงกว้างที่สุดตั้งแต่มนุษย์เคยพบเจอ

และเรื่องนี้นํามาสู่การเปลี่ยนแปลงไปทั่วทั้งโลก
ไม่เว้นแม้แต่ราชอาณาจักรสยาม..ช่วงหดหู่นี้กินเวลายาวนานถึง 10 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929-1939 และมันได้ถูกขนานนามว่า “The Great Depression”..
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่