
การพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงของหุ้นเทคโนโลยีและตลาดหุ้นอเมริกาในช่วงเร็ว ๆ นี้ทำให้เกิดความวิตกกังวลกันว่าหุ้นและตลาดกำลังเกิด “ฟองสบู่” และในไม่ช้าก็จะ “แตก” และตลาดหุ้นก็จะเกิด “วิกฤติ” ดังนั้น เราควรมาดูกันหน่อยว่าตลาดหุ้นในรอบนี้จะเกิดวิกฤติหรือไม่?
มองจากประวัติศาสตร์ของวิกฤติตลาดหุ้นผมพบว่า ก่อนการเกิดวิกฤตินั้น ภาวะของตลาดมักจะมี 2 แบบที่อยู่กันคนละขั้ว คือแบบแรก ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจรุ่งเรืองสดใสมากและนำโดยภาคเศรษฐกิจ “ยุคใหม่” ที่จะก่อให้เกิดความรุ่งเรืองและเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นมากเกินไปและเกินพื้นฐานที่ควรจะเป็นมาก และเมื่อถึงจุดหนึ่ง คนก็เริ่มตระหนักและเทขายหุ้นจนกลายเป็นวิกฤติ
และแบบที่สองก็คือ เศรษฐกิจและตลาดหุ้นก็ปกติ แต่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น อาจจะเกิดจากการกระทำของรัฐหรือองค์กรหรือสถาบัน หรือเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจมหภาค ที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำหรือสภาพคล่องทางงการเงินมีปัญหารุนแรงมาก จนทำให้คนขาดความมั่นใจเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง และนั่นทำให้ตลาดหุ้นตกต่ำจนเป็นวิกฤติ
เริ่มจากวิกฤติครั้งใหญ่ของโลกหรือ “The Great Depression” ในปี 1929 ที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์ตกลงมาจาก 380 จุดเหลือเพียง 43 จุด ในปี 1932 หรือตกลงมาประมาณ 90% ภายในเวลา 3 ปี และใช้เวลาประมาณ 25 ปี ก่อนที่ดัชนีจะกลับมาเท่าเดิม และในช่วงที่เลวร้ายที่สุดนั้น คนตกงานมากกว่า 20% ของคนทำงานทั้งหมด
แต่ก่อนวันวิกฤตินั้น เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของอเมริกากำลังรุ่งเรืองสุดยอด สหรัฐกำลังกลายเป็นประเทศ “มหาอำนาจ” ของโลกเพราะเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างแรง อุตสาหกรรมกำลังเติบโตและแซงประเทศอื่น ๆ อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศสและประเทศในยุโรปที่เป็นมหาอำนาจเดิม นอกจากนั้น อเมริกากำลังก้าวหน้าและนำในด้านของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในโลก อานิสงค์ส่วนหนึ่งเพราะยุโรปต่างก็บอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ในขณะที่อเมริกาสงบและทำแต่เรื่องค้าขายกับประเทศเหล่านั้นเป็นหลัก
อุตสาหกรรมที่กำลังรุ่งเรืองที่สุดอย่างหนึ่งก็คือรถยนต์ซึ่งกำลังเติบโตมหาศาลเพราะคนอเมริกันเริ่มใช้รถยนต์กันมากขึ้น ถนนหนทางที่เคยมีแต่รถม้าเริ่มเต็มไปด้วยรถยนต์ของบริษัท General Motor หรือ GM ที่กลายเป็นผู้ชนะ หุ้นของ GM ที่เคยมีราคา 9.6 เหรียญในต้นทศวรรษปรับตัวขึ้นไปเป็น 97.9 เหรียญหรือปรับขึ้น 10 เท่าตอนสิ้นปี 1928
แต่ที่โดดเด่นที่สุดในช่วงเวลาเดียวกันคือหุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี “เปลี่ยนโลก” คือหุ้น RCA หรือ Radio Corporation of America บริษัทเจ้าของสิทธิบัตรวิทยุที่ขายทั้งเครื่องรับวิทยุและเป็นเจ้าของสถานีวิทยุกระจายเสียงที่เป็นเครื่องมือสื่อสารใหม่ที่จะ “เปลี่ยนโลก” ไปอย่างสิ้นเชิง
RCA กลายเป็น “หุ้น 100 เด้ง” และในช่วงปี 1926 ถึง 1929ก่อนวิกฤติ 2-3 เดือน ราคาก็ขึ้นจาก 43 เหรียญเป็น 568 เหรียญ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในเวลา 3-4 ปี ซึ่งช่วงเวลานั้นก็เป็นยุคแห่งการเก็งกำไรในตลาดหุ้นอย่าง “บ้าคลั่ง” ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยนักลงทุนส่วนบุคคลที่ซื้อหุ้นด้วยมาร์จิ้นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เช่นเดียวกับภาวะตลาดหุ้นที่ร้อนแรงต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้นจาก 68.4 จุดในปี1921 กลายเป็น380.3 ในปี 1929 หรือเพิ่มขึ้น 456% ในเวลา 8 ปี หรือให้ผลตอบแทนทบต้นถึงปีละ 22.4% เป็น “ยุคทอง” ของการลงทุนในตลาดหุ้น ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นไปสูงและแพงมาก คิดเป็นค่า PE น่าจะประมาณ 30-40 เท่าขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้น ถึงแม้ว่าจะมีคนกลัวกันว่าหุ้นอาจจะตกลงมาแรงเป็น “วิกฤติ” แต่ “เซียน” ซึ่งรวมถึงนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังอย่าง Irving Fisher ในช่วงก่อนวิกฤติเพียง 2-3 เดือนกลับ “ยอมรับ” ว่า ตลาดหุ้นคราวนี้ “ไม่เหมือนเดิม” และ“หุ้นก็จะราคาสูงแบบนี้อย่างถาวร” แล้ว
วิกฤติใหญ่ครั้งที่ 2 ก็คือ วิกฤติในปี 1973-74 ซึ่งเป็นวิกฤติแบบที่ 2 คือ เศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก อานิสงค์จากวิกฤติน้ำมันที่เกิดขึ้นเนื่องจากประเทศกลุ่ม OPEC ซึ่งควบคุมการผลิตน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลกประกาศแซงชั่นไม่ขายน้ำมันให้อเมริกาที่หนุนอิสราเอลในสงคราม Yom Kippur ระหว่างชาติอาหรับกับอิสราเอล ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 300% และส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อและเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลกที่เรียกว่า “Stagflation”
อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของเฟดเพิ่มขึ้นสูงลิ่วกว่า 10% จากระดับ 3-4% ก่อนหน้านั้น ซึ่งทำให้สภาพคล่องทางการเงินในตลาดลดลงไปมากและทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำลงไปประมาณกว่า 40% ในเวลา 2 ปี และใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปี กว่าดัชนีจะกลับมาที่เดิม
วิกฤติครั้งที่ 3 คือ วิกฤติ “ดอทคอม” ในปี 2000 ที่หุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัล-อินเตอร์เน็ต เจริญเติบโตขึ้นในโลก อินเตอร์เน็ตที่แต่เดิมเป็นของรัฐบาลนั้น กลายเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปสามารถใช้ได้ และหลังจากนั้น ผลิตภัณฑ์สารพัดชนิดก็เกิดขึ้น โลกทั้งโลกเชื่อมต่อกันได้ภายในเสี้ยววินาที “โลกใหม่” กำลังเกิดขึ้น ชีวิตของคนทั่วโลกจะ “ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” และบริษัทเทคโนโลยีที่เป็นผู้นำอย่างเช่น อะมาซอน จะครองโลก ราคาหุ้นเทคโนโลยีทั้งหลายวิ่งขึ้น “ทะลุฟ้า” แม้ว่าจำนวนมากยังไม่มีกำไรและมีรายได้น้อยมาก ขอให้มีชื่อต่อท้ายว่า “ดอทคอม” ก็พอ
ดัชนีหุ้น Nasdaq ปรับตัวขึ้นจาก 1,614 จุดในช่วงปลายปี 1998 ขึ้นเป็น 4,963 ในช่วงต้นปี 2000 หรือเพิ่มขึ้น 207% ในเวลาเพียง 1 ปี 3 เดือน ก่อนที่จะเกิดวิกฤติและดัชนีตกลงมาเหลือเพียง 1,687 จุดในปี 2001 หรือลดลงถึง 66% ในเวลา 1 ปี 6 เดือน โดยที่หุ้นจำนวนมากรวมถึงหุ้นอะมาซอนตกลงมากว่า 90% และหุ้นจำนวนที่มากกว่ากลายเป็น 0
เหตุผลของวิกฤติก็คือ ราคาหุ้นสูงเกินไป และแม้จะมีสตอรี่ว่ารายได้และกำไรจะโตแบบระเบิดเมื่อมีผู้ใช้มากขึ้นและมี “Network Effect” ที่สามารถยึดกุมลูกค้าไว้ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป รายได้และกำไรกลับมาไม่ทัน ทำให้คนคิดว่าหุ้นแพงเกินไปมาก ตลาดโดยรวมมีค่า PE สูงมากระดับน่าจะเกิน 40 เท่า
นักลงทุนก็ขาดความมั่นใจเทขายหุ้นทำให้หุ้นตกลงมาแรงทำให้คนอื่นที่ต่างก็เป็นนักเก็งกำไรขายตาม กลายเป็น “Snowball Effect” หรือเหมือน “หิมะถล่ม” และนี่ก็เป็นกรณีที่สภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่ “ดีเกินไป” ที่ก่อให้เกิดวิกฤติแบบที่ 1
วิกฤติสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือ วิกฤติ “ซับไพร์ม” ในปี 2008 ที่เกิดขึ้นจาก “ระบบ” และเศรษฐกิจที่ผิดพลาด ไม่ใช่ดัชนีตลาดที่สูงหรือเศรษฐกิจที่ดีเกินไป หรือเป็นวิกฤติแบบที่ 2
ก่อนวิกฤติ 2-3 ปี เศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้มีอะไรโดดเด่นนัก ตลาดหุ้นวัดโดยดัชนี S&P ก็ทรง ๆ มาเป็นปี ๆ แล้ว ที่ประมาณ1,300-1,400 จุด เงินในตลาดส่วนใหญ่ก็เน้นไปที่การลงทุนในตลาดเงินและตลาดพันธบัตรเป็นหลัก แต่แล้วในวันหนึ่ง ก็มี “นวัตกรรมการเงิน” ใหม่เกิดขึ้นเรียกว่า CDO (Credit Default Swaps) ที่สามารถแปลงหนี้ลูกหนี้เงินกู้ซื้อบ้านที่มีคุณภาพต่ำ (Sub Prime) ให้เป็นตราสารการเงินที่มี “คุณภาพสูง” เอาไปขายให้กับนักลงทุนสถาบันรวมถึงธนาคารต่าง ๆ
ตราสารได้รับการยอมรับและมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก ลูกหนี้ที่ไม่มีศักยภาพในการใช้หนี้ต่างก็เข้ามาซื้อบ้านเพราะแบ้งค์ก็อยากปล่อยกู้เพราะสามารถนำไปขายต่อเพื่อทำเป็น CDO ได้ นั่นทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟูและราคาบ้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ส่งผลให้คนซื้อบ้านมีกำไรทั้ง ๆ ที่ผ่อนต่อไม่ไหว
แต่แล้ว ในที่สุด อัตราการเป็นหนี้เสียก็เพิ่มขึ้นจนระบบและการทำ CDO รับไม่ไหว ราคาของตราสารตกลงมาจนทำให้สถาบันการเงินที่เข้ามาลงทุนหรือเกี่ยวข้องด้วยล้มละลายเป็นจำนวนมาก ผลกระทบส่งถึงเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงอย่างแรงและทำให้ตลาดหุ้นวิกฤติตามมา
ดัชนี S&P 500 ร่วงลงจากประมาณ 1,300 จุดในช่วงเดือนสิงหาคม 2008 เหลือเพียง 750 จุดในเดือนมีนาคม 2009 หรือลดลง 42% ในเวลาเพียง 7 เดือน อานิสงค์จากการที่เงินหรือสภาพคล่องในระบบที่หายไปทันทีจากการ “ล่มสลาย” ของสถาบันการเงินจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การทำ QE หรือการเพิ่มสภาพคล่องด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลของรัฐบาลในเวลาต่อมา ได้ทำให้ดอกเบี้ยลดลงมาเหลือใกล้ 0% และทำให้หุ้นฟื้นขึ้นอย่างรวดเร็วและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน
ที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาสูงสุดในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งนำโดยหุ้นไฮเทคที่ร้อนแรงเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการปรากฎขึ้นของ AI ที่มีความฉลาด “เหนือมนุษย์” และกำลังจะมา “เปลี่ยนโลก” อย่างที่เราจะไม่เคยเห็นในอนาคตอันใกล้ นั่นคือเรื่องแรก
ประเด็นที่ 2 ก็คือ ดัชนี Nasdaq ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นมา 100% แล้วและทำให้ค่า PE สูงกว่า 30 เท่า ตลาดหุ้นเองก็ร้อนแรงมากและเต็มไปด้วยนักลงทุนส่วนบุคคลที่ใช้มาร์จินในการลงทุนน่าจะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อ 3 ก็คือ หุ้นที่ร้อนแรงมากที่สุดตัวหนึ่งก็คือ TESLA ซึ่งผลิตรถไฟฟ้าที่กำลังขับเคลื่อนบนท้องถนนด้วยตนเอง คล้าย ๆ กับหุ้น GM ในปี 1929 เช่นเดียวกับหุ้น NVIDIA ที่ร้อนยิ่งกว่าเพราะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนโลกใหม่คล้ายกับหุ้น RCA และผมคงไม่ต้องพูดว่าหุ้นทั้งสองตัวนั้นเป็นหุ้นกี่เด้งไปแล้ว?
แต่ “เซียน” จำนวนมากก็บอกว่า “ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” เพราะบริษัท “เทคนางฟ้า” ทั้ง 7 มีกำไรรองรับเพียงพอ คล้าย ๆ กับพูดว่า หุ้นไม่ได้แพงและ “ราคาหุ้นก็คงขึ้นมาอย่างถาวรแล้ว” ไม่ตกลงไปแบบวิกฤติเดิมหรอก ไม่ว่าจะเป็นปี 1929 หรือ 2000
แต่ผมเองก็รู้สึก “หนาว” เพราะคำว่า “ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม”ในความคิดของผมกลับเป็นว่า เพราะครั้งนี้เรายังมีเรื่องการ “เปลี่ยนแปลงภาษีศุลกากรครั้งใหญ่” ที่อาจจะเป็นเหตุของวิกฤติแบบที่ 2 ที่ยังไม่ค่อยมีคนพูดถึงด้วย
22 พ.ย 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อะไรเอ่ย… มาก่อนวิกฤติตลาดหุ้น : โลกในมุมมองของ Value Investor โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
มองจากประวัติศาสตร์ของวิกฤติตลาดหุ้นผมพบว่า ก่อนการเกิดวิกฤตินั้น ภาวะของตลาดมักจะมี 2 แบบที่อยู่กันคนละขั้ว คือแบบแรก ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจรุ่งเรืองสดใสมากและนำโดยภาคเศรษฐกิจ “ยุคใหม่” ที่จะก่อให้เกิดความรุ่งเรืองและเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นมากเกินไปและเกินพื้นฐานที่ควรจะเป็นมาก และเมื่อถึงจุดหนึ่ง คนก็เริ่มตระหนักและเทขายหุ้นจนกลายเป็นวิกฤติ
และแบบที่สองก็คือ เศรษฐกิจและตลาดหุ้นก็ปกติ แต่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น อาจจะเกิดจากการกระทำของรัฐหรือองค์กรหรือสถาบัน หรือเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจมหภาค ที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำหรือสภาพคล่องทางงการเงินมีปัญหารุนแรงมาก จนทำให้คนขาดความมั่นใจเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง และนั่นทำให้ตลาดหุ้นตกต่ำจนเป็นวิกฤติ
เริ่มจากวิกฤติครั้งใหญ่ของโลกหรือ “The Great Depression” ในปี 1929 ที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์ตกลงมาจาก 380 จุดเหลือเพียง 43 จุด ในปี 1932 หรือตกลงมาประมาณ 90% ภายในเวลา 3 ปี และใช้เวลาประมาณ 25 ปี ก่อนที่ดัชนีจะกลับมาเท่าเดิม และในช่วงที่เลวร้ายที่สุดนั้น คนตกงานมากกว่า 20% ของคนทำงานทั้งหมด
แต่ก่อนวันวิกฤตินั้น เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของอเมริกากำลังรุ่งเรืองสุดยอด สหรัฐกำลังกลายเป็นประเทศ “มหาอำนาจ” ของโลกเพราะเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างแรง อุตสาหกรรมกำลังเติบโตและแซงประเทศอื่น ๆ อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศสและประเทศในยุโรปที่เป็นมหาอำนาจเดิม นอกจากนั้น อเมริกากำลังก้าวหน้าและนำในด้านของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในโลก อานิสงค์ส่วนหนึ่งเพราะยุโรปต่างก็บอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ในขณะที่อเมริกาสงบและทำแต่เรื่องค้าขายกับประเทศเหล่านั้นเป็นหลัก
อุตสาหกรรมที่กำลังรุ่งเรืองที่สุดอย่างหนึ่งก็คือรถยนต์ซึ่งกำลังเติบโตมหาศาลเพราะคนอเมริกันเริ่มใช้รถยนต์กันมากขึ้น ถนนหนทางที่เคยมีแต่รถม้าเริ่มเต็มไปด้วยรถยนต์ของบริษัท General Motor หรือ GM ที่กลายเป็นผู้ชนะ หุ้นของ GM ที่เคยมีราคา 9.6 เหรียญในต้นทศวรรษปรับตัวขึ้นไปเป็น 97.9 เหรียญหรือปรับขึ้น 10 เท่าตอนสิ้นปี 1928
แต่ที่โดดเด่นที่สุดในช่วงเวลาเดียวกันคือหุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี “เปลี่ยนโลก” คือหุ้น RCA หรือ Radio Corporation of America บริษัทเจ้าของสิทธิบัตรวิทยุที่ขายทั้งเครื่องรับวิทยุและเป็นเจ้าของสถานีวิทยุกระจายเสียงที่เป็นเครื่องมือสื่อสารใหม่ที่จะ “เปลี่ยนโลก” ไปอย่างสิ้นเชิง
RCA กลายเป็น “หุ้น 100 เด้ง” และในช่วงปี 1926 ถึง 1929ก่อนวิกฤติ 2-3 เดือน ราคาก็ขึ้นจาก 43 เหรียญเป็น 568 เหรียญ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในเวลา 3-4 ปี ซึ่งช่วงเวลานั้นก็เป็นยุคแห่งการเก็งกำไรในตลาดหุ้นอย่าง “บ้าคลั่ง” ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยนักลงทุนส่วนบุคคลที่ซื้อหุ้นด้วยมาร์จิ้นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เช่นเดียวกับภาวะตลาดหุ้นที่ร้อนแรงต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้นจาก 68.4 จุดในปี1921 กลายเป็น380.3 ในปี 1929 หรือเพิ่มขึ้น 456% ในเวลา 8 ปี หรือให้ผลตอบแทนทบต้นถึงปีละ 22.4% เป็น “ยุคทอง” ของการลงทุนในตลาดหุ้น ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นไปสูงและแพงมาก คิดเป็นค่า PE น่าจะประมาณ 30-40 เท่าขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้น ถึงแม้ว่าจะมีคนกลัวกันว่าหุ้นอาจจะตกลงมาแรงเป็น “วิกฤติ” แต่ “เซียน” ซึ่งรวมถึงนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังอย่าง Irving Fisher ในช่วงก่อนวิกฤติเพียง 2-3 เดือนกลับ “ยอมรับ” ว่า ตลาดหุ้นคราวนี้ “ไม่เหมือนเดิม” และ“หุ้นก็จะราคาสูงแบบนี้อย่างถาวร” แล้ว
วิกฤติใหญ่ครั้งที่ 2 ก็คือ วิกฤติในปี 1973-74 ซึ่งเป็นวิกฤติแบบที่ 2 คือ เศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก อานิสงค์จากวิกฤติน้ำมันที่เกิดขึ้นเนื่องจากประเทศกลุ่ม OPEC ซึ่งควบคุมการผลิตน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลกประกาศแซงชั่นไม่ขายน้ำมันให้อเมริกาที่หนุนอิสราเอลในสงคราม Yom Kippur ระหว่างชาติอาหรับกับอิสราเอล ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 300% และส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อและเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลกที่เรียกว่า “Stagflation”
อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของเฟดเพิ่มขึ้นสูงลิ่วกว่า 10% จากระดับ 3-4% ก่อนหน้านั้น ซึ่งทำให้สภาพคล่องทางการเงินในตลาดลดลงไปมากและทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำลงไปประมาณกว่า 40% ในเวลา 2 ปี และใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปี กว่าดัชนีจะกลับมาที่เดิม
วิกฤติครั้งที่ 3 คือ วิกฤติ “ดอทคอม” ในปี 2000 ที่หุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัล-อินเตอร์เน็ต เจริญเติบโตขึ้นในโลก อินเตอร์เน็ตที่แต่เดิมเป็นของรัฐบาลนั้น กลายเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปสามารถใช้ได้ และหลังจากนั้น ผลิตภัณฑ์สารพัดชนิดก็เกิดขึ้น โลกทั้งโลกเชื่อมต่อกันได้ภายในเสี้ยววินาที “โลกใหม่” กำลังเกิดขึ้น ชีวิตของคนทั่วโลกจะ “ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” และบริษัทเทคโนโลยีที่เป็นผู้นำอย่างเช่น อะมาซอน จะครองโลก ราคาหุ้นเทคโนโลยีทั้งหลายวิ่งขึ้น “ทะลุฟ้า” แม้ว่าจำนวนมากยังไม่มีกำไรและมีรายได้น้อยมาก ขอให้มีชื่อต่อท้ายว่า “ดอทคอม” ก็พอ
ดัชนีหุ้น Nasdaq ปรับตัวขึ้นจาก 1,614 จุดในช่วงปลายปี 1998 ขึ้นเป็น 4,963 ในช่วงต้นปี 2000 หรือเพิ่มขึ้น 207% ในเวลาเพียง 1 ปี 3 เดือน ก่อนที่จะเกิดวิกฤติและดัชนีตกลงมาเหลือเพียง 1,687 จุดในปี 2001 หรือลดลงถึง 66% ในเวลา 1 ปี 6 เดือน โดยที่หุ้นจำนวนมากรวมถึงหุ้นอะมาซอนตกลงมากว่า 90% และหุ้นจำนวนที่มากกว่ากลายเป็น 0
เหตุผลของวิกฤติก็คือ ราคาหุ้นสูงเกินไป และแม้จะมีสตอรี่ว่ารายได้และกำไรจะโตแบบระเบิดเมื่อมีผู้ใช้มากขึ้นและมี “Network Effect” ที่สามารถยึดกุมลูกค้าไว้ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป รายได้และกำไรกลับมาไม่ทัน ทำให้คนคิดว่าหุ้นแพงเกินไปมาก ตลาดโดยรวมมีค่า PE สูงมากระดับน่าจะเกิน 40 เท่า
นักลงทุนก็ขาดความมั่นใจเทขายหุ้นทำให้หุ้นตกลงมาแรงทำให้คนอื่นที่ต่างก็เป็นนักเก็งกำไรขายตาม กลายเป็น “Snowball Effect” หรือเหมือน “หิมะถล่ม” และนี่ก็เป็นกรณีที่สภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่ “ดีเกินไป” ที่ก่อให้เกิดวิกฤติแบบที่ 1
วิกฤติสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือ วิกฤติ “ซับไพร์ม” ในปี 2008 ที่เกิดขึ้นจาก “ระบบ” และเศรษฐกิจที่ผิดพลาด ไม่ใช่ดัชนีตลาดที่สูงหรือเศรษฐกิจที่ดีเกินไป หรือเป็นวิกฤติแบบที่ 2
ก่อนวิกฤติ 2-3 ปี เศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้มีอะไรโดดเด่นนัก ตลาดหุ้นวัดโดยดัชนี S&P ก็ทรง ๆ มาเป็นปี ๆ แล้ว ที่ประมาณ1,300-1,400 จุด เงินในตลาดส่วนใหญ่ก็เน้นไปที่การลงทุนในตลาดเงินและตลาดพันธบัตรเป็นหลัก แต่แล้วในวันหนึ่ง ก็มี “นวัตกรรมการเงิน” ใหม่เกิดขึ้นเรียกว่า CDO (Credit Default Swaps) ที่สามารถแปลงหนี้ลูกหนี้เงินกู้ซื้อบ้านที่มีคุณภาพต่ำ (Sub Prime) ให้เป็นตราสารการเงินที่มี “คุณภาพสูง” เอาไปขายให้กับนักลงทุนสถาบันรวมถึงธนาคารต่าง ๆ
ตราสารได้รับการยอมรับและมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก ลูกหนี้ที่ไม่มีศักยภาพในการใช้หนี้ต่างก็เข้ามาซื้อบ้านเพราะแบ้งค์ก็อยากปล่อยกู้เพราะสามารถนำไปขายต่อเพื่อทำเป็น CDO ได้ นั่นทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟูและราคาบ้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ส่งผลให้คนซื้อบ้านมีกำไรทั้ง ๆ ที่ผ่อนต่อไม่ไหว
แต่แล้ว ในที่สุด อัตราการเป็นหนี้เสียก็เพิ่มขึ้นจนระบบและการทำ CDO รับไม่ไหว ราคาของตราสารตกลงมาจนทำให้สถาบันการเงินที่เข้ามาลงทุนหรือเกี่ยวข้องด้วยล้มละลายเป็นจำนวนมาก ผลกระทบส่งถึงเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงอย่างแรงและทำให้ตลาดหุ้นวิกฤติตามมา
ดัชนี S&P 500 ร่วงลงจากประมาณ 1,300 จุดในช่วงเดือนสิงหาคม 2008 เหลือเพียง 750 จุดในเดือนมีนาคม 2009 หรือลดลง 42% ในเวลาเพียง 7 เดือน อานิสงค์จากการที่เงินหรือสภาพคล่องในระบบที่หายไปทันทีจากการ “ล่มสลาย” ของสถาบันการเงินจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การทำ QE หรือการเพิ่มสภาพคล่องด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลของรัฐบาลในเวลาต่อมา ได้ทำให้ดอกเบี้ยลดลงมาเหลือใกล้ 0% และทำให้หุ้นฟื้นขึ้นอย่างรวดเร็วและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน
ที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาสูงสุดในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งนำโดยหุ้นไฮเทคที่ร้อนแรงเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการปรากฎขึ้นของ AI ที่มีความฉลาด “เหนือมนุษย์” และกำลังจะมา “เปลี่ยนโลก” อย่างที่เราจะไม่เคยเห็นในอนาคตอันใกล้ นั่นคือเรื่องแรก
ประเด็นที่ 2 ก็คือ ดัชนี Nasdaq ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นมา 100% แล้วและทำให้ค่า PE สูงกว่า 30 เท่า ตลาดหุ้นเองก็ร้อนแรงมากและเต็มไปด้วยนักลงทุนส่วนบุคคลที่ใช้มาร์จินในการลงทุนน่าจะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อ 3 ก็คือ หุ้นที่ร้อนแรงมากที่สุดตัวหนึ่งก็คือ TESLA ซึ่งผลิตรถไฟฟ้าที่กำลังขับเคลื่อนบนท้องถนนด้วยตนเอง คล้าย ๆ กับหุ้น GM ในปี 1929 เช่นเดียวกับหุ้น NVIDIA ที่ร้อนยิ่งกว่าเพราะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนโลกใหม่คล้ายกับหุ้น RCA และผมคงไม่ต้องพูดว่าหุ้นทั้งสองตัวนั้นเป็นหุ้นกี่เด้งไปแล้ว?
แต่ “เซียน” จำนวนมากก็บอกว่า “ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” เพราะบริษัท “เทคนางฟ้า” ทั้ง 7 มีกำไรรองรับเพียงพอ คล้าย ๆ กับพูดว่า หุ้นไม่ได้แพงและ “ราคาหุ้นก็คงขึ้นมาอย่างถาวรแล้ว” ไม่ตกลงไปแบบวิกฤติเดิมหรอก ไม่ว่าจะเป็นปี 1929 หรือ 2000
แต่ผมเองก็รู้สึก “หนาว” เพราะคำว่า “ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม”ในความคิดของผมกลับเป็นว่า เพราะครั้งนี้เรายังมีเรื่องการ “เปลี่ยนแปลงภาษีศุลกากรครั้งใหญ่” ที่อาจจะเป็นเหตุของวิกฤติแบบที่ 2 ที่ยังไม่ค่อยมีคนพูดถึงด้วย